บทที่ 609 วิธีชดเชย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 609 วิธีชดเชย

ฮันปู้ฟู่ไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไหร่ เพราะทันทีที่เข้ารับใช้กองทัพ หลิงฉือก็แต่งตั้งให้ฮันปู้ฟู่เป็นนายกองควบคุมทหารใหม่ เด็กหนุ่มได้มีโอกาสเข้าร่วมสงครามเล็กใหญ่ทั้งสิ้น 12 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งกองทัพของจักรวรรดิเป่ยไห่ล้วนได้รับชัยชนะ แต่นายทหารก็ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่น้อยเช่นกัน ถึงกระนั้น มีครั้งหนึ่งพวกเขาได้ติดตามข้าศึกไปจนถึงเขตชายแดนของจักรวรรดิจี้กวงและสามารถบดขยี้กองทัพฝ่ายตรงข้ามเก็บชัยชนะกลับมาได้อย่างน่าประทับใจ

ปัจจุบันนี้ ฮันปู้ฟู่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนายทหารแนวหน้ายอดอัจฉริยะแห่งยุคประจำเขตชายแดนเหนือคนหนึ่งไปแล้ว

ขณะนี้ ฮันปู้ฟู่ถูกสั่งย้ายมาประจำการอยู่ที่มณฑลเฟิงอวี่ เพื่อปฏิบัติภารกิจก่อการกบฏในเมืองหยุนเมิ่ง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ฮันปู้ฟู่ก็จะต้องกลับไปประจำการอยู่ที่ชายแดนเหนืออีกครั้ง

ส่วนทางด้านเยว่หงเซียง นางถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ใช้ค่ายอาคมที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัยเช่นกัน หลายครั้งเด็กสาวถึงกับสามารถใช้ค่ายอาคมที่แม้แต่อาจารย์ก็ยังทำไม่ได้ และด้วยเหตุผลนี้เอง นางจึงเข้าร่วมเป็นสมาชิกในสำนักผู้ใช้ค่ายอาคมชื่อดังประจำเมือง และความสามารถของเยว่หงเซียงก็เพิ่มพูนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

บางทีคงเป็นเพราะว่าเมื่อได้ลองใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เยว่หงเซียงก็เหมือนกับได้เปิดหูเปิดตาค้นพบโลกใบใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน นอกจากเด็กสาวจะมีอารมณ์ขันมากขึ้นแล้ว นางยังดูสดใสร่าเริงมากกว่าเดิม ไม่ได้มีบุคลิกเย็นชาคงแก่เรียนเหมือนเก่าก่อนอีกแล้ว

บัดนี้ เยว่หงเซียงสามารถพูดคุยกับหลินเป่ยเฉินอย่างเป็นกันเอง สามารถยิ้มแย้มออกมาด้วยความมั่นใจในตัวเอง

พวกเขาทั้งสามคนล้วนเป็นสมาชิกคนสำคัญของตำหนักไม้ไผ่ ทุกคนใช้เวลาที่รถม้าเดินทางโดยไม่หยุดพักพูดคุยกันไปตลอดทาง และก่อนที่จะเดินทางไปถึงนครเจาฮุย หลินเป่ยเฉินก็ได้รับทราบความเคลื่อนไหวของเพื่อนเก่าครบหมดทุกๆ คน

“คังซานเสว่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในสิบยอดนักไขปริศนารุ่นใหม่”

“มี่หรู่หยานก็สามารถไปได้สวยเช่นกันเจ้าค่ะ ได้ยินว่ามีบุตรชายของขุนนางใหญ่โตตามบอกรักนางหลายคนทีเดียว แต่พวกเขาก็ถูกนางปฏิเสธกลับไปอย่างไร้เยื่อใย บางคนมีพลังถึงขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 6 แล้วด้วยซ้ำ”

“ความจริง ทุกคนที่ออกมาจากเมืองหยุนเมิ่งล้วนได้ดิบได้ดีกันหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นจุนเมิ้งฮัน โจวเค่อ ซูเสี่ยวหยาน โจวฉุยหวูซวงต่างก็เป็นศิษย์ที่โดดเด่นในสถานศึกษาของตนเอง และได้รับความเอ็นดูจากคณะอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง…”

“แต่คนที่ไปไกลมากที่สุดคือหวังซินอวี่ ปัจจุบันนางเป็นถึงหัวหน้าศิษย์ชั้นปีที่หนึ่งของสถาบันกระบี่ระดับสามัญประจำนครเจาฮุย สามารถสังหารนักรบชาวทะเลได้แล้วถึง 64 ตัว ได้รับการประดับยศเป็นหนึ่งในสิบลูกศิษย์ดีเด่นแห่งมณฑลเฟิงอวี่ด้วยความภาคภูมิใจ”

เยว่หงเซียงเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียดครบถ้วน

ดูเหมือนนางจะรู้ความเคลื่อนไหวของมิตรสหายทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเจาฮุยเป็นอย่างดี

“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”

แม้ว่าเยว่หงเซียงจะมีบุคลิกที่สดใสร่าเริงและมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เด็กสาวกลายเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลความเคลื่อนไหวของมิตรสหายจากบ้านเกิด

เยว่หงเซียงคลี่ยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า “เพราะพวกเรามี ‘สมาคมศิษย์เก่าเมืองหยุนเมิ่ง’ น่ะเจ้าค่ะ ทุกคนที่มาจากเมืองหยุนเมิ่งและอาศัยอยู่ในนครเจาฮุยจะลงชื่อเข้าเป็นสมาชิก พวกเรามีความผูกพันแน่นแฟ้น ทุกเดือนจะนัดรวมตัวเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเอง คอยให้คำแนะนำการฝึกวิชาต่อกัน คอยแบ่งปันสิ่งที่เป็นประโยชน์และคอยช่วยเหลือกันยามเกิดความยากลำบาก”

ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายสว่างไสวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น

“สมาชิกในสมาคมนั้นต่างก็เป็นคนที่มาจากเมืองหยุนเมิ่งจริงๆ ใช่ไหม?”

เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “ฮ่าฮ่าฮ่า ประเสริฐ ข้าชื่นชอบบรรยากาศเช่นนั้นเป็นที่สุด”

เยว่หงเซียงกล่าวว่า “พี่หลินลองทายซิว่าเราเรียกการนัดรวมตัวประจำเดือนว่าอะไร?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความพิศวง “ในเมื่อทุกคนมาจากเมืองหยุนเมิ่ง ก็ต้องเรียกว่างานชุมนุมศิษย์เก่าเมืองหยุนเมิ่งน่ะสิ”

“ถ้าใช้ชื่อนั้นก็ออกจะเป็นการตื้นเขินเกินไปหน่อยแล้ว”

ฮันปู้ฟู่ส่ายหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อย

เยว่หงเซียงพูด “เราเรียกการนัดชุมนุมประจำเดือนว่างานคืนสู่เหย้าตำหนักไม้ไผ่เจ้าค่ะ”

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “หมายถึงตำหนักไม้ไผ่ที่อยู่ในสถาบันของพวกเราน่ะนะ?”

เยว่หงเซียงยิ้มแย้ม พยักหน้า ดวงตาเป็นประกาย

“ฮ่าฮ่าฮ่า” หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะอย่างให้ความสนใจ “งั้นข้าก็คงสามารถเข้าร่วมได้ใช่ไหม? นี่ เราน่าจะให้พวกคณะอาจารย์มาร่วมงานเลี้ยงด้วยเช่นกันนะ งานคืนสู่เหย้าตำหนักไม้ไผ่อย่างนั้นหรือ อุ๊บ๊ะ! ช่างเป็นชื่อที่ฟังดูไพเราะเสียเหลือเกิน”

ฮันปู้ฟู่ยกมือปิดหน้าด้วยความเอือมระอา

นี่คือหลินเป่ยเฉิน เมื่อไม่กี่ลมหายใจก่อนยังปฏิเสธข้อเสนอเข้าร่วมกับกองทัพเพราะต้องการใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข แต่มาบัดนี้ เด็กหนุ่มกลับอยากจะเข้าร่วมงานคืนสู่เหย้าประจำปีของบรรดาศิษย์เก่าร่วมบ้านเกิดเสียแล้ว…

เปรียบเปรยแล้ว หลินเป่ยเฉินมีสถานะไม่ต่างจากเสือโคร่งที่สามารถขึ้นครองบัลลังก์เจ้าป่าได้อย่างง่ายดาย แต่เขากลับปฏิเสธบัลลังก์นั้น และเลือกที่จะมาวิ่งไล่จับกระต่ายเพื่อความสนุกสนานส่วนตัว

“หากพี่หลินต้องการ พวกเราสามารถมอบตำแหน่งประธานสมาคมศิษย์เก่าให้ท่านได้นะเจ้าคะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

เยว่หงเซียงยิ้มแย้มออกมาอย่างมีความสุข “เพราะประธานคนเก่าของพวกเราก็คือหวังซินอวี่ แต่ในความเป็นจริงนั้น พวกเราต่างก็รอคอยให้พี่หลินมารับตำแหน่งประธานสมาคมอยู่ดี เพราะทุกคนเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็ว ท่านจะต้องมาอาศัยอยู่ในนครเจาฮุยอย่างแน่นอน”

“เอ๋?”

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าที่แสดงถึงความตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น “นั่นสินะ ตำแหน่งประธานสมาคมที่สูงส่งเช่นนี้ ถ้าไม่ได้มีไว้ให้กับข้า แล้วมันจะมีไว้ให้กับผู้ใด?”

ฮันปู้ฟู่ได้แต่นั่งก้มหน้าและถอนหายใจด้วยความหมดหวัง

ใช่แล้ว

นี่แหละหลินเป่ยเฉินตัวจริงเสียงจริง

จองหองและอวดดี

เด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสามคนพูดคุยกันไปด้วยความตื่นเต้น หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงสลับกันดื่มสุราจนหมดไปหกไหใหญ่ และมีเพียงฮันปู้ฟู่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ดื่มสุราเลยแม้แต่จอกเดียว ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไป เยว่หงเซียงจึงนั่งยิ้มหวานด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ตอนหลังนางไม่ต้องใช้จอกสุราอีกแล้ว เพราะไม่อยากเสียเวลา เด็กสาวจึงเลือกที่จะยกไหสุราขึ้นดื่มโดยตรง…

“พวกเราแยกย้ายกันดีกว่า ให้หงเซียงกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด นางดื่มมากเกินไปแล้ว”

ฮันปู้ฟู่เมื่อเห็นอาการของเด็กสาวรุ่นน้องก็รีบพูดออกมาด้วยความห่วงใย

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงหัวเราะที่ฟังดูประหลาดหูเป็นอย่างยิ่ง จากนั้น เขาจึงได้หันไปมองเยว่หงเซียงที่ล้มฟุบลงไปอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น แล้วเขาก็หันกลับมามองฮันปู้ฟู่พร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ “ศิษย์พี่ฮัน หรือว่าท่าน…”

“เปล่าสักหน่อย ข้าไม่พูดเรื่องไร้สาระกับเจ้าแล้ว”

ฮันปู้ฟู่ลุกขึ้นยืนปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

หลินเป่ยเฉินยิ่งหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ

หลังจากนั้น เขาก็นำกำไลหยกชิ้นหนึ่งออกมาสวมใส่ให้กับข้อมือที่ขาวผ่องของเยว่หงเซียง เรียบร้อยดีแล้วจึงขอให้เฉียนเหมยช่วยนำตัวเยว่หงเซียงกลับไปส่งยังกระโจมที่พักของนาง หลินเป่ยเฉินถึงกับเดินออกมาส่งเด็กสาวนอกห้องโดยสารด้วยตนเอง

กำไลหยกชิ้นนี้เป็นกำไลเก็บของวิเศษ ด้านในบรรจุบุหรี่อยู่จำนวนหนึ่ง น่าจะเพียงพอให้เยว่หงเซียงสูบได้อีกนานพอสมควร

สำหรับในหัวใจของหลินเป่ยเฉิน เขายังคงติดหนี้บุญคุณเยว่หงเซียงใหญ่หลวงนัก

เมื่อหลายเดือนก่อน นางถึงกับยอมเสียโฉมเพื่อช่วยชีวิตเขาระหว่างหนีตายอยู่ในหุบเขาชายแดนเหนือ

สำหรับกับเด็กสาวคนหนึ่ง การเสียโฉมย่อมมีความเจ็บปวดยิ่งกว่าเสียชีวิต

หลินเป่ยเฉินพยายามหาวิธีรักษาใบหน้าของเยว่หงเซียงให้กลับมาสวยงามดังเดิมให้ได้

แต่โชคร้ายที่เขายังไม่พบเจอวิธีนั้น

ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินได้แต่ใช้วิธีนี้ชดเชยเท่านั้น

แน่นอนว่าลึกๆ ในหัวใจของเขา หลินเป่ยเฉินย่อมปรารถนาให้เยว่หงเซียงเติบโตขึ้นมาเป็นบุคคลที่มีความมั่นใจในตนเอง มีความมุ่งมั่นที่จะได้ไล่ล่าทำตามความฝัน และกลายเป็นหนึ่งในผู้ใช้ค่ายอาคมคนสำคัญของจักรวรรดิเป่ยไห่ให้ได้