บทที่ 612 เจ้าไม่ใช่มดปลวกธรรมดา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 612 เจ้าไม่ใช่มดปลวกธรรมดา

“ก็ต้องใช่อยู่แล้ว”

ไป๋ชินหยุนถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย “แต่ข้าไม่ได้วางแผนไว้หรอกนะ ก็แค่ไหลไปตามสถานการณ์เท่านั้นเอง”

“แหม ไหลไปตามสถานการณ์ สุดท้ายก็อยากจะฆ่าข้าเนี่ยนะ?”

หลินเป่ยเฉินโวยวาย

“อย่าเข้าใจข้าผิดสิ”

ไป๋ชินหยุนพูดเสียงแข็งขึ้นมาเช่นกัน “เจ้าเองก็ทำไม่ดีเอาไว้เยอะ ก่อนหน้านี้ก็เกือบจะทำให้ข้าถึงแก่ความตายด้วยซ้ำ… เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา จะเรียกว่าเป็นความรักที่อยู่ร่วมกับความแค้นก็คงได้”

“ความรัก? ใครรักเจ้าไม่ทราบ”

หลินเป่ยเฉินพูดพึมพำ

จังหวะนั้น เด็กหนุ่มเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “มิน่าล่ะ เจ้าถึงหลีกเลี่ยงไม่ยอมไปที่วิหารประจำเมืองอยู่ตลอด นั่นเป็นเพราะว่าเจ้ากลัวถูกเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงนั่นเอง ครั้งเดียวที่เจ้าไปปรากฏตัวบนวิหารเทพกระบี่ ก็เป็นตอนที่เทพีกระบี่ขาดการติดต่อ… ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะเจ้าหวาดกลัวว่าจะถูกนักพรตหญิงชินมองออกทะลุปรุโปร่งใช่หรือไม่?”

“หวาดกลัวอย่างนั้นหรือ?”

ไป๋ชินหยุนยิ้มมุมปากด้วยความเหยียดหยาม “เรียกว่าข้าระมัดระวังตัวมากขึ้นดีกว่า เพราะหากข้าไม่ก่อปัญหาใดๆ นางย่อมไม่สงสัยข้าอยู่แล้ว อีกอย่าง ด้วยระดับธิดามารอย่างข้า ต้องเป็นเทพเจ้าเท่านั้นแหละ ถึงจะล่วงรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของข้าเป็นใคร”

หลินเป่ยเฉินกำลังขมวดคิ้วใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง

น่าเหลือเชื่อที่ว่าตลอดความวุ่นวายที่เกิดขึ้นหลายเดือนนี้ ไม่เคยมีผู้ใดคิดสงสัยไป๋ชินหยุนเลยแม้แต่คนเดียว

นั่นเป็นเพราะว่าไป๋ชินหยุนสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ตนเองได้อย่างยอดเยี่ยม

หลินเป่ยเฉินอดพยักหน้าด้วยความชื่นชมไม่ได้ “การตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้าครั้งหลังสุด เจ้าก็คงเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง คอยสนับสนุนลูกน้องของเว่ยหมิงเฉินเหมือนเดิมสินะ”

เด็กสาวพยักหน้าตอบรับ “ถูกแล้ว พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็รู้สึกปวดหัวไม่น้อย ตอนนั้นถึงข้าแน่ใจว่าตนเองซ่อนตัวได้ดี แต่สุดท้ายนักพรตหญิงชินก็เริ่มเกิดความสงสัยในตัวข้ามากขึ้นและมากขึ้น นางแอบทดสอบข้าอยู่หลายครั้งโดยที่เจ้าไม่รู้ตัวเลยสักนิด มันทำให้ข้าโมโหแทบบ้าตาย และไม่มีทางเลือกนอกจากชิงลงมือก่อนเท่านั้น”

“ข้าได้มอบแผ่นยันต์ศักดิ์สิทธิ์ให้กับลูกน้องของเว่ยหมิงเฉิน เพื่อที่จะได้ทำการตรวจสอบวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งโดยไม่มีผู้ใดตั้งข้อสงสัย… แต่เรื่องนี้ต้องโทษว่าเป็นความผิดของเจ้าคนเดียว การที่เจ้าอัญเชิญพลังของเทพีกระบี่มาประทับร่างได้สำเร็จเมื่อครั้งก่อน มันเป็นการทำลายแผนการของข้าเสียย่อยยับ ดังนั้น ข้าจึงต้องลงมือแล้ว”

“ตอนที่คุณชายเหลียนซานถูกพลังปีศาจเข้าครอบงำ… ก็คงไม่พ้นเป็นฝีมือของเจ้าอีกเช่นกัน?”

หลินเป่ยเฉินพูดขึ้นมาอีกครั้ง

ไป๋ชินหยุนตอบ “จะบอกอะไรให้นะ นอกจากข้าจะมอบพลังให้แก่คุณชายเหลียนซานแล้ว ข้ายังเป็นหนึ่งในตัวแทนที่ออกไปต่อสู้กับพวกเจ้าอีกด้วย แต่โชคร้ายที่ข้าเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ผู้แข็งแกร่ง ทำให้ไม่สามารถชนะได้อย่างที่คิด ถึงอย่างนั้น… ก็นับว่ายังคงโชคดีอยู่บ้างที่สามารถหนีรอดมาได้ นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ข้าช่วยเหลือพวกเขา ดูเหมือนพวกของเว่ยหมิงเฉินตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสังหารเจ้าให้จงได้ แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ เจ้าสามารถทำให้สถานการณ์พลิกผันได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุด แผนการของข้าก็พังทลายลงไปไม่เหลือชิ้นดี”

“ครั้งสุดท้าย?”

หลินเป่ยเฉินทวนคำพูด หน้านิ่วคิ้วขมวด “ไหนบอกว่าไม่ช่วยเหลือพวกมันแล้ว แต่เจ้ากลับมาหาข้าอีกเนี่ยนะ?”

ไป๋ชินหยุนคลี่ยิ้มด้วยความเหนื่อยใจ “ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่ต่างหากไม่รู้หรือไง? ตราบใดที่เจ้าไม่ได้เดินทางไปนครเจาฮุย เจ้าก็ไม่ใช่ศัตรูของข้า และข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องฆ่าเจ้าอีก”

หลินเป่ยเฉินพูดสวนกลับไปทันควัน “ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้อีกหนึ่งคำถาม เรื่องที่ข้าอยากจะรู้ก็คือ การที่ชาวทะเลยกพลขึ้นบกในครั้งนี้ เจ้ามีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่?”

“แน่นอน…”

ไป๋ชินหยุนส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้าย่อมไม่รู้เรื่องด้วยอยู่แล้ว”

“แล้วพวกเว่ยหมิงเฉินล่ะ?”

เด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัย

ไป๋ชินหยุนตอบ “เว่ยหมิงเฉินไม่น่าจะมีเส้นสายใหญ่โตถึงขนาดนั้น เขามีอำนาจมากล้นก็จริง แต่นั่นก็เป็นแค่เพียงในเมืองของเขาเท่านั้น เว่ยหมิงเฉินยังไม่มีบารมีมากพอที่จะไปร่วมมือกับชาวทะเลได้เด็ดขาด พวกเขาก็แค่ไหลตามน้ำอาศัยจังหวะที่ชาวทะเลยกพลขึ้นบกบุกโจมตีเมืองหยุนเมิ่งหลอกปั่นหัวเจ้า เห็นได้ชัดว่าชาวทะเลวางแผนการมาเป็นอย่างดี นี่หมายความว่าพวกเขาคงเตรียมตัวมานานแล้ว ไม่ว่าจะมีเว่ยหมิงเฉินคอยช่วยเหลือหรือไม่ ผลลัพธ์ก็ไม่แตกต่างไปจากนี้หรอก”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า “แต่มีคนบริสุทธิ์มากมายต้องตายไปโดยไม่ได้รับความยุติธรรม”

ไป๋ชินหยุนพูดเสียงเรียบ “ในเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ สักวันหนึ่งก็ต้องตายอยู่ดี ต่อให้เป็นเจ้าหญิง เจ้าชาย แม่ทัพนายกองหรือคนธรรมดา สักวันหนึ่งก็ต้องหมดลมหายใจเหมือนกันทั้งนั้น… ชีวิตมนุษย์สำหรับข้า พวกเจ้าไม่ต่างจากมดปลวกที่หากินอยู่ตามพื้นดินอันต่ำต้อย ไม่ต่างไปจากต้นไม้ใบหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ ถึงแม้จะรอดพ้นสัตว์เลื้อยคลานที่กินพวกเจ้าเป็นอาหารมาได้สำเร็จ แต่สุดท้าย ก็ต้องตายกันหมดสิ้นเมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงอยู่ร่ำไป”

“เดี๋ยวก่อนนะ… เล่นเปรียบเทียบพวกข้าเป็นต้นหญ้าข้างทางบ้างล่ะ เป็นมดปลวกบ้างล่ะ มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง”

หลินเป่ยเฉินพูดกลับไปใบหน้ากระตุก…

“แต่มันก็เป็นความจริงใช่ไหมล่ะ”

ไป๋ชินหยุนว่า

หลินเป่ยเฉินแค่นหัวเราะในลำคอประชดประชัน “ถ้าอย่างนั้น ข้าในสายตาของเจ้า ก็คงไม่พ้นเป็นมดปลวกตัวหนึ่งเช่นกัน”

ไป๋ชินหยุนพยักหน้า “ตอนแรกข้าก็คิดเช่นนั้น… แต่หลังจากได้รู้จักเจ้าแล้ว ข้าก็ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดไป”

“เปลี่ยนแปลงความคิด?”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “เพราะเจ้าเห็นข้าเป็นสหายคนหนึ่งใช่หรือไม่?”

“ไม่ใช่สักหน่อย”

ไป๋ชินหยุนฉีกยิ้มกว้าง “เจ้ามีหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ สำหรับในสายตาของข้า เจ้าไม่ใช่มดปลวกธรรมดา แต่เป็นมดปลวกที่หน้าตาดีอย่างยิ่ง”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก

เขาอุตส่าห์หลงดีใจแล้วเชียว

“แล้วทำไมข้าถึงเดินทางไปที่นครเจาฮุยไม่ได้?”

หลินเป่ยเฉินกลับมาเข้าประเด็นของตนเองอีกครั้ง

“หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะไปทำให้แผนการของเจ้าต้องล้มเหลวอีก?”

ไป๋ชินหยุนตอบว่า “ถ้าบอกว่าข้ากลัวเจ้าจะต้องตาย เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”

“ขอบคุณที่ห่วงใย”

หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไป

ไป๋ชินหยุนพยักหน้ารับคำหน้าตาเฉย “ด้วยความยินดี ด้วยความยินดี”

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับใช้ความคิด ก่อนพูดออกมาในที่สุด “แต่ถ้าไม่ไปที่นั่น แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร? ข้ามีชาวเมืองที่ต้องรับผิดชอบดูแลอีกนับหมื่นคน ถ้าข้าไม่ไปที่นครเจาฮุย แล้วข้าจะให้พวกเขาอยู่ที่ไหน?”

ไป๋ชินหยุนพูดด้วยสีหน้ากระตือรือร้น “เรื่องนั้นเดี๋ยวข้าจะช่วยเหลือเจ้าเอง”

หลินเป่ยเฉินกล่าวต่ออีกว่า “แต่ข้ายังมีมิตรสหายมากมาย รอให้พบเจออยู่ที่นครเจาฮุย…”

“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ไม่สำคัญเลยสักนิด”

ไป๋ชินหยุนหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย “เดี๋ยวข้าจะช่วยฆ่าพวกเขาให้เจ้าเอง แค่นี้ก็ไม่มีใครรอเจ้าอยู่ที่นั่นแล้ว“

หลินเป่ยเฉินได้แต่กะพริบตาปริบๆ

ฟังที่พูดสิ มีมนุษย์ที่ไหนบ้างพูดกันเช่นนี้

อ้อ จริงด้วย

ไป๋ชินหยุนไม่ใช่มนุษย์นี่นะ

แต่เด็กสาวเป็นถึงนางปีศาจ

“ห้ามไปยุ่งกับพวกเขาเด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินว่า “ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพื่อนเก่าของเราเชียวนะ”