น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยคมกริบ ท่าทางยืนยันหนักแน่น
คำพูดมากมายของเป่ยเฉินอี้ คำขอแต่งงานกลายเป็นวาจาเหลวไหล
ชิงเกอที่อยู่ด้านหลังได้ฟัง ก็กังวลว่าเตี้ยนเซี่ยของตนจะเกิดโทสะหรือไม่
เป่ยเฉินอี้หาใช่คนยั่วโมโหได้ง่ายๆ เมื่อเขาฟังคำพูดของ เยี่ยเม่ยจบ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะเบาๆ “ไม่อยากเป็นเงาหรือตัวแทนของคนอื่นอย่างนั้นหรือ”
ความจริงคำตอบนี้หาได้อยู่นอกเหนือความคิดเขาไม่
เขาหันกลับไปอีกครั้ง ทอดสายตามองทุ่งหญ้าเขียวขจีผืนนั้นคล้ายกับจะบอกลาสถานที่นี้เป็นครั้งสุดท้าย
ไม่ช้า
เป่ยเฉินอี้ก็หลับตาลง เก็บแววตาเย็นชา
ไม่รอให้เยี่ยเม่ยเอ่ยปาก เสียงขรึมของเป่ยเฉินอี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “เชิญแม่นางเยี่ยเม่ย วันนี้ข้าบุ่มบ่ามเกินไป ส่วนภายหน้า…”
เยี่ยเม่ยมองเขา ถามเสียงเย็นว่า “ภายหน้า จุดยืนที่เป่ยเฉินอี้เลือกก็คือเป็นศัตรูกับเยี่ยเม่ย ใช่หรือไม่”
“ไม่ผิด!” เป่ยเฉินอี้พยักหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังเอ่ยว่า “เดิมทีหนทางของเป่ยเฉินอี้หาได้เป็นศัตรูกับแม่นางเยี่ยเม่ย เมื่อแม่นางไม่ยินยอมยืนข้างเดียวกับข้า เช่นนั้นจุดยืนก็ย่อมสลับเปลี่ยนไป”
เยี่ยเม่ยในยามนี้กลับมองเป่ยเฉินอี้อย่างชื่นชม “เยี่ยเม่ยชื่นชมความตรงไปตรงมาของอี้อ๋องยิ่งนัก!”
พูดจบ นางก็หมุนกายชิงเดินกลับไปที่รถม้าก่อน
ความจริงทั้งความเข้าใจทั้งการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาของเป่ยเฉินอี้ว่าเขาจะเป็นศัตรูกับนาง ย่อมชวนให้คนชื่นชอบมากกว่า พวกที่ต่อหน้าดูอะไรไม่ออก แต่แอบลงมืออยู่ลับหลัง
รอจนเยี่ยเม่ยขึ้นนั่งบนรถม้าแล้ว
เป่ยเฉินอี้ยังยืนอยู่ด้านนอก ค่อยๆ หลับตาลง คล้ายสัมผัสได้ถึงความอาลัยที่สถานที่แห่งนี้มอบให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย ยามนี้เป็นฤดูหนาว สถานที่แห่งนี้กลับยังมีหญ้าเขียวขจี เมื่อถึงเวลานี้เยี่ยเม่ยค่อยเข้าใจได้ว่า ดูท่าสถานที่แห่งนี้คงมีคนตั้งใจดูแล ถึงกระทั่งใช้วิธีการพิเศษ ถึงสามารถรักษาสภาพของที่แห่งนี้ในฤดูหนาวเอาไว้ได้
ส่วนคนที่ทำเช่นนี้ก็มีเพียงคนเดียว นั่นย่อมเป็นเป่ยเฉินอี้
ในเวลานี้สายลมพัดผ่านหน้าต่างรถม้า ระหว่างที่เยี่ยเม่ยมองไปก็เห็นภาพแผ่นหลังของเป่ยเฉินอี้ด้านนอกหน้าต่าง
แผ่นหลังสูงศักดิ์เกินเปรียบของเขา ท่ามกลางลมหนาวในยามเหมันต์ ชวนให้คนรู้สึกหนาวเหน็บ คล้ายเกล็ดหิมะปลิดปลิว ตกใส่ขนตาเยี่ยเม่ยบดบังการมองเห็นนาง
คลับคล้ายกับมีสิ่งของที่เปลี่ยนแปลงไปมากเคยทิ้งไว้อยู่ที่แห่งนี้ และสุดท้ายล่องลอยจากไปตามกระแสลมเสียแล้ว
นางถอนสายตากลับมา ปิดตาลง นั่งพิงตัวรถม้า รอเป่ยเฉินอี้อย่างสงบ
จิตใจเริ่มใคร่ครวญและพิจารณาความทรงจำที่ฟื้นคืนมาในสองวันนี้
ส่วนความทรงจำเกี่วกับน้องชาย นอกจากภาพเหตุการณ์นั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก ดังนั้นน้องชายของนางเป็นหรือตายกันแน่ หากยังมีชีวิตอยู่ เวลานี้จะอยู่ที่ใด
ไฉนเป่ยเฉินอี้ถึงเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนาง แล้วทำไมนางถึงเกลียดคนผู้นี้…
คำถามมากมายหมุนเคว้งอยู่ในสมองเยี่ยเม่ย
นางต้องการเวลาเพื่อไปทำความเข้าใจปัญหาเหล่านี้ให้ชัดเจน
ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่นางรออยู่บนรถม้า ลมหนาวพัดเข้ามาอีกครั้ง ไม่นานนักเป่ยเฉินอี้ก็ขึ้นรถม้าแล้ว เยี่ยเม่ยรับรู้ได้ถึงไอเย็นบนร่างของเขาที่ยืนค้างอยู่ด้านนอกเป็นเวลานาน แต่นางก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมองเขา
รถม้าออกเดินทางแล้ว
ล้อรถหมุนบดกับพื้นดินจนเกิดเสียง
สิ่งที่อยู่ใจของคนทั้งสองก็คือความคิดของตัวเอง
สายตาเป่ยเฉินอี้เดี๋ยวก็มองไปที่เยี่ยเม่ยบ้าง เดี๋ยวก็หลับตาลงพักผ่อน เยี่ยเม่ยกลับปิดตาไม่ลืมขึ้นมาเลย
ไม่รู้ว่ารถม้าเดินทางไปนานเท่าไหร่แล้ว
จู่ๆ เยี่ยเม่ยก็เอ่ยปากถามคำถามเป่ยเฉินอี้คำถามหนึ่ง “อี้อ๋อง ไม่ทราบว่าจะช่วยชี้แนะข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”
“พูดมา!” เป่ยเฉินอี้ไม่ได้เปิดตา สีหน้าดูสูงศักดิ์เรียบเฉย คล้ายเดาได้ว่าเยี่ยเม่ยจะถามคำถามว่าอะไร
เยี่ยเม่ยเองก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเช่นเดียวกัน ถามขึ้นมาเหมือนคุยเล่นว่า “อี้อ๋องบอกว่าเรื่องของจิ่วหุนท่านไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง เช่นนั้นดูท่าอี้อ๋องคงรู้ว่าผู้ร้ายตัวจริงคือใคร”
“ถูกแล้ว!”
นี่เป็นคำถามที่ชัดเจนง่ายดายมาก
เขาเคยรับปากว่า เขาช่วยผู้ร้ายตัวจริงวางแผนการ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาย่อมรู้ฐานะของผู้ร้ายตัวจริง
เยี่ยเม่ยเอ่ยถาม “อย่างนั้น ไม่ทราบว่าอี้อ๋องจะบอกเยี่ยเม่ยได้หรือไม่ คนผู้นั้นคือใคร อย่างไรเสียสองสามวันที่ผ่านมา ระหว่างอี้อ๋องกับเยี่ยเม่ยก็ผูกความแค้นกันไม่น้อยแล้ว ต่อให้ภายหน้าเป็นศัตรูเชื่อว่าอี้อ๋องก็คงไม่ยินยอมให้ เยี่ยเม่ยจะคิดบัญชีกับท่านเสียเดี๋ยวนี้!“
เมื่อเอ่ยคำนี้ ดวงตาของนางพลันเปิดขึ้น แววตาคมกริบมองใบหน้าเป่ยเฉินอี้ ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความเย็นเยือก ทั้งยังสัมผัสถึงความไม่เป็นมิตรของนาง
เป่ยเฉินอี้กลับยิ้มออก เปิดตามองเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าบอกแม่นางเยี่ยเม่ยได้!”
“หืม” เยี่ยเม่ยกลับตะลึงไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะเปิดเผยปานนี้ “ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนหรือ”
เป่ยเฉินอี้จ้องตานาง เอ่ย “ข้าเคยบอกแล้วว่า จะยอมให้เจ้าสามครั้ง ในเมื่อข้าพูดออกมาก็ต้องทำให้ได้ นี่ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะยอมให้เจ้าแล้ว!”
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็น “เชื่อว่าท่านคงรู้ว่าข้าไม่มีทางซาบซึ้งบุญคุณท่าน!”
“แน่นอน นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ข้าวางแผนการในใจก็รู้แล้วว่า ไม่มีทางได้รับความซาบซึ้งใจจากแม่นาง อีกอย่างการที่ข้ายอมให้แม่นาง ก็ไม่ใช่เพราะต้องการให้แม่นางตื้นตันใจ!” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขา สายตาที่มองเยี่ยเม่ยยิ่งทวีความลุ่มลึกสุดหยั่งถึง
เยี่ยเม่ยหัวเราะ “ดังนั้น”
“ซือถูเฟิง!” เป่ยเฉินอี้เอ่ยชื่อออกมาอย่างรวดเร็ว กล่าวต่อว่า “หากชื่อนี้แม่นางไม่คุ้นเลย อย่างนั้นชื่อซือถูเฉียง แม่นางเยี่ยเม่ยน่าจะจำได้”
เยี่ยเม่ยนิ่งเงียบไปหลายวินาที ตอบตามสัตย์ “คล้ายจะมีความทรงจำอยู่บ้าง แต่ชื่อนี้เป็นใครกันแน่ข้าจำไม่ได้แล้ว อย่างไรเสีย นอกจากผู้เข้มแข็งที่ควรค่าแก่การสนใจแล้ว คนอื่นๆ ข้าล้วน…อืม หลังจากพบได้สองวัน ข้าก็ลืมไปหมดแล้ว!”
หากสมองของคนผู้นี้ต้องจดจำคนหรือเรื่องไม่สำคัญมากมายขนาดนั้น เช่นนั้นสิ่งที่ต้องจำใส่สมองจะมีมากน้อยเพียงใดกันเล่า
คำตอบนี้ทำให้เป่ยเฉินอี้แปลกใจอยู่ไม่น้อย
แต่เมื่อคิดถึงนิสัยเฉยชาของเยี่ยเม่ย เขาก็เข้าใจได้ “อย่างนั้น…ไม่นานก่อนหน้านี้ ท่านหญิงที่มีเรื่องกับแม่นางเยี่ยเม่ย แม่นางน่าจะจำได้บ้าง”
“ท่านหมายถึงคนที่ถูกข้าตีที่ชายแดนอย่างนั้นหรือ” คนผู้นี้เยี่ยเม่ยพอจำได้ เพียงแต่ลืมไปตั้งนานแล้ว สตรีนางนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร นางยังแทบจำไม่ได้ “หรือว่านางคือซือถูเฉียง”
เหมือนว่าใช่!
เป่ยเฉินอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
พูดไปแล้วความจริงเขาอยากถอนใจ นางจำไม่ได้สักนิดว่าซือถูเฉียงคือใคร ราวกับว่าสิ่งที่เขาจำได้เป็นเรื่องบั่นทอนคุณค่าของตนเองลงไปก็ไม่ปาน จากนั้นเมื่อมองสายตาของนาง นางจำไม่ได้จริง หาใช่เรื่องล้อเล่น
เขาพลันหัวเราะเบาๆ “แม่นางเยี่ยเม่ยจำซือถูเฉียงไม่ได้ แต่นางกลับเห็นท่านเป็นศัตรูตัวฉกาจ!”
เยี่ยเม่ยยักไหล่ ท่าทางไม่เป็นไร “โลกนี้มักมีพวกไม่รู้จักที่ตาย ข้าชินแล้ว ดังนั้น…”