จิตของซูจิ่นซีออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ดอกปี่อั้นบนหน้าผาก ราวกับมีเวทมนตร์น่าหลงใหลอย่างหาใดเปรียบไม่ได้
เหตุการณ์ในอดีตสะเทือนใจนางจนไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้ นางรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก
แต่ไหนแต่ไรมา นางไม่เคยมีช่วงเวลาเช่นนี้ นางต้องการกลับไปที่สำนักแพทย์เทียนอี เพื่อดูตำหนักเซียนหลินและหอดูดาวที่นางกับจิ่วหรงเคยอยู่
ดูกงล้อพลิกฟ้าเฉียนคุนที่ดึงดูดดวงวิญญาณของรัชทายาทหมิงเต๋อในปีนั้น
วิญญาณสองภพ การบำเพ็ญตบะหนึ่งพันปี
ความรักของบุรุษทั้งสอง เป็นความเจ็บปวดที่ในชีวิตนี้ซูจิ่นซีไม่อาจทนรับไหว
นางลุกขึ้นจากเตียง สวมรองเท้าแบบลวกๆ ก่อนจะวิ่งพรวดพราดออกไป เมื่อแม่นมฮวาและลวี่หลีที่อยู่ภายในเรือนเห็นเข้า จึงรีบเข้าไปขวางซูจิ่นซี
“พระชายาจะเสด็จที่ใดเพคะ? ”
ทว่าเมื่อเห็นดอกปี่อั้นที่ผลิบานบนหน้าผากของซูจิ่นซี นางก็ตกใจจนพูดไม่ออก
สีแดงชวนหลงใหลนั้นดูมีเสน่ห์ล้ำลึก ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้ ราวกับขโมยจิตวิญญาณของมนุษย์ไป
“เยี่ยโยวเหยาอยู่ที่ใด? ” ซูจิ่นซีถาม
แม่นมฮวากลับมาได้สติ นางรีบตอบ “ท่านอ๋องออกไปกับองครักษ์ฉินเพคะ บอกว่ามีเรื่องต้องไปจัดการ”
ซูจิ่นซีไม่รอช้า นางรีบวิ่งออกไปจากจวน
แม่นมฮวาวิ่งตามซูจิ่นซีอยู่ด้านหลัง “พระชายา ท่านอ๋องบอกว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องกลับแคว้นจงหนิงแล้วเพคะ พระองค์จะไปที่ใด? ”
ซูจิ่นซีไม่ตอบอันใด แม่นมฮวาไล่ตามไปจนถึงประตูใหญ่ ทว่านางไม่เห็นแม้เงาของซูจิ่นซีแล้ว
เมื่อออกมาด้านนอกประตู ซูจิ่นซีก็พบม้าตัวหนึ่ง นางควบม้ามุ่งหน้าออกนอกเมือง ห้อตะบึงไปยังทิศเหนือ หรือก็คือแคว้นตงเฉิน สำนักแพทย์เทียนอีอยู่ในแคว้นตงเฉิน
ซูจิ่นซีจำเส้นทางไปแคว้นตงเฉินได้อย่างแม่นยำ
อย่างไรก็ตาม นางออกจากเมืองมาได้ไม่ไกลนัก ก็ถูกคนที่อยู่ด่านนอกเมืองขวางเอาไว้
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าในเวลานี้ มู่หรงอวิ๋นไห่จะปรากฏตัวขึ้น และพาคนมาขัดขวางซูจิ่นซีด้วยตนเอง
เมื่อเห็นลวดลายดอกปี่อั้นสีเลือดบนหน้าผากของซูจิ่นซี มู่หรงอวิ๋นไห่ตกใจเล็กน้อย “จิ่นซี กลับไปกับพ่อ! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “เสด็จพ่อรีบมาหาหม่อมฉันเช่นนี้ มีเรื่องอันใดหรือ? หม่อมฉันมีเรื่องต้องจัดการ รบกวนเสด็จพ่อหลีกทางให้ด้วย”
มู่หรงอวิ๋นไห่ไม่ยอมให้นางตั้งคำถาม เขาตรงไปลากซูจิ่นลงมาจากม้า และยัดนางเข้าไปในรถม้าของพระราชวัง “ตามพ่อกลับวังก่อน พ่อมีเรื่องสำคัญต้องบอกเจ้า! ”
“เรื่องสำคัญ? เรื่องสำคัญอันใด? พูดตรงนี้ก็เหมือนกันมิใช่หรือ เหตุใดต้องไปคุยที่วังหลวง? ”
“เพราะว่าคุยตรงนี้ไม่สะดวก! ”
ซูจิ่นซีมองผู้คนรอบด้านที่มามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะตระหนักได้ว่าในบรรดาพวกเขา คนผู้หนึ่งคือฮ่องเต้ ส่วนอีกคนคือองค์หญิง ไม่สะดวกที่จะพูดคุยกันที่นี่จริงๆ นางจึงตามมู่หรงอวิ๋นไห่กลับวังหลวง
อย่างไรเสีย นางสามารถไปเยือนสำนักแพทย์เทียนอีได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องรีบไปตอนนี้ก็ได้
ทว่าซูจิ่นซีไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากกลับมาที่วังหลวง มู่หรงอวิ๋นไห่จะสั่งให้ขังนางไว้ในตำหนักฉางอัน ไม่ให้นางออกนอกประตูวังแม้เพียงครึ่งก้าว
ทั้งยังบอกกับนางอย่างชัดเจนว่า ไม่ให้นางและเยี่ยโยวเหยาอยู่ด้วยกัน
นี่มันเกิดอันใดขึ้น?
ก่อนหน้านี้ มู่หรงอวิ๋นไห่ทราบดีว่านางและเยี่ยโยวเหยาอภิเษกกันแล้ว แม้จะไม่ชอบพอนิสัยเย็นชาแข็งกร้าวของเยี่ยโยวเหยา ทว่าเขาไม่ได้คัดค้าน!
ทั้งเยี่ยโยวเหยายังช่วยสกุลมู่หรงอย่างมากในเรื่องการฟื้นฟูแคว้น
ในวันนั้น หากเยี่ยโยวเหยาไม่ปรากฏตัวพร้อมขุนพลผี พวกเขาคงตายที่เมืองเย่หลินแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ซูจิ่นซีจะตะโกนจนคอแตก มู่หรงอวิ๋นไห่ก็ไม่ปล่อยนางไป
เขารู้ว่าวรยุทธ์ของนางเยี่ยมยอด องครักษ์ทั่วไปไม่สามารถขัดขวางนางได้ สถานที่ธรรมดาก็กักขังนางไม่ได้ มู่หรงอวิ๋นไห่จึงโยกย้ายองครักษ์เงาที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดจากเหล่าเชื้อพระวงศ์มาเป็นการพิเศษ ทั้งยังปิดล้อมตำหนักฉางอันทั้งด้านในและด้านนอกอย่างแน่นหนาถึงสามชั้น และลงกลอนประตูถึงสามชั้นเช่นกัน
ซูจิ่นซีหมดหวังอย่างสิ้นเชิง
มู่หรงอวิ๋นไห่คิดจะทำอันใด?
เยี่ยโยวเหยาต้องไม่ทราบเป็นแน่ว่านางถูกขังอยู่ที่นี่
ไม่เช่นนั้น เขาคงรีบพาคนมาช่วยนางกลับไปแล้ว
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ซูจิ่นซีนับการเปลี่ยนแปลงของกลางวันและกลางคืน ทำให้รู้ว่าเวลาผ่านไปสามวันแล้ว
วันนั้น แม่นมฮวาพูดว่าเยี่ยโยวเหยาเตรียมจะกลับแคว้นจงหนิงในวันรุ่งขึ้น เช่นนั้น ตอนนี้เขาออกจากแคว้นหนานหลีไปหรือยัง?
หากไม่มีนาง เยี่ยโยวเหยาต้องไม่ไปแน่ ดังนั้น ตอนนี้เขายังอยู่ที่เมืองเย่หลินใช่หรือไม่?
ในที่สุด วันที่ห้า มู่หรงฉีก็มาหาซูจิ่นซี
มู่หรงฉีสั่งให้นางกำนัลซ้ายขวา ผู้ติดตาม และองครักษ์ที่เฝ้าประตูทั้งหมดถอยออกไปห้าก้าว
จากนั้นจึงปิดประตู
มู่หรงฉีมีท่าทีระแวดระวัง ทำให้ซูจิ่นซียิ่งมั่นใจว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่นอน
“เสด็จพี่ เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดเสด็จพ่อจึงขังข้าไว้ ข้างนอกเกิดอันใดขึ้น? หรือว่า… หรือว่า… ”
แคว้นจงหนิงกับแคว้นหนานหลีเกิดเรื่องใช่หรือไม่?
ทว่าประโยคนี้ ซูจิ่นซีไม่กล้าถามออกไป
มู่หรงฉีขมวดคิ้วแน่น เขาประคองไหล่ซูจิ่นซีไว้
“จิ่นซี เจ้าฟังข้า หากลืมเยี่ยโยวเหยาได้ก็ควรลืมเสีย! พวกเจ้าไร้วาสนาต่อกัน! ”
ไร้วาสนา? ใบหน้าของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยคำถาม
“เกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”
มู่หรงฉีลังเล ทว่ายังบอกความจริงกับซูจิ่นซี
“จิ่นซี ตั้งแต่วันที่พวกเรากลับมาจากแคว้นตงเฉิน ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าวว่า โยวอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิต้าฉิน”
เรื่องเหล่านี้ ซูจิ่นซีรู้มานานแล้ว “มีอันใดไม่เหมาะสมหรือ? ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิต้าฉิน หรือเป็นเสด็จอาแห่งแคว้นจงหนิง ใต้หล้านี้ เยี่ยโยวเหยาวางแผนไว้ถี่ถ้วนแล้ว สำหรับเยี่ยโยวเหยา มีอันใดแตกต่างหรือ?
มู่หรงฉีรับรู้ได้ถึงความสงสัยในแววตาของซูจิ่นซี
“แท้จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าโยวอ๋องจะครองใต้หล้าหรือไม่ ทว่า… ”
ดูเหมือนเป็นเรื่องยากที่จะพูด มู่หรงฉีมีท่าทีลังเลเล็กน้อย
“อันใด? ” ซูจิ่นซีถามอย่างหนักแน่น
มู่หรงฉีประมวลความคิด ก่อนจะพูดออกไปตามตรง “ระหว่างสกุลมู่หรงและราชวงศ์ต้าฉิน มีบัญชีแค้นที่ต้องชำระด้วยเลือด! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น
เพื่อเน้นย้ำถึงความเกลียดชังที่ร้ายแรง มู่หรงฉีจึงกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค “เป็นความแค้นจากการฆ่าล้างตระกูล ในปีนั้น ตอนที่จักรวรรดิต้าฉินยังไม่ล่มสลาย สกุลมู่หรงยังไม่เป็นสกุลมู่หรง ทว่าเป็นเพียงสกุลเกา ครั้งนั้น สกุลเกาเกือบถูกเชื้อพระวงศ์ของต้าฉินสังหารทั้งตระกูลภายในชั่วข้ามคืน”
ซูจิ่นซีตกใจอย่างเห็นได้ชัด นางใช้มือค้ำขอบโต๊ะและทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยใบหน้าซีดขาว
ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงพูดด้วยน้ำเสียงอักอ่วน “เช่นนั้น เยี่ยโยวเหยาก็ทราบเรื่องนี้หรือ? ”
“อืม! ”
“แล้วตัวเขา? ตอนนี้อยู่ที่ใด? ”
“คืนนั้น ตอนที่เสด็จพ่อพาเจ้าเข้าวัง เขาก็พาคนและม้าออกไปจากเมืองเย่หลิน วันนี้คงถึงเมืองหลวงแคว้นจงหนิงแล้ว”
ซูจิ่นซีปิดเปลือกตาลงอย่างหมดแรง และไม่พูดสิ่งใด
แสงแดดลอดผ่านช่องหน้าต่าง กระทบลงบนใบหน้าของนาง ทำให้ดอกปี่อั้นบนหน้าผากสว่างสดใส
มู่หรงฉีไม่ต้องการพูด ทว่าหลังจากลังเลอยู่ครู่ใหญ่ จึงเอ่ยเกลี้ยกล่อม “จิ่นซี บางคนเพียงพานพบเพื่อถูกลิขิตให้เป็นคู่กรรม ลืมไปเสียเถิด! ”
ซูจิ่นซีทำเพียงหลับตาลง และไม่พูดอันใด
มู่หรงฉีที่ยืนอยู่ข้างกายซูจิ่นซี ต้องการพูดบางอย่างอีกเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นซูจิ่นซีไม่ยอมเปิดปากพูด จึงไม่รบกวนนางอีก เขาเดินออกมากำชับองครักษ์ที่เฝ้าประตูด้านนอก รวมถึงผู้ติดตาม ก่อนจะจากไป