บทที่ 610 ดวงจันทร์สีโลหิตสองดวง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 610 ดวงจันทร์สีโลหิตสองดวง

“คุณชายหลิน”

“ข้าน้อยขอคารวะคุณชาย”

“ขอให้คุณชายหลินอายุยืนหมื่นๆ ปี”

“คุณชายขอรับ ข้าน้อยจับกระต่ายป่ามาได้หลายตัว ไม่ทราบคุณชายอยากรับประทานหรือไม่?”

ระหว่างที่เดินออกมาจากห้องโดยสารของรถม้า หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินเสียงผู้คนทักทายเขาตลอดเวลา

ชาวเมืองจำนวนมากไม่รู้จะตอบแทนเด็กหนุ่มอย่างไรดี นอกจากส่งเสียงทักทายและหยิบยื่นสิ่งที่ดีที่สุดที่ตนเองมีอยู่ให้แก่หลินเป่ยเฉินด้วยความจริงใจ

“ลุงจาง รับประทานเนื้อสัตว์ป่ากรุณาปรุงให้สุกด้วยนะขอรับ มิเช่นนั้น ระวังจะติดเชื้อโรคเอาได้”

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปยิ้มแย้มและขอบคุณผู้คนตามรายทาง

ทั้งนี้ทั้งนั้น หลินเป่ยเฉินไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นผู้พิทักษ์ชาวเมือง และเขาก็ไม่กล้ากล่าวอ้างตำแหน่งนั้นด้วยเช่นกัน หลินเป่ยเฉินยังคงทำตัวเป็นเด็กหนุ่มจอมเสเพลไม่เอาไหนตามเดิม เขายังคงพูดจาขวานผ่าซาก มีกิริยาท่าทางที่ไม่น่าทำตัวเป็นแบบอย่างแม้แต่นิดเดียว

แต่ชาวเมืองกลับนิยมชมชอบที่หลินเป่ยเฉินเป็นเช่นนั้น

หลายวันที่ผ่านมานี้ แม้ไม่ต้องดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์จากอาณาเขตโดยกำเนิด แต่หลินเป่ยเฉินก็รับรู้ได้ทันทีว่าแรงศรัทธาของชาวเมืองทำให้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว และในขณะนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็กำลังจะเลื่อนขึ้นสู่ระดับสามแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า เท่ากับว่าตอนนี้ เรามีปราณธาตุสามชนิดอยู่ในตัวแล้วสินะ”

“ถ้ารับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพีกระบี่อีกสักครั้ง เราก็จะได้เปิดพลังปราณธาตุชนิดที่สี่”

“แต่ปัจจุบันนี้ นอกจากเราจะมีพลังปราณธาตุดินและพลังปราณธาตุไม้แล้ว เรายังสามารถใช้เวทมนตร์จากพลังศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วย เหอเหอเหอ อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าเป็นอัจฉริยะแล้วจะเรียกว่าเป็นอะไรได้อีก”

ยิ่งคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้มากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

เด็กหนุ่มได้พบเจอกับผู้คนที่เขาไม่รู้จักจำนวนมาก

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปเล่นกับเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่ข้างทาง

ส่วนเด็กหนุ่มเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ก็กำลังรวมตัวฝึกวิทยายุทธ์อย่างขยันขันแข็ง โดยส่วนใหญ่นั้น หลินเป่ยเฉินจะพยายามเดินเลี่ยงออกมาให้ห่างไกลมากที่สุด ด้วยว่าความรู้เกี่ยวกับการฝึกวิชาของเขานั้นมีอยู่เพียงน้อยนิด คงไม่สามารถไปสอนใครได้เด็ดขาด

วันเวลาเหล่านี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

รู้ตัวอีกทีการเดินทางก็เข้าสู่วันที่สิบแล้ว

ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ขบวนผู้อพยพได้ผ่านเมืองที่ถูกชาวทะเลยึดครอง พวกเขาพบเห็นอาคารบ้านเรือนที่พังทลาย ถนนหนทางที่กลายเป็นแม่น้ำลำคลอง ศพมนุษย์นอนเน่าเปื่อยอยู่ริมทางเท้า แต่สิ่งที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งก็คือซากศพเหล่านั้นถูกดูดเลือดออกไปจนหมดสิ้น…

ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี ผู้เยาว์หรือฉกรรจ์ ทารกหรือผู้เฒ่าวัยไม้ใกล้ฝั่ง พวกเขาล้วนเป็นประชาชนที่ต้องจำยอมอาศัยอยู่ในเมืองเหล่านี้ด้วยความหวาดกลัว…

เมื่อเห็นชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ชาวเมืองหยุนเมิ่งรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาก็รับรู้แล้วว่าตนเองโชคดีขนาดไหน

พวกเขาตระหนักชัดเจนแก่หัวใจว่าถ้าไม่มีหลินเป่ยเฉินสักคน ประชาชนชาวเมืองหยุนเมิ่งก็คงมีสภาพไม่ต่างจากผู้คนที่น่าเวทนาเหล่านี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่คณะผู้อพยพเดินทางผ่านแคว้นซินจิน นี่เคยเป็นหนึ่งในห้าแคว้นที่ใหญ่ที่สุดของมณฑลในอดีต แต่ดินแดนที่เคยสวยงามกลับกลายเป็นเถ้าถ่านแห่งความสูญหาย อาคารบ้านเรือนและคฤหาสน์หลังใหญ่พังถล่มทลาย ซากศพของมนุษย์จำนวนมากถูกนำมาแขวนไว้ตามรั้วหนามและกำแพงเมือง พื้นที่บางส่วนยังคงมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ด้วยซ้ำ…

เมื่อชาวเมืองหยุนเมิ่งพบเห็นเช่นนั้น ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น

รอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าหลินเป่ยเฉินก็สลายหายไป

นี่คือฝีมือการทำลายล้างที่โหดร้ายอำมหิตมากที่สุดเท่าที่เด็กหนุ่มเคยพบเจอ นับตั้งแต่เขาทะลุมิติมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์

มันเป็นภาพที่น่าสะเทือนใจมากกว่าฉากในละครทีวีหรือภาพยนตร์แนวมหันตภัยล้างโลกที่หลินเป่ยเฉินเคยรับชม

คืนนี้ ไม่มีแสงจันทร์ ไม่มีแสงดาว

บนท้องฟ้ามีแต่อีกาดำบินวนเวียน

คณะผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งตั้งค่ายพักแรมอยู่ในทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ห่างจากตัวเมืองซินจินมาประมาณหกลี้

ตามปกติแล้ว พวกเขาจะหยุดพักกันประมาณสองชั่วยามและเก็บข้าวของออกเดินทางต่อทันที

ไต้จือฉุนและยอดฝีมือคนอื่นๆ อดรนทนไม่ไหว ต้องคว้าอาวุธประจำกายและใช้วิชาตัวเบาเดินทางกลับเข้าไปที่ตัวเมืองซินจินเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิต…

หวังจงกับอากวง ลูกเสือน้อยและเซียวปิงก็ได้ติดตามไปด้วยเช่นกัน

สีหน้าของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เพราะไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าตนเองกำลังจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง

หลินเป่ยเฉินอุ้มลูกหมาป่าทั้งสองตัวอยู่ในอ้อมแขน ระหว่างที่ให้พวกมันรับประทานนมจากขวด เขาก็สูบบุหรี่และพ่นควันออกมาเป็นรูปวงแหวน

ไม่รู้เพราะเหตุใด ตลอดสองวันที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินรู้สึกไม่สบายใจชอบกล

มันเป็นความไม่สบายใจที่ปราศจากที่มาที่ไป เหมือนอยู่ดีๆ ก็มีตาน้ำพุแห่งลางร้ายผุดขึ้นมาจากพื้นดินในหัวใจของเขา

หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

เบื้องหลังก้อนเมฆดำมืดห่างออกไปราวสิบลี้ มวลอากาศบนท้องฟ้าบริเวณนั้นเกิดความปั่นป่วนตลอดเวลา

ปรากฏดวงจันทร์สีโลหิตสองดวงลอยตัวอยู่เบื้องหลังกลุ่มเมฆดำ

เป็นนักบวชหรงเดินทางติดตามคณะผู้อพยพของพวกเขามา เพื่อรอรับการส่งคืนน้ำตาเทพเจ้าตามสัญญา

ก่อนหน้านี้ ชาวเมืองหยุนเมิ่งเกิดความรู้สึกไม่สบายใจที่มีมังกรยักษ์บินไล่หลัง

แต่บัดนี้ พวกเขาเกิดความเคยชินแล้ว

หลายครั้งแทนที่จะแสดงความหวาดกลัวนักบวชหรงผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน ชาวเมืองจำนวนมากกลับชูนิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมส่งเสียงสบถคำหยาบให้แก่มังกรเขียวที่บินอยู่ทางด้านหลัง

“หรือว่าจะเป็นเพราะยัยแม่มดนั่น?”

หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดด้วยความสับสน

แต่เขาก็บอกตัวเองว่าไม่ใช่

หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าความรู้สึกไม่สบายใจที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เป็นเพราะหญิงชราหลังค่อมผู้นี้อย่างแน่นอน

ถ้าอย่างนั้นมันมาจากไหน?

หลินเป่ยเฉินพ่นควันเป็นรูปวงแหวนต่อเนื่อง พยายามระบายความรำคาญใจออกมาให้หมด

หลังจากนั้น เขาก็อุ้มเสี่ยวเอ้อร์กับเสี่ยวซานกำลังจะเดินกลับไปยังกระโจมที่พัก…

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างและหันหน้ามองไปยังทิศทางที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้

ภายใต้แสงจันทร์เลือนราง บนยอดไม้ที่สูงใหญ่ยืนไว้ด้วยร่างสีดำสนิท เจ้าของร่างนั้นก็กำลังจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินอยู่เช่นกัน

ดวงตาของพวกเขาประสานกันจากระยะไกล

หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักกึก

หัวใจกระตุกวูบ

เขารู้สึกได้ว่าสายตาที่จ้องมองมานั้น เป็นสายตาแบบที่เทพเจ้าใช้จ้องมองนักโทษประหารผู้หลบหนีออกจากที่คุมขัง

แต่เมื่อลองเพ่งตามองดูอีกที ร่างสีดำบนยอดไม้ก็หายไปแล้ว

“แต่เราไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ”

หลินเป่ยเฉินรีบใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นๆ ลงๆ อยู่ไม่กี่ครั้ง เขาก็ไปถึงยอดไม้ซึ่งมีร่างปริศนายืนอยู่เมื่อสักครู่

เด็กหนุ่มกวาดสายตามองรอบกาย

ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ

ไม่มีร่องรอยพลังลมปราณหลงเหลืออยู่ในอากาศ

“แต่เงาร่างนั้นดูคุ้นตาชอบกลแฮะ”

ในหัวใจของหลินเป่ยเฉินนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาทันที

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็รู้แล้วว่าความรู้สึกไม่สบายใจตลอดสองวันที่ผ่านมา …มาจากไหน

“ดูท่าแล้วเส้นทางต่อจากนี้คงไม่ราบรื่นแหงๆ”

หลินเป่ยเฉินพูดกับตัวเองอยู่ในใจ