บทที่ 611 โฉมหน้าที่แท้จริงของนางปิศาจ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 611 โฉมหน้าที่แท้จริงของนางปิศาจ

กลางดึกคืนนั้น พวกของไต้จือฉุนก็กลับมา

พวกเขาไม่พบผู้รอดชีวิตจากในตัวเมือง

แต่ดูจากสีหน้าของทุกคน เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในตัวเมืองค่อนข้างย่ำแย่มากกว่าบริเวณชานเมืองที่พวกเขาพบเจอหลายเท่า

และก่อนที่ทุกคนจะออกเดินทาง พวกของหวังจงก็กลับมา

สีหน้าของพ่อบ้านชราเยือกเย็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้ว่าหวังจงมีแววตาที่เปลี่ยนไปในระหว่างที่พวกเขาออกเดินทางกันอย่างต่อเนื่อง

เมื่อหยุดพักกันในบ่ายวันต่อมา หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกได้ถึงสายตาอำมหิตที่จ้องมองมาอีกครั้ง

เมื่อหันมองกลับไป เด็กหนุ่มก็ได้เห็นว่าบนหน้าผาที่อยู่ด้านข้าง เงาร่างที่เขาเห็นเมื่อคืนนี้ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เจ้าของร่างนั้นเป็นเด็กสาว

หน้าตาคงสะสวยไม่ใช่น้อย

รูปร่างยิ่งมีความคุ้นตามากกว่าเดิม

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ

แต่เมื่อเขากะพริบตา ร่างของเด็กสาวคนนั้นก็หายไปแล้ว

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

“ขออย่าให้เป็นเจ้าเลยนะ”

เขาทอดสายตามองไปยังหน้าผาอันว่างเปล่าอย่างใช้ความคิด

หลังจากหยุดพักกันได้ครึ่งชั่วยาม ทุกคนก็ออกเดินทางกันต่อ

ยามราตรี

คืนนี้มีดวงจันทร์ลอยเด่นบนท้องฟ้า

ค่ายพักแรมของพวกเขาอยู่บริเวณเนินเขาที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง

เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจของเหล่าเด็กน้อยหลับใหล

ทุกคนอาศัยโอกาสนี้พักผ่อนและฟื้นฟูเรี่ยวแรงของตนเอง

หลินเป่ยเฉินนอนอยู่เพียงลำพังบนเก้าอี้ยาวในกระโจมที่พักส่วนตัว

ในใจเกิดความรู้สึกอันไม่เป็นมงคลขึ้นมาอย่างรุนแรง เขารู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมองตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อตัดสินใจลุกขึ้นมามองออกไปนอกกระโจม เขาก็เห็นร่างของเด็กสาวผู้งดงามยืนอยู่บนยอดไม้ที่ห่างออกไปประมาณห้าสิบวา

คราวนี้ หลินเป่ยเฉินสามารถมองเห็นโครงหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจนมากกว่าเดิม

เด็กหนุ่มรู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที

เด็กสาวบนยอดไม้จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความเงียบงัน

นางค่อยๆ ยกมือโบกสะบัดเป็นสัญญาณให้เขาติดตามไป

ต่อจากนั้น เด็กสาวก็พลิ้วกายหายเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา

“อากวง”

หลินเป่ยเฉินเรียกสัตว์เลี้ยงของตนเอง

อากวงสลายพลังล่องหนของมันและปรากฏกายขึ้นอยู่ข้างเท้าของเด็กหนุ่ม

“ข้าจะออกไปเดินเล่นในหุบเขาสักครู่ บอกหวังจงกับพวกนายทหารว่าถ้าถึงกำหนดเดินขบวนแล้วข้ายังไม่กลับมา ให้ล่วงหน้ากันไปก่อนได้เลยไม่ต้องรอ”

พูดจบแล้ว เด็กหนุ่มก็ใช้วิชาตัวเบาพลิ้วกายตามหลังเด็กสาวหายไปทันที

“ไปเดินเล่นเนี่ยนะขอรับ?”

อากวงก้มหน้าลงไปเขียนข้อความบนกระดานที่มันห้อยไว้อยู่กับลำคอ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ร่างของหลินเป่ยเฉินก็อันตรธานหายไปในความมืดมิดยามราตรีเสียแล้ว

ห่างออกมาจากค่ายพักแรมหลายลี้

บนแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินมีปีกกระบี่งอกยาว เขากำลังกระพือปีกบินไปในอากาศด้วยความเร่งรีบ

ข้ามภูเขาหลายลูก

จนกระทั่งหลินเป่ยเฉินมาถึงใจกลางหุบเขาที่เต็มไปด้วยยอดเขาสูงชันลดหลั่นกันไป

เด็กสาวทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนหน้าผาหินที่สูงที่สุดซึ่งอยู่ตรงใจกลางหุบเขา โดยมีหลินเป่ยเฉินทิ้งตัวตามลงมาในระยะเวลาที่ห่างกันไม่มาก

ทั้งสองฝ่ายยืนนิ่ง

พวกเขาเว้นระยะห่างจากกันมากกว่าห้าวา

แสงจันทร์สาดส่องลงมาผ่านก้อนเมฆ จับต้องพื้นที่กว้างใหญ่บนหน้าผาหินอย่างสวยงาม

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ในส่วนที่มีแสงจันทร์

เด็กสาวยืนอยู่นอกรัศมีแสงจันทร์ ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางได้อย่างชัดเจน

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไร้ความหมายอีกแล้ว

เพราะหลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นใคร

สายลมโชยพัดผ่านหุบเขา

นี่คือสายลมต้นฤดูหนาว มีความเย็นเยียบเสียดแทงใจผู้คน

เด็กหนุ่มและเด็กสาวประสานสายตากลางความเงียบ

หลินเป่ยเฉินอยากจะหัวเราะออกมา แต่เขาก็หัวเราะไม่ออกแล้ว

อันที่จริง ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ หลินเป่ยเฉินก็พอจะนึกอะไรขึ้นมาได้หลายอย่างทีเดียว

ปริศนาที่ไร้คำตอบหลายเรื่อง ได้รับคำตอบจากการปรากฏตัวของเด็กสาวเมื่อคืนนี้

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา แล้วพูดว่า “ไม่คิดเลยนะว่าพวกเราจะได้มาพบเจอกันอีกครั้ง ในเวลาเช่นนี้ สถานที่เช่นนี้ และสถานะเช่นนี้”

เด็กสาวฝ่ายตรงข้ามยกมือกอดอกและถอนหายใจออกมาเช่นกัน “หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าทำลายแผนการของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเราก็คงไม่ต้องมาพบเจอกันเช่นนี้หรอก”

หลินเป่ยเฉินพูดว่า “ตกลงว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อฆ่าข้าหรืออย่างไร?”

เด็กสาวตอบ “หากเจ้ายอมรับข้อเสนอของข้า… ไม่สิ พูดให้ถูกต้องก็คือ หากเจ้าฟังคำแนะนำของข้า เราก็จะได้ไม่ต้องสู้กันจนมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถึงแก่ความตาย”

“ข้อเสนออันใด?”

หลินเป่ยเฉินสอบถาม “ไป๋ชินหยุน ข้าเรียกเจ้าด้วยชื่อนี้มาตลอด หรือว่าเจ้าต้องการมาทวงหนี้ข้า?”

เมฆดำบนท้องฟ้าลอยผ่านไปแล้ว

แสงจันทร์ขยายรัศมีครอบคลุมพื้นที่ว่างบนหน้าผาหิน

โฉมหน้าของเด็กสาวปรากฏขึ้นใต้แสงจันทร์

นางยังคงมีความน่ารักน่าชังไม่ต่างจากตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ต่อให้หน้าตาจะดูอ่อนเยาว์ แต่หน้าอกหน้าใจนั้นเล่ากลับมีขนาดใหญ่โตมโหฬารในชนิดที่ว่าเด็กสาวอายุเท่านี้ไม่ควรมีด้วยซ้ำ แต่นางดูจะไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจกับร่างกายที่ขาดความสมดุลเช่นนี้เลย มิหนำซ้ำ หน้าอกขนาดใหญ่ของไป๋ชินหยุนกลับทำให้เด็กสาวมีเสน่ห์เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

เด็กสาวผู้นี้ถ้าไม่ใช่ไป๋ชินหยุนแล้วจะเป็นใครไปได้อีก?

นางคือหนึ่งในสี่ลูกศิษย์ที่โด่งดังที่สุดของสถานศึกษากระบี่ที่สาม

เวลานี้ ไป๋ชินหยุนควรจะพักผ่อนอยู่ในสถานศึกษาที่นครเจาฮุย แต่นางกลับใช้วิชาตัวเบาในระดับยอดปรมาจารย์มาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินแล้ว

“อิอิ เจ้ากำลังหมายถึงเงินหนึ่งแสนเหรียญทองคำนั้นใช่หรือไม่?”

ไป๋ชินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สำหรับข้า เศษเงินเพียงเท่านั้นหาได้มีค่ามากพอ ที่จะทำให้ข้าเปิดเผยตัวตนให้เจ้าได้รู้ไม่”

“ถ้าอย่างนั้นมันเป็นเพราะเหตุใด?”

หลินเป่ยเฉินถามเน้นย้ำทีละคำ

ไป๋ชินหยุนตอบกลับอย่างอารมณ์ดี “ข้ามาเตือนไม่ให้เจ้าอพยพผู้คนไปที่นครเจาฮุย หากเจ้าเปลี่ยนเส้นทางและหลบหนีออกไปนอกจักรวรรดิเป่ยไห่ ข้าจะยินดีช่วยเหลือเจ้าทุกประการ”

“นี่คือข้อเสนอของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว

ไป๋ชินหยุนพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “โปรดคิดไตร่ตรองดูให้ดี”

หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้หรือไม่? ไม่ทราบว่าเจ้าเองก็คงเป็นหนึ่งในข้ารับใช้ของเว่ยหมิงเฉินเหมือนกันสินะ?”

ไป๋ชินหยุนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมาในที่สุด “จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความเศร้า “หมายความว่าที่ผ่านมา เจ้าเสแสร้งแกล้งทำตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวมาโดยตลอด?”

ไป๋ชินหยุนแค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนยิ้มกว้าง “พวกเราต่างก็ใช้ประโยชน์จากกันและกัน เว่ยหมิงเฉินมีในสิ่งที่ข้าต้องการ และข้าก็มีในสิ่งที่เขาต้องการ เพราะฉะนั้น จะถือว่าข้าทำงานให้เว่ยหมิงเฉินก็คงได้ แต่จากการที่ข้ามาพบเจอเจ้าในคืนนี้ มันก็ทำให้ข้าไม่ได้เป็นคนของเว่ยหมิงเฉินอีกต่อไป ข้าเพียงอยากจะมาบอกเจ้าว่า ขอเพียงเจ้าตัดสินใจให้ถูกต้อง แล้วเจ้าจะไม่ต้องต่อสู้ด้วยตัวเพียงคนเดียวอีก”

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว “ถ้าอย่างนั้น นี่ก็หมายความว่า… เจ้าคือปีศาจที่คอยหนุนหลังเว่ยหมิงเฉินอยู่สินะ?”

ไป๋ชินหยุนพยักหน้าอย่างแช่มช้า “หากเจ้าหมายถึงการที่เว่ยหมิงเฉินลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจของเทพีกระบี่ และพยายามยึดครองจักรวรรดิเป่ยไห่ไปเป็นของเขาเองให้ได้ ใช่แล้ว… ข้านี่แหละคือผู้ที่คอยสนับสนุนเขาเอง”

ต่อให้หลินเป่ยเฉินพอจะคาดเดาคำตอบนี้ได้อยู่ก่อน แต่เมื่อได้ยินจากปากของไป๋ชินหยุนด้วยสองหูของตนเอง เด็กหนุ่มก็อดตกตะลึงไม่ได้แล้วจริงๆ

ที่แท้ความวุ่นวายทั้งหมดนั้นก็เป็นฝีมือของไป๋ชินหยุน

“นั่นหมายความว่าเจ้าคือปีศาจที่เข้าสิงร่างเซินเฟย และสังหารหลี่เทากับเถาหว่านเฉิงใช่หรือไม่?”

“เป็นข้าเอง แต่จะบอกว่าสิงร่างก็คงไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ เพราะร่างกายของเซินเฟย แทบจะรับพลังของข้าไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ”

“แล้วที่หุบเขาชายแดนเหนือ ตอนที่เจ้าพาศิษย์พี่ฮันหลบหนีกลุ่มนักล่าอสูรมาได้สำเร็จ เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้เป็นเพราะว่าพวกเจ้าโชคดี แต่เป็นเพราะว่าตอนที่ศิษย์พี่ฮันหมดสติ เจ้าได้สังหารนักล่าอสูรเหล่านั้นหมดสิ้น จึงสามารถพาตัวเขากลับเข้าเมืองมาได้อย่างปลอดภัยใช่หรือไม่?”

“เหอเหอเหอ ในเมื่อเจ้ารู้จักตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังกันอีกต่อไป… ถูกต้อง อันที่จริงคืนนั้น ข้าคิดที่จะสังหารศิษย์พี่ฮันด้วยเช่นกัน แต่แล้วข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าหากตนเองหลบหนีออกมาได้สำเร็จเพียงคนเดียว มันจะดูน่าสงสัยมากเกินไป ตอนนั้นศิษย์พี่ฮันหมดสติไม่รับรู้เรื่องราว เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ซ้ำยังมีอาการหนักหนาสาหัสเป็นตายเท่ากัน ทุกคนจึงให้ความสนใจไปที่เขา และไม่มีใครมาสนใจข้าอีกแล้ว”

ไป๋ชินหยุนบอกเล่าเรื่องราวด้วยความสนุกสนาน

“และเจ้าก็เป็นคนบงการกลุ่มนักฆ่าไร้หน้าที่พยายามมาลอบสังหารข้าหลายครั้งหลายหนด้วยสินะ?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง

“ไม่เลวเลยนี่นา”

ไป๋ชินหยุนตอบรับเสียงเรียบ “ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นภัยคุกคามต่อตัวข้า ก็เลยอยากจะฆ่าเจ้าทิ้งน่ะ”

“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ลงมือด้วยตัวเอง?”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความไม่เข้าใจ “ด้วยระดับพลังของเจ้า ในตอนนั้นเจ้าย่อมสามารถสังหารข้าได้อย่างไม่มีปัญหา”

ไป๋ชินหยุนตอบทุกคำถามของเด็กหนุ่มโดยไม่มีบิดพลิ้ว “ข้าไม่ได้ถือว่านี่คือเรื่องส่วนตัวแต่อย่างใด ข้าทำเช่นนี้กับทุกคนที่ทำให้ข้าเกิดความรู้สึกว่ามีภัยคุกคามกำลังจะเข้ามาถึงตัว อีกอย่าง นักพรตหญิงชินแห่งวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งก็คอยปกป้องเจ้าอยู่ทั้งคน ตอนนั้นข้าเองยังปรับตัวกับโลกนี้ได้ไม่ดีเท่าไหร่ ก็เลยไม่อยากทำให้ตัวเองตกเป็นจุดสนใจของนางต่างหาก”

“หมายความว่าเจ้าก็หวาดกลัวนักพรตหญิงชินอยู่เหมือนกันใช่ไหม?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากเล็กน้อย

“เหลวไหล”

ไป๋ชินหยุนตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ “นักบวชหญิงคนนั้น ถึงแม้ว่าในอดีตนางจะเคยสังหารเทพเจ้ามาก่อน แต่ถ้าให้สู้กันแล้ว ข้าไม่มีทางแพ้นางแน่ๆ เพียงรอให้พลังของข้าฟื้นฟูกลับขึ้นมาสมบูรณ์ก่อนเถิด แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ข้าจะทำให้นางมาสงสัยในตัวข้าไม่ได้เด็ดขาด”

หืม

นี่หมายความว่านักพรตหญิงชินมีพลังแข็งแกร่งมากกว่าที่เขาคิดอีกหรือ?

หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง “แล้วพวกเฉาพั่วเถียน ไป๋ไห่ชิน กับแผนการร้ายของพวกมันระหว่างการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง รวมไปถึงเรื่องที่มี่หรู่หยานกับเยว่หงเซียงถูกจัดฉากใส่ความว่าเป็นสาวกปีศาจ เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าอยู่เบื้องหลังทั้งหมดใช่หรือไม่?”