ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ตูม……. ปืนใหญ่ที่เรียงรายอยู่บนกำแพงส่งเสียงดังกระหึ่ม หน่วยปืนครก ปืนใหญ่เวทที่สร้างขึ้นจากโรงอาวุธ และปืนใหญ่บางส่วนจากกองกำลังต่างๆยังกระหน่ำยิงใส่คลื่นทหารทมิฬที่ดาหน้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สงครามดำเนินต่อเนื่องไปหลายวันกองทัพทหารทมิฬยังคงพยายามฝ่าแนวป้องกันทั้งกลางวันและกลางคืน เซียวอวี๋และคนอื่นๆเองก็พลอยเหนื่อยล้าไปด้วย จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายมีเพิ่มขึ้นทุกวัน กระนั้นพวกทหารทมิฬก็ดูจะหลั่งไหลมาเสริมทัพได้ไม่จบไม่สิ้น ทั่วทั้งทวีปตกอยู่ในภาวะสงคราม ประชาชนต่างก็ลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตน สามจ้าวมนตราเดินทางมาประจำการที่แนวป้องกันแล้ว มานาทุกหยดหยาดที่ใช้ออกไปล้วนแต่บันทอนอายุขัยของทั้งสาม พวกก๊อบลินได้ผลิตสิ่งของใหม่ๆออกมาไม่หยุดหย่อน ยกตัวอย่างเช่น ปืนใหญ่สนาม หุ่นจักรกล ระเบิดชนิดใหม่ บทบาทของพวกมันยังมากกว่ากองกำลังอื่นๆเสียอีก เซียวอวี๋คล้ายมองเห็นความรุ่งโรจน์ของเผ่าพันธุ์ก๊อบลินได้ลางๆ ตูม…… ในตอนนั้นเอง ระลอกเวทมนตร์อันรุนแรงก็ปะทุขึ้น หากแต่ทิศทางที่เกิดขึ้นนั้นกลับมาจากทางแนวป้องกัน เซียวอวี๋ตกตะลึง ใช่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นแล้วหรือไม่? แต่ไม่นานเขาก็โล่งใจ ระลอกเวทมนตร์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากการระเบิดของเวทมนตร์ ทว่าเกิดขึ้นจากการไหลเวียนของละอองเวทที่เชื่อมต่อระหว่างฟ้าดิน มีคนบรรลุขั้นที่เจ็ด! นี่เป็นปรากฏการณ์ของพลังขั้นที่เจ็ด เซียวอวี๋พลันนึกขึ้นได้ เขาเคยใช้เวลาอยู่ร่วมกับเอกวินน์ ทั้งยังเคยเห็นตอนที่สู้กับคฑูน ในหมู่สามจ้าวมนตรา มีผู้ที่บรรลุขั้นที่เจ็ด! ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย นี่นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างถึงที่สุด ผู้ที่บรรลุพลังในครั้งนี้ก็คือ ธีโอดอร์ หลังจากก้าวหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ในที่สุดเขาก็ก้าวผ่านธรณีประตูที่ฝันใฝ่ได้ในที่สุด ขั้นที่เจ็ดและขั้นที่หกนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว ขั้นที่เจ็ดนับเป็นตัวตนที่สูงส่งที่สุดในโลก ล้าหลังเพียงไม่กี่วัน สองจ้าวมนตราที่เหลือก็ตามฝีเท้าของสหายทัน เฟอร์กูสันและชัคคุนต่างก็บรรลุขั้นที่เจ็ด เดิมทีพวกเขาก็อยู่ห่างจากขอบเขตขั้นนี้ไม่มากอยู่แล้ว และการบรรลุขั้นที่เจ็ดของธีโอดอร์ยังเป็นการแสดงเส้นทางที่ถูกต้องแก่คนที่เหลือ นอกจากจ้าวมนตราทั้งสามแล้ว ยังมีผู้ใช้มนตราที่ยิ่งใหญ่อีกคนที่ทั้งสามพามาด้วย เซียวอวี๋ทั้งประหลาดใจและใคร่รู้ เขาพยายามคาดเดาตัวตนของผู้ใช้มนตราคนนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากมีจ้าวมนตราผู้ยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในทวีป คนผู้นี้ก็ควรเป็นที่รู้จักของสาธารณะ หลังจากนั้นไม่นาน เซียวอวี๋ก็ได้ทราบว่าจ้าวมนตราผู้นั้นคือใคร คนผู้นั้นคือ อดีตพระสันตะปาปา พระสันตะปาปาที่เคยคิดจะปกครองทวีปกลับมีพลังถึงขั้นนี้ ดูเหมือนว่าเขากลับใจและกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้ในที่สุด และครั้งนี้เขายังกลับมาเพื่อไถ่โทษต่อทวีป ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็ถือเป็นข่าวดี ดังนั้นเซียวอวี๋และคนอื่นๆจึงไม่ได้ติดใจเรื่องในอดีตอีก ปล่อยให้เขาได้ไถ่บาปไป อย่างไรเสียก็มีจ้าวมนตราทั้งสามคอยจับตาดูอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวมนตราทั้งสามต่างก็บรรลุขั้นที่เจ็ดแล้ว ดังนั้นพระสันตะปาปาจึงยากจะก่อระลอกคลื่นใดๆได้อีก หลังจากบรรลุขั้นที่เจ็ด พลังของจ้าวมนตราทั้งสามก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด เวทมนตร์เพียงบทเดียวของพวกเขาสามารถกวาดล้างพวกทหารทมิฬได้นับไม่ถ้วน การปรากฏของขุมพลังระดับนี้ได้จุดประกายความหวังขึ้นในใจของผู้คน พวกเขารู้สึกได้ถึงชัยชนะ พลังของสามจ้าวมนตรายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่าฮีโร่เองก็ก้าวหน้าขึ้นเช่นกัน เป็นเพราะค่าประสบการณ์จากการสังหารพวกทหารทมิฬทำให้เหล่าฮีโร่ไต่ระดับพลังขึ้นไปถึงระดับสุดยอดของขั้นที่หกอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความพวกเขามีระดับอยู่ที่ห้าสิบเก้าแล้ว อีกเพียงแค่ก้าวเดียว พวกเขาก็จะไปถึงระดับหกสิบ ซึ่งมีพลังเทียบเท่าตัวตนขั้นที่เจ็ดของโลกนี้ เมื่อถึงเวลานั้น ความกังวลต่อพวกทหารทมิฬของเซียวอวี๋ก็จะเป็นอันคลี่คลายไป เซียวอวี๋เชื่อว่าหากฮีโร่ทั้งหมดมีพลังเทียบเท่าขั้นที่เจ็ดแล้วล่ะก็ เขาก็คงไม่กลัวศัตรูหน้าไหนอีก ทว่ามีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น มีฮีโร่ผู้สามารถไปถึงขั้นที่เจ็ดได้อย่างรวดเร็ว ทว่าฮีโร่ผู้นั้นไม่ได้อยู่ในสนามรบแห่งนี้ แต่เป็นที่สนามรบอีกด้านหนึ่ง ฮีโร่ผู้นั้นคือ อาร์ทัส เซียวอวี๋และฮีโร่ทุกคนมีการเชื่อมต่อกันทางจิตวิญญาณ ดังนั้นเซียวอวี๋จึงทราบได้ในทันที เรื่องเกิดขึ้นขณะที่เซียวอวี๋กำลังประชุมกับระดับผู้นำคนอื่นๆอยู่ จู่ๆอาร์ทัสก็เกิดการเลื่อนขั้นจนเซียวอวี๋เผลออุทานออกมาทำให้คนทั้งหมดต่างก็มึนงงสงสัย ขั้นที่เจ็ด ขั้นที่เจ็ดเชียวนะ! อาร์ทัสเลื่อนระดับไวไปแล้ว ทั้งยังสามารถควบคุมนครลอยฟ้าแน็กแรมได้ดังใจนึก นี่ไม่ใช่ว่าเขาไร้เทียมทานแล้วหรอกหรือ?

ถึงตอนนี้ เซียวอวี๋ก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับอาร์ทัสบ้างแล้ว

ไม่ถูก มันยังมีวิธีการควบคุมอาร์ทัสอยู่ ดังนั้นเซียวอวี๋จึงออกคำสั่งต่ออาร์ทัส สั่งให้เขานำทัพเปิดฉากโจมตีกองทัพทหารทมิฬเป็นวงกว้าง ให้สังหารพวกมันให้ได้มากที่สุด

อาร์ทัสยังคงภักดีต่อเซียวอวี๋ เขาตอบรับคำสั่งและเร่งนำทัพบุกโจมตีพวกทหารทมิฬทันที อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้นำไปสู่สิ่งที่เซียวอวี๋คาดคิดไม่ถึง ขุมกำลังของอาร์ทัสเติบโตขึ้นราวกับติดปีก กองทัพของเขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่งขึ้น หากแต่ขนาดยังใหญ่โตขึ้นตามเวลาที่ล่วงผ่าน

กองทัพอันเดดนั้นเป็นดาวมัจจุราชของพวกทหารทมิฬอย่างแท้จริง จำนวนของกองทัพอันเดดไม่เพียงแต่ไม่ลดลง จำนวนทหารยิ่งมาก็ยิ่งมีมาก

ฝ่ายหนึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อีกฝ่ายมีแต่เพิ่มขึ้นๆ ขุมกำลังของอาร์ทัสในเวลานี้ถึงขั้นที่น่าสะพรึงแล้ว

เซียวอวี๋ยิ่งมายิ่งคิดหนัก เขากังวลว่าซาแกรลาสจะเข้าควบคุมอาร์ทัส เรื่องราวจะเลวร้ายหากว่าซาแกรลาสนั้นเป็นบอสใหญ่ของโลกนี้จริงๆ

ต้องทราบว่าในเรื่องราวพื้นหลังนั้น อาร์ทัสเคยถูกจ้าวแห่งลิช เนอซู ควบคุม ก่อนที่สุดท้ายเขาจะขึ้นปกครองกองทัพอันเดดเสียเอง

ตอนนี้ กองทัพของอาร์ทัสยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง หากว่าถูกผู้อื่นหลอกใช้ ผลสุดท้ายคงน่ากลัวยิ่ง

แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ กองทัพอันเดดเพียงสามารถต่อสู้กับทัพทหารทมิฬ

แม้จะมีกองทัพพันธมิตรที่จัดตั้งโดยผู้นำชาวมนุษย์ฝ่ายต่างๆ แต่พวกทหารทมิฬก็ยังมีมากเกินไป ลำพังพวกเขายังไม่อาจจัดการพวกทหารทมิฬได้หมด

เซียวอวี๋ในตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนและลังเล เขาไม่ทราบว่าควรจะจัดการอย่างไร จะเสี่ยงให้อาร์ทัสพัฒนาต่อไปจนถึงขั้นสมบูรณ์ หรือจะเริ่มเข้าจำกัดการเคลื่อนไหว?

ประเด็นก็คือ เขาจะจำกัดอาร์ทัสได้อย่างไร? เวลานี้พลังของอาร์ทัสยิ่งใหญ่ไปแล้ว

กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม ขุมกำลังที่อาร์ทัสควบคุมไว้ในเวลานี้กระทั่งยังเหนือกว่ากองทัพจากระบบของอีกสามฐานทัพที่เหลือรวมกันแล้ว

การปรากฏขึ้นของพวกทหารทมิฬไม่ต่างอะไรกับสายฝนยามแล้งที่ชโลมใส่กองทัพอันเดดจนเกิดการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

“มารดามันเถอะ จะคิดมากไปทำไม อย่างมากก็สู้กับพวกอันเดดต่อหลังจากจัดการพวกทหารทมิฬ ยังต้องกลัวหรือ?”

เซียวอวี๋ตกลงปลงใจ ให้อาร์ทัสพัฒนาต่อไป ให้กองทัพอันเดดกวาดล้างพวกทหารทมิฬไปก่อน

การโจมตีเต็มกำลังของกองทัพอันเดดทำให้พวกทหารทมิฬเริ่มเสียพื้นที่ไป อาร์ทัสยังส่งแม่ทัพฮีโร่อีกสามคนที่เหลือของเขาอันได้แก่ อานูบอารัค เคลธูซาด และจ้าวแห่งความพรั่นพรึงให้แยกย้ายกันไปตีชิงพื้นที่และกลืนกินพวกทหารทมิฬ ดังนั้นจำนวนของพวกทหารทมิฬจึงลดลงอย่างรวดเร็ว

การเปิดฉากรุกอย่างดุดันของกองทัพอันเดดยังช่วยให้แรงกดดันทางด้านเซียวอวี๋คลายลง

ทหารทมิฬจำนวนมากค่อยๆถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นทหารอันเดด

การนำทัพบุกของอาร์ทัสได้ก่อให้เกิดการพลิกผันของสถานการณ์อย่างคาดไม่ถึง เป็นสถานการณ์ที่พวกเซียวอวี๋คิดไม่ถึงมาก่อน

เมื่อสถานการณ์เริ่มพลิกกลับ เซียวอวี๋ก็ทราบว่าถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะตอบโต้กลับ!