รัชทายาทหมิงเต๋อมาพบจิ่วหรง ทั้งสองไปเยือนหุบเขาเทียนอีด้วยกัน
กงล้อพลิกฟ้าเฉียนคุนเป็นสิ่งที่จักรพรรดิฝูซีหลงเหลือไว้ให้ในสมัยโบราณกาล ไม่นานนัก พวกเขาก็เดินทางมาถึงหุบเขาเทียนอี
ได้ยินมาว่า การใช้กงล้อพลิกฟ้าเฉียนคุนจะทำให้สามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งที่มนุษย์บนโลกไม่สามารถหาพบได้
เป็นอีกครั้งที่รัชทายาทหมิงเต๋อใช้พลังโอรสแห่งสวรรค์เขาค่อยๆ เปิดกงล้อพลิกฟ้าเฉียนคุนเพื่อตามหาวิญญาณดวงสุดท้ายของเทพธิดาที่กระจัดกระจายอยู่บนโลกมนุษย์
ขณะที่กงล้อพลิกฟ้าเฉียนคุนเปิดออกอย่างเชื่องช้า ภาพเหตุการณ์เลือนรางพลันปรากฏขึ้น
ตึกสูงระฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟ และรถยนต์ที่แล่นผ่านฝูงชนไปมา
เป็นโลกที่แปลกประหลาดยิ่งนัก บุรุษและสตรีล้วนมีผมสั้น ผมของบุรุษบางคนยังยาวกว่าสตรีเสียอีก
ผู้คนไม่ยึดติดกับขนบธรรมเนียมเก่าๆ สตรีสามารถสวมใส่เสื้อผ้าเอวลอย กระโปรง หรือกางเกงขาสั้นออกไปข้างนอกได้ เส้นผมก็มีหลากหลายสีสัน
ในเมืองศิวิไลซ์ที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียง มีบุรุษสองคนที่ดูคุ้นเคยยิ่งนัก
ภายในตึกหรูหราสูงเสียดฟ้า ร่างอันโดดเดี่ยวนั้นอยู่ในลิฟต์ที่สามารถเห็นความเจริญรุ่งเรืองของเมือง ลิฟต์นั้นค่อยๆ เคลื่อนลงมาจากชั้นบนของตึกระฟ้า
แววตาของทั้งสองมองไล่ลงมาตั้งแต่ร่องอก เอวเล็กคอด กระโปรงสั้นรัดรูปของหญิงสาว สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ขาอ่อนขาวนวลที่กระโปรงปกปิดไม่มิด
ดวงตาทั้งคู่จ้องมองโดยไม่ละสายตา
ก่อนที่แววตาของเขาจะกลับมามองใบหน้าที่คุ้นเคย ทันใดนั้น รัชทายาทหมิงเต๋อก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขายกสองมือปิดตาจิ่วหรงทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน จิ่วหรงสะบัดแขนเสื้อกว้าง แถบผ้าสีขาวเส้นหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้ารัชทายาทหมิงเต๋อ ปิดบังการมองเห็นของเขา
น้ำเสียงของทั้งสองแข็งกร้าวพอกัน
“ห้ามมอง! ”
“ห้ามมอง! ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง รัชทายาทหมิงเต๋อจึงปล่อยมือที่ปิดตาจิ่วหรง ส่วนจิ่วหรงก็ปลดแถบผ้าที่ปิดตาอีกคนออก
ภาพบนกงล้อพลิกฟ้าเฉียนคุนเปลี่ยนไปแล้ว
ครั้งนี้เป็นภาพสตรีที่สวมชุดมิดชิด นางอยู่ในชุดทหารสีเขียว ทว่ารอบด้านเป็นกำแพงสีขาว ผ้าปู ผ้าห่ม ถุงมือ และเสื้อผ้าล้วนเป็นสีขาว
แม้จะไม่เข้าใจว่าที่แห่งนั้นคือที่ใด ทว่ารัชทายาทหมิงเต๋อพอจะคาดเดาได้ว่า ต้องเป็นสถานที่สำหรับรักษาโรค
สตรีนางนั้นเดินไปยังห้องหนึ่งอย่างไม่เร่งรีบ นางถอดชุดแพทย์ทหารออกและเปลี่ยนเป็นชุดกาวน์ เมื่อเดินออกจากประตูก็รีบตรงไปยังอีกห้องหนึ่ง
ข้างกายมีหญิงสาวผู้หนึ่งคอยรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
“หมอซู อาการของผู้อำนวยการลวี่ดีขึ้นแล้ว ตอนเช้าฉันไปตรวจดูโดยละเอียด พบว่าสารพิษในร่างกายถูกขจัดออกจนหมด วันจันทร์ก็ออกจากโรงพยาบาลได้”
“ภรรยาของท่านประธานจางจากบริษัทหัวเซิ่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของเราในตอนเช้า เนื่องจากอาหารเป็นพิษ หัวหน้าให้คุณไปดูตามตารางเวรหน่อย”
“ยังมีคณะกรรมการเมือง… ”
ก่อนที่คนผู้นั้นจะพูดจบ เสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังสะท้อนไปทั่วทางเดิน ทันใดนั้น บุรุษวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีในชุดกาวน์สีขาวเหมือนสตรีผู้นั้นก็วิ่งเข้ามา
“หัวหน้าจาง เกิดอะไรขึ้น? มีเรื่องอะไรกัน? ”
“ไวรัส SHEAT จากประเทศH แพร่ระบาด ศาสตราจารย์ Jake จะกลับประเทศในอีกสามวันข้างหน้า กรมจัดการให้คุณนำบุคลากรทางการแพทย์จำนวนเก้าคนรีบไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กลับบ้านแล้วไปเตรียมตัวให้พร้อม คุณต้องออกเดินทางในอีกสามวัน” หัวหน้าจางพยายามทำเสียงสงบนิ่งอย่างเต็มที่
สตรีผู้นั้นตกใจเพียงเล็กน้อย ก่อนจะรีบทำความเคารพ “รับทราบ! ”
……
รัชทายาทหมิงเต๋อต้องการดูต่ออีกสักหน่อย ใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นทำให้เขาไม่อยากละสายตา ทั้งยังอาลัยอาวรณ์ไม่รู้จบ
ทว่าเขาไม่มีพลังให้ต้านทานได้อีกต่อไป พลังโอรสสวรรค์ภายในร่างค่อยๆ หมดลง ร่างกายอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
ในตอนนี้ กระทั่งแรงจะยืนอยู่ตรงหน้ากงล้อพลิกฟ้าเฉียนคุนก็ยังไม่มี
เมื่อพลังโอรสสวรรค์ค่อยๆ สลายไป ร่างของสตรีในกงล้อพลิกฟ้าเฉียนคุนก็โอนเอนไปมา กลายเป็นร่างเงาที่ค่อยๆ เลือนหายไปจนมองไม่เห็นอันใด
รัชทายาทหมิงเต๋อทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบปกคลุมไปทั่วหน้าผาก เขาเงยหน้ามองจิ่วหรงด้วยแววตามีความหวัง
เห็นได้ชัดว่า ชีวิตของเขาดำเนินมาถึงช่วงเวลาสุดท้ายแล้ว ทว่าเขากลับแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ “จิ่วหรง หาวิญญาณดวงที่สามของซีเอ๋อร์พบแล้ว จดจำสิ่งที่เจ้ารับปากข้าไว้เมื่อห้าร้อยปีก่อน ต้องช่วยชีวิตนาง ต้องช่วยชีวิตนางให้ได้”
เมื่อพูดจบ ร่างของรัชทายาทหมิงเต๋อก็ค่อยๆ สลายหายไป ตั้งแต่เท้าจรดศีรษะกลายเป็นผงธุลีทีละคืบ คล้ายกับเหตุการณ์เมื่อห้าร้อยปีก่อนที่รัชทายาทเสวียนเยี่ยและเทพธิดาสังเวยชีวิต
ขณะที่ร่างของรัชทายาทหมิงเต๋อค่อยๆ สลายไป วิญญาณอีกดวงของเทพธิดาก็แยกออกมาจากร่างของรัชทายาทหมิงเต๋อ และค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นฟ้า
จิ่วหรงหยิบเครื่องมือพิเศษออกมารวบรวมวิญญาณดวงนั้น
หลังจากนั้นจึงออกมาจากสำนักแพทย์เทียนอี
ทว่าจิ่วหรงไม่ทันเห็น ยามที่รัชทายาทหมิงเต๋อจากไป ขณะที่สวรรค์และโลกผนึกรวมเป็นแสง ความทรงจำของเขาถูกดูดเข้าไปในกำไลที่เขาพกติดตัว
กำไลที่ทำจากทองแดง ไม่มีอันใดพิเศษและไม่สะดุดตา ทว่ากำไลทั้งวงแกะสลักเป็นลวดลายดอกปี่อั้นสีแดงสดใส ฝีมือแกะสลักประณีตวิจิตรราวกับมีชีวิต
เมื่อออกมาจากสำนักแพทย์เทียนอี จิ่วหรงก็ตรงไปยังเทือกเขาคุนหลุน ในบริเวณเขาเฟิ่งหวงที่ซีหวังหมู่เคยพำนักอยู่
ใจกลางเขาเฟิ่งหวง จิ่วหรงพบจิตวิญญาณของเผ่าเม้ย เขารวบรวมจิตวิญญาณแห่งเผ่าเม้ยเข้ากับการบำเพ็ญตบะหนึ่งพันปีของตน เพื่อผนึกร่างของดวงจิตและนำเข้าสู่โลก จากนั้นจึงอัญเชิญดวงวิญญาณของเทพธิดาที่กระจัดกระจายอยู่ในแดนไกลให้หวนคืนกลับมา ซึ่งนั่นคือสามพันปีในอนาคต
เมื่อได้เห็นรัชทายาทเสวียนเยี่ยสิ้นพระชนม์อีกครั้ง เห็นจิ่วหรงแบกรับจิตวิญญาณเผ่าเม้ยจนได้รับบาดเจ็บจากสัตว์ร้ายทั้งแปดที่ปกป้องเขาเฟิ่งหวง เห็นจิ่วหรงบำเพ็ญตบะหนึ่งพันปีเพื่อรวบรวมร่างของดวงจิต… น้ำตาของซูจิ่นซีพลันไหลอาบสองแก้มอย่างควบคุมไม่ได้
คุ้มค่าหรือ?
ละทิ้งชีวิตเพื่อให้นางได้มีชีวิตอีกครั้ง เพื่อความยึดติดที่ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่
คุ้มค่าหรือ?
สองชีวิตของรัชทายาทเสวียนเยี่ย การบำเพ็ญตบะหนึ่งพันปีของจิ่วหรง นางจะตอบแทนความเมตตาอันมากล้นเหล่านี้ได้อย่างไรไหว?
ห้าร้อยปีต่อมา ร่างของดวงจิตผนึกรวมกันสำเร็จ จิ่วหรงส่งนางไปยังโลกมนุษย์ ภายหลังคือคุณหนูสามแห่งสกุลจง มารดาของซูจิ่นซี จงซีจือ
ร่างดวงจิตประสบความสำเร็จในการให้กำเนิดเด็กทารก ทั้งความสามารถในการอัญเชิญก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น สิบสี่ปีให้หลัง วิญญาณอีกดวงของเทพธิดาถูกเรียกกลับมาได้สำเร็จ
จิ่วหรงที่อยู่สำนักแพทย์เทียนอีรับรู้ได้ถึงสัญญาณการหวนคืนของดวงจิตเทพธิดา เขารีบไปหานาง ทว่าในชาตินี้ เขามาช้าไปหนึ่งก้าว
เพราะตอนที่เขามาถึง การกลับชาติมาเกิดของรัชทายาทเสวียนเยี่ยก็ได้มาถึงแล้ว
วันนั้นแสงจันทร์งดงามไม่แปรเปลี่ยน ทว่ามันนำความเศร้าโศกมาด้วยเล็กน้อย
จิ่วหรงแต่งกายด้วยชุดสีขาวราวหิมะ อารมณ์และบุคลิกของเขาไม่แปรเปลี่ยนไปจากหนึ่งพันปีก่อน
เขายืนอยู่บนยอดชายคาที่แสงจันทร์ทอแสงลงมา ชุดสีขาวราวหิมะที่ปกคลุมหุบเขาเทียนอีตลอดปี ปลิวไสวไม่หยุด…
เมื่อมองร่างทั้งสองที่พัวพันกันใต้ต้นดอกเหมย หัวใจของเขาที่เฝ้ารอมากว่าพันปี แทบไม่รับรู้ว่าต้องเต้นอย่างไร กระทั่งเลือดในกายยังหยุดไหลเวียน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ บางอย่างที่ผิดพลาดไปแล้ว ต่อให้ชดใช้ด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย ก็ไม่สามารถย้อนคืนมาได้
โศกนาฏกรรมเมื่อพันปีก่อน ไม่เพียงหลงเหลือบาดแผลทิ้งไว้เท่านั้น ทว่ายังกลายเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ทุกชาติภพ
ความรักระหว่างเขาและเทพธิดา วาสนาของพวกเขาได้ถูกลิขิตให้ตายจากไปภายใต้ความเศร้าโศกของวันนั้น และไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกตราบชั่วนิรันดร์