ไม่กี่วันหลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดมาหาซูจิ่นซีอีก นางไม่ได้นับว่าตนเองถูกขังอยู่ที่นี่นานเท่าไรแล้ว
ยิ่งใกล้วันต้นฤดูหนาวมากเท่าไร คำพูดของหญิงชราในห้องลับก็ยิ่งฝังลึกในใจนางมากขึ้นเท่านั้น ก่อนวันต้นฤดูหนาว นางต้องรีบไปหาหญ้าเสินเซียนที่ทะเลอู๋ว่าง และไปหาจิ่วหรงที่สำนักแพทย์เทียนอี
ชาติภพนี้ ดวงวิญญาณของนางไม่สมบูรณ์ ดังนั้น นางเชื่อคำพูดของหญิงชรา หากไม่ทำตามที่หญิงชราบอก เกรงว่านางคงไม่อาจก้าวข้ามหายนะในชีวิตนี้ไปได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่น นางต้องใช้ชีวิตให้ดี
เพียงมีชีวิตที่ดีก็สามารถตอบแทนสามชาติภพของรัชทายาทเสวียนเยี่ยและจิ่วหรงได้ เพียงมีชีวิตที่ดี นางก็จะมีโอกาสได้อยู่กับคนที่นางรัก
ดังนั้นวันนี้ ตอนที่นางกำนัลนำสำรับอาหารมาส่ง ซูจิ่นซีจึงใช้ยาสลบกับนางกำนัล และพยายามหลบหนีออกไป
องครักษ์เงาฝีมือดีหลายหมื่นคนห้อมล้อมซูจิ่นซีไว้
หากไม่ใช่เพราะเชื่อว่านางจะหลบหนี ซูจิ่นซีคงไม่รู้ว่าเสด็จพ่อของนาง ฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานหลี ใช้องครักษ์มากมายถึงเพียงนี้มาเฝ้านาง
เห็นได้ชัดว่าความเคียดแค้นระหว่างสกุลมู่หรงกับเชื้อพระวงศ์ต้าฉินนั้นลึกซึ้งยิ่งนัก
ซูจิ่นซีถือกระบี่เฟิ่งอวี่ไว้ในมือ พลางฟาดฟันไม่หยุด
รอบด้านมีศพล้มตาย เลือดอุ่นๆ กระเซ็นไปทั่วร่างของนาง จนทำให้นางแสบตา
ซูจิ่นซีไม่เคยฆ่าใครมากมายเท่าวันนี้มาก่อน
การสังหารทำให้นางรู้สึกใจอ่อน
สุดท้ายแล้ว นางจึงทำเพียงวางยาพิษองครักษ์เงาและองครักษ์ที่บุกเข้ามาหานาง
อย่างไรก็ตาม นางวางยาพิษคนกลุ่มหนึ่ง คนอีกกลุ่มก็เข้ามา
หลังจากนั้นก็มีอีกกลุ่ม
ท้ายที่สุด ร่างสีขาวราวหิมะที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เหาะลงมาท่ามกลางกองเลือดสีแดงฉาน
จิ่วหรง…
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น
ทว่าเมื่อร่างสีขาวบริสุทธิ์นั้นหันหลังกลับมา… โลกพลันไร้สีสัน สรรพสิ่งตอบรับแสงอาทิตย์ บรรยากาศอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ…
“พระชายา กระหม่อมมาช้า! ”
ที่แท้เป็นอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ้นคว้ามือซูจิ่นซี พาวิ่งออกไปนอกวัง และปกป้องซูจิ่นซีตลอดทาง
“พระชายา ทางนี้… ”
“พระชายา ระวัง… ”
“พระชายา พระองค์ไปก่อน! ”
“พระชายา พระองค์ได้รับบาดเจ็บหรือไม่? ”
เมื่อเห็นร่างตรงหน้าที่พานางวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาทั้งสองของซูจิ่นซีพลันร้อนผ่าว
นางต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าทุกครั้งที่อ้าปาก น้ำตาก็ไหลลงมาไม่หยุด ทุกอย่างติดอยู่ในลำคอ
สุดท้าย พวกเขาก็มาหยุดอยู่ที่เมืองเล็กๆ บริเวณชายแดนแคว้นหนานหลีกับแคว้นตงเฉิน อวิ๋นจิ่นวางจอกชาอุ่นๆ ลงบนฝ่ามือของซูจิ่นซี พลางแย้มยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน “พระชายาทรงม้าไม่พักตลอดทาง พระองค์คงเหน็ดเหนื่อยกระมัง? จิบชาร้อนสักจอกเถิด! ”
“ตกลง! ” ซูจิ่นซีรับชามาถือไว้ในมือ ดวงตาทั้งสองร้อนผ่าวยิ่งกว่าน้ำชาเสียอีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยถามว่า “อวิ๋นจิ่น เจ้ามาได้อย่างไร? ”
ทว่าอวิ๋นจิ่นยังไม่ทันได้พูด ซูจิ่นซีก็ตอบคำถามแทนเขา “ท่านอ๋องให้เจ้ามาใช่หรือไม่? ”
แววตาของอวิ๋นจิ่นปรากฏความผิดหวังที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น คำพูดที่ต้องการเอ่ยถูกเขากลืนลงคอ
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา เป็นท่านอ๋องที่รับสั่งให้กระหม่อมมา ไม่ว่าสกุลมู่หรงกับราชวงศ์ต้าฉินจะเกิดเรื่องราวอันใดขึ้น ท่านอ๋องก็ยังคงเป็นท่านอ๋อง เป็นท่านอ๋องของพระชายา ท่านอ๋อง… ไม่ทอดทิ้งพระชายาแน่นอน”
ผู้ใดเล่าจะรู้ว่า ที่อวิ๋นจิ่นพูดออกไปนั้น เขาเจ็บปวดมากเพียงใด
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบ พลางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะก้มศีรษะลงจิบชาร้อนๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็เงยหน้าขึ้น “อวิ๋นจิ่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าทะลอู๋ว่างอยู่ที่ใด? ”
“ทะเลอู๋ว่าง? พระชายา พระองค์ต้องการไปทะเลอู๋ว่างหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
อวิ๋นจิ่นเกือบจะเป็นผู้รอบรู้ในอาณาจักรเทียนเหอ ซูจิ่นซีรู้ว่านางถามไม่ผิดคนแน่นอน
“ใช่แล้ว! ไปตามหาหญ้าเสินเซียนที่ทะเลอู๋ว่าง! ”
ดวงตาของอวิ๋นจิ๋นดูตกใจเล็กน้อย “ตำนานกล่าวว่า ทะเลอู๋ว่างอยู่บนเทือกเขาวิญญาณดวงดารา ซึ่งเป็นจุดที่โลกมนุษย์และดินแดนทั้งสามมาบรรจบกัน ทว่าไม่มีผู้ใดบนโลกมนุษย์เคยไปที่นั่น ได้ยินว่าที่นั่นเป็นสถานที่น่ากลัว เทพบนสวรรค์ จักรพรรดิของโลกมุษย์ และผู้นำของทั้งสามโลก เมื่อตายไปแล้วจะถูกฝังอยู่ที่นั่น ดังนั้น พลังหยินของที่นั่นจึงรุนแรงอย่างมาก พระชายาจะไปตามหาสิ่งใดที่ทะเลอู๋ว่างหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
ซูจิ่นซีจ้องอวิ๋นจิ่นอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้ว่านางคิดอันใดอยู่ในใจ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดออกมาแผ่วเบา “ไปเสาะหายาช่วยชีวิต เจ้ารู้เส้นทางไปทะเลอู๋ว่างหรือไม่? ”
“ยาช่วยชีวิต? ผู้ใดได้รับบาดเจ็บจนต้องการยาช่วยชีวิตจากทะเลอู๋ว่างหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มกว้าง ทว่าแววตาของนางกลับเศร้าหมองจนรู้สึกเจ็บปวด
“หากรู้ ก็พาข้าไปเถิด! ”
อวิ๋นจิ่นราวกับไตร่ตรองอันใดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ตกลง! กระหม่อมจะพาพระชายาไป เส้นทางไปทะเลอู๋ว่างนั้นอันตราย โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เทือกเขาวิญญาณดวงดารา ระหว่างทาง ให้กระหม่อมปกป้องพระชายาเถิด”
“ตกลง! ”
หลังจากหยุดพักชั่วครู่ ซูจิ่นซีกับอวิ๋นจิ่นก็มุ่งหน้าไปที่ทะเลอู๋ว่าง ซูจิ่นซีไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของทะลอู๋ว่าง จึงไปตามเส้นทางที่อวิ๋นจิ่นพาไป
ผ่านไปสามวัน ทั้งสองก็มาถึงเมืองเล็กๆ
เมืองนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง การแต่งกายของชาวบ้านที่นี่แตกต่างจากหกแคว้นของอาณาจักรเทียนเหอ พวกเขามีอุปนิสัยเย็นชา ไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ทว่าไม่ได้ขับไล่ผู้ที่มาจากภายนอกอย่างซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น
ทั้งสองหาโรงเตี๊ยมและพักที่นั่น เถ้าแก่โรงเตี๊ยมยังนับว่ากระตือรือร้น เขาหาห้องพักที่สะอาดที่สุดให้ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจเตือนซูจิ่นซี “พระชายา ตอนนี้พวกเราอยู่ระหว่างเขตแดนที่เรียกว่าดินแดนไร้ขอบเขต ซึ่งหมายความว่า อำนาจศาลและการปกครองไม่ได้เป็นของสามโลกและเจ็ดดินแดน ที่นี่มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน พวกเราต้องเพิ่มความระมัดระวังอีกเท่าตัว”
“สามโลกเจ็ดดินแดน? ”
“ถูกต้อง โลกมนุษย์ โลกเขตแดน และโลกสวรรค์รวมเป็นสามโลก โลกเขตแดนแบ่งออกเป็นแดนวิญญาณ แดนมาร และแดนปีศาจ ส่วนโลกสวรรค์แบ่งเป็น แดนสวรรค์ชั้นฟ้าอันว่างเปล่า แดนเมฆา แดนสวรรค์ และสระมรกต หากมีโอกาส กระหม่อมจะอธิบายให้พระชายาฟังอย่างละเอียด”
เมื่อทราบเกี่ยวกับเผ่าเม้ยและเรื่องราวในช่วงสามพันปีก่อน เวลานี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่นางมาเยือน ซูจิ่นซีรู้ดีว่าโลกใบนี้หาได้เรียบง่าย อย่างไรก็ตาม นางไม่คิดว่ามันจะพิศวงเช่นนี้
ซูจิ่นซีเงียบไปครู่หนึ่ง นางมองลึกเข้าไปในแววตาของอวิ๋นจิ่น
ก่อนจะพูดว่า “อวิ๋นจิ่น เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงรอบรู้มากมายเพียงนี้? ”
เห็นได้ชัดว่าในใจของนางรู้ดีอยู่แล้ว ทว่าซูจิ่นซียังคงไม่ยินยอมเจาะหน้าต่างบานนั้นง่ายๆ
ชั้นหน้าต่างโปร่งใสนั้นสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน หากทะลุผ่านไปได้โดยง่าย บางที… อาจไม่เหลือสิ่งใด
รอยยิ้มที่มุมปากของอวิ๋นจิ่นแข็งค้างไปชั่วครู่จนแทบมองไม่เห็น ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่เห็นความผิดปกติอันใด
เขาตอบอย่างมีไหวพริบ “พระชายา กระหม่อมเป็นคนของพระองค์! ”
เมื่อนานมาแล้ว ซูจิ่นซีกับอวิ๋นจิ่นเคยทำความตกลงร่วมกัน อวิ๋นจิ่นนับได้ว่าเป็นคนของซูจิ่นซี
ทว่าที่ซูจิ่นซีต้องการถาม ไม่ใช่เรื่องนี้
นอกจากนั้น นางรู้ดีว่าตอนนี้ นางไม่มีทางได้คำตอบที่อยากรู้จากปากของอวิ๋นจิ่น นางจึงยอมแพ้
“อวิ๋นจิ่น ใช้เวลาอีกนานเท่าใดกว่าเราจะไปถึงทะเลอู๋ว่าง”