ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


โชคดีที่เซียวอวี๋และนิโคลัสต่างก็เฝ้าระวังกูดาลอยู่ก่อนแล้ว เมื่อกองทัพของกูดาลพลันถอนตัวกลางคัน พวกเขาก็รีบเคลื่อนกำลังบางส่วนไปประจำที่จุดนั้นแทน ขณะเดียวกันก็เป็นการป้องกันการลอบโจมตีทางด้านหลังจากกูดาลไปด้วย

จากนั้นไม่นาน เซียวอวี๋และนิโคลัสก็ได้รับจดหมายจากกูดาล โดยกูดาลบอกว่ามันไม่ต้องการจะจมอยู่ในปลักโคลนนี้ และในจดหมายยังกล่าวอีกว่า มันขอยกโอกาสจัดการพวกทหารทมิฬให้กับเซียวอวี๋และนิโคลัส ส่วนตัวมันจะถอนกำลังกลับไปยังบึงตะวันลับในดินแดนทางใต้

ซึ่งหากเซียวอวี๋และนิโคลัสเชื่อคำกล่าวอ้างนี้ก็ออกจะแปลกไปแล้ว ถ้ากูดาลไม่ฉวยโอกาสนี้จ้วงแทงดาบใส่แผ่นหลังของพวกเขาในช่วงสำคัญ เช่นนั้นโลกนี้ก็คงจะไม่มีคนชั่วแล้ว

เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เซียวอวี๋และนิโคลัสจึงย้ายกำลังมาเฝ้าระวังกูดาลไว้อีกทางหนึ่ง

“เจ้าสุนัขเฒ่านั่น รอให้ข้าจัดการเจ้าพวกนี้ได้ก่อนเถอะ แล้วเจ้าจะเป็นรายถัดไป” เซียวอวี๋คิดอย่างเคียดแค้น

ในไม่ช้า สามจ้าวมนตราก็เริ่มเรียกระดมเหล่านักรบผู้กล้าจากทั่วทุกพรมแดนให้เข้าร่วมศึกป้องกันแผ่นดินเกิดในนามของผู้พิทักษ์ทวีป เพราะนี่อาจจะเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องทวีปเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขาเอง หากว่าพวกเขาล้มเหลวในศึกครั้งนี้ เช่นนั้นมันก็คงไม่มีศึกหน้าอีก

เมื่อประชาชนเข้าร่วมกับกองทัพ ทุกคนก็ต้องพร้อมจะต่อสู้ในสนามรบ โชคยังดีที่ในเวลาปัจจุบัน กองกำลังต่างๆก็เริ่มยึดเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่บ้างแล้ว ซึ่งขุมกำลังหลักๆนั้นจะมีอยุ่สองกลุ่ม นั่นก็คือกลุ่มของเซียวอวี๋และนิโคลัส ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงสามารถใช้ทรัพยากรของทวีปได้อย่างเต็มกำลัง

เซียวอวี๋ยังได้ส่งกลุ่มคนออกไปป่าวประกาศล้างสมองมวลชนอยู่ทุกวัน โดยอธิบายถึงความล่อแหลมของสถานการณ์ ทั้งยังกล่าวถึงความน่ากลัวของพวกทหารทมิฬอย่างเกินจริง กระทั่งบอกต่อผู้คนว่า พวกทหารทมิฬนั้นชื่นชอบกัดกินเนื้อมนุษย์สดๆ หากพวกเขาไม่ลุกขึ้นสู้ พวกเขาก็จะถูกพวกทหารทมิฬจับกินเป็นอาหาร

ภายใต้การป่าวประกาศชวนเชื่อนี้เอง ผู้คนที่ขันอาสาเข้าร่วมสงครามจึงยิ่งมายิ่งมากขึ้น

พวกทหารทมิฬยังคงเพิ่มพื้นที่โจมตีอย่างต่อเนื่อง พวกมันได้ฝ่าแนวป้องกันจุดที่อ่อนกำลังมาได้หลายครั้ง แต่เซียวอวี๋และนิโคลัสก็ย้ายกองกำลังจำนวนมากไปยับยั้งไว้ได้ทันท่วงที

ในศึกครั้งนี้ ทัพพยัคฆ์ก็ยังคงมีบทบาทเด่นเช่นเคย การรุกและถอยที่ฉับไว พลังทำลายล้างในการบุกทะลวง ความสามารถเหล่านี้ได้กลับมาเปล่งประกายใส่กองทัพทมิฬอีกครั้ง

แม้กระนั้น จำนวนของพวกทหารทมิฬก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในหมู่พวกมันก้มีพวกปีศาจที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นมา ปีศาจหลากหลายชนิดเริ่มปรากฏตัวขึ้นในสนามรบ

โลกที่สงบสุขมาเนิ่นนานกำลังเดินทางมาถึงช่วงเวลาครั้งสำคัญ ในเวลานี้ เหล่าผู้มีอำนาจก็เริ่มละทิ้งประโยชนืส่วนตนและหันมาจริงจังกับสงคราม ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ได้เห็นจำนวนดุจคลื่นมหาสมุทรของพวกทหารทมิฬกับตา พวกเขาจะไม่เห็นเรื่องส่วนตนเหนือส่วนรวมอีก

มีเพียงในสงครามครัง้นี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเขารอดพ้นหายนะ ผลตอบแทนในศึก ขอเพียงพวกเขารอดชีวิตไปได้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว

เซียวอวี๋และนิโคลัสได้เข้าประชุมด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง และทั้งสองก็ถูกยกให้เป็นผู้นำของกองทัพฝ่ายมนุษย์โดยแบกรับความคาดหวังเอาไว้เต็มบ่า

“คิดว่าพวกเราจะรอดหรือไม่?” นิโคลัสพลันถามขึ้นมาขณะยืนอยู่บนกำแพง สายตาของเขาทอดมองไปยังพวกทหารทมิฬที่แน่นขนัดยาวไปจนถึงเส้นขอบฟ้า

“ข้าไม่รู้” เซียวอวี๋ถอนหายใจ เมื่อครั้งศึกกับพวกทหารทมิฬในจักรวรรดิเมฆา ครั้งนั้นได้พวกวิญญาณนักรบบรรพกาลมาช่วยไว้ได้ทัน หากแต่ครั้งนี้เล่า?

เซียวอวี๋ไม่อาจคาดเดาผลของสงครามในครั้งนี้ แม้ว่าเขาจะมีกองทัพที่แข็งแกร่งสุดขีดอยู่ด้วยก็ตาม กรพนั้นเขาก็ไม่อาจรับรองได้ว่ากองทัพที่เขามีจะสามารถต้านทานศัตรูที่ดูจะไม่มีวันหมดวันสิ้นเหล่านี้ได้

“หากว่าพวกเราชนะและรอดไปได้ เช่นนั้นพวกเราก็คงต้องมาทำศึกตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะเพื่อหาราชาแห่งทวีป” นิโคลัสทอดถอนใจ “หาก หากว่าเป็นหนึ่งในพวกเราที่อยู่รอด เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงอีก ถึงตอนนั้น คนที่รอดก็ให้สร้างอนุสาวรีย์ให้กับคนที่จากไป”

“วางใจเถอะ ข้าจะสร้างอนุสาวรีย์ให้เจ้าอย่างยิ่งใหญ่” เซียวอวี๋กล่าวพลางยกมือขึ้นลูบคาง

“เหอะ รู้ได้อย่างไรว่าข้าคือคนที่จะต้องนอนในโลง?” นิโคลัสเตะใส่เซียวอวี๋ไปเท้าหนึ่ง แน่นอนว่าเซียวอวี๋ย่อมเบี่ยงตัวหลบ

“เหอเหอ นั่นก็เพราะว่าข้ารักตัวกลัวตายมากกว่าเจ้า” เซียวอวี๋กล่าวพลางหัวเราะ

“กลัวความตาย….มีผู้ใดบ้างที่ไม่กลัวตาย?” นิโคลัสเบนสายตามองไปยังเหล่าทหารทมิฬที่เบื้องล่างของกำแพงก่อนจะกล่าวว่า “เคยคิดหรือไม่ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้? ผู้ที่มีอำนาจและสามารถบงการผู้คนได้มากมายเพียงนี้”

เซียวอวี๋นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “อันที่จริง ข้าก็พอจะมีคำตอบอยู่ในใจ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเจ้านั่น”

“ใคร?” ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ นิโคลัสก็หันมาถาม เขาทราบว่าเซียวอวี๋นั้นเชี่ยวชาญในเรื่องเล่าและตำนานต่างๆกว่าเขาไกลลิบ

“ซาแกรลาส” เซียวอวี๋ตอบ

“ซาแกรลาส?” นัยน์ตาของนิโคลัสพลันหดวูบ

“อืม ถ้าไม่ใช่เจ้านั่น ก็มีอีกแค่ไม่กี่คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้” เซียวอวี๋ค่อยๆค้นหาในความทรงจำเกี่ยวกับตัวตนที่ทรงอำนาจในโลกวอร์คราฟ และสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าซาแกรลาสนั้นมีความเป็นไปได้มากที่สุด

เรื่องนี้ยิ่งมีเค้าลางโดยเฉพาะเรื่องที่จู่ๆกูดาลก็ถอนตัวกลางคัน บางทีนี่อาจจะไม่ได้มาจากความคิดของมันเอง เขารู้สึกว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้จะต้องเป็นซาแกรลาส เป็นเพราะกูดาลทราบว่ากำลังต่อกรกับอะไร ดังนั้นมันจึงเกิดความหวาดกลัว

ไม่มีผู้ใดรู้ซึ้งถึงพลังของซาแกรลาสมากไปกว่ากูดาลอีกแล้ว

“ยักษ์ผู้ร่วงหล่น? ไม่มีผู้ใดเอาชนะมันได้เลยหรือ?” เซียวอวี๋เคยเล่าเรื่องราวของซาแกรลาสให้คนอื่นๆฟังเมื่อตอนที่อยู่ในวิหารดำ ดังนั้นนิโคลัสจึงพอรู้เรื่องราวของซาแกรลาสอย่างคร่าวๆ

เซียวอวี๋ส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า “ก็อาจจะ แต่ยากมาก”

“เช่นนั้นก็ให้มันเป็นเรื่องของโชคชะตาเถอะ” นิโคลัสถอนหายใจ

เซียวอวี๋ไม่ทราบว่าไฉนนิโคลัสจึงเปลี่ยนเป็นถอนหายใจบ่อยขึ้น ต่างจากในอดีตที่ดูเป็นผู้นำที่มั่นใจอย่างลิบลับ

หรือเป็นเพราะความแข็งแกร่งของพวกทหารทมิฬ? คิดถึงตรงนี้ เซียวอวี๋ก็ย้อนมองตัวเอง เขาเองก็ดูเหมือนจะท้อแท้ง่ายกว่าเดิม

สิ่งที่เขาเพิ่งกล่าวออกไปก็แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็สับสนและไม่มั่นใจในอนาคตเช่นกัน อืม ต่อให้มีจิตใจเข้มแข็งเพียงใดก็ต้องมีวันพังทลายลงหากแบกรับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง

แต่ไม่ใช่ว่าซาแกรลาสก็มีวันล้มลงหรอกหรือ? มันตกต่ำจนต้องกลายเป็นยักษ์แห่งความมืด

คิดถึงตรงนี้ เซียวอวี๋ก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้า จากนั้นก็หัวเราะออกมา

“หัวเราะอะไรของเจ้า?” นิโคลัสถาม

เซียวอวี๋หัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีใด ตะวันยังมีลาลับ เอาเถอะ ชีวิตของข้าที่อยู่มาก็ใช่ว่าอยู่โดยเสียเปล่า จะน่าเสียดายเพียงใดหากมาตายเอาตอนจบ?”

ฟังคำพูดของเซียวอวี๋ นิโคลัสก็นิ่งไป จากนั้นจึงหัวเราะออกมา การหัวเราะครั้งนี้ยังดึงเอาจิตวิญญาณของเขากลับมาด้วย

แม้แต่ในแง่ของความคิดจิตใจ ดูเหมือนว่าเขาเองจะด้อยกว่าเซียวอวี๋อีกแล้ว

บทสนทนานี้ได้คลี่คลายปมที่ติดอยู่ในใจของทั้งสองคน ทั้งยังช่วยเตรียมสภาพจิตใจให้พร้อมเข้าสู่สนามรบ…..