ตอนที่ 1799 ให้คำชี้แนะหลิวหยาง

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1799 ให้คำชี้แนะหลิวหยาง

“อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงทุ่มสุดตัวแล้วและไม่มีทางล่าถอย ดังนั้น สถานการณ์ปัจจุบันของคุณจึงล่อแหลมมาก แต่ถ้าคุณหลบหนีไปตอนนี้ พวกเขาก็จะตราหน้าคุณว่าเป็นคนทรยศทำให้คุณไม่มีโอกาสกลับมาอีก” จางเซวียนพูด

รู้ดีว่าศิษย์สายตรงของเขาอยู่ในสภาวะแบบไหน จางเซวียนครุ่นคิดหนัก แต่ก็หาแผนการที่ดีกว่านี้ไม่ได้ จึงสะบัดข้อมือและพูดว่า“นี่คือหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด รีบซึมซับมันเสีย ด้วยวิธีนี้ คุณจะมีเครื่องมือปกป้องคุณอีกชั้นหนึ่ง ต่อให้พวกนั้นทำร้ายคุณ”

หลิวหยางรับหยดเลือดมาด้วยความสำนึกในบุญคุณ เขากลืนมันลงไปโดยไม่ลังเล

พละกำลังของหยดเลือดพลุ่งพล่านไปทั่วร่างของหลิวหยางอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้น จางเซวียนก็เดินเข้าไปด้านหลังอีกฝ่ายและปล่อยพลังปราณเข้าสู่ร่างของเขาเพื่อส่งเสริมการซึมซับหยดเลือดภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง หลิวหยางก็ซึมซับหยดเลือดนักปราชญ์โบราณได้อย่างสมบูรณ์

หลังจากซึมซับหยดเลือดแล้ว หลิวหยางรู้สึกได้ว่าพละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นมาก แต่ก็ยังห่างไกลจากการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ

“นี่คือดินแดนส่วนหนึ่งที่ผมเก็บนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณไว้ มันจะช่วยคุณฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ ผมยังมีเทคนิควรยุทธที่จะช่วยคุณฝึกฝนระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณด้วย และจะถ่ายทอดมันให้คุณเดี๋ยวนี้ พยายามฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ” จางเซวียนสั่งการขณะนำภาพวาดภาพหนึ่งออกมายื่นให้

วงจรชีวิตของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นต้องเผชิญกับความเสี่ยงและอันตรายมากมาย ถ้าหลิวหยางอยากเอาตัวรอดในสภาวะแบบนี้ ก็ต้องสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณให้ได้โดยเร็วที่สุด

ข้อเท็จจริงที่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งไม่อาจมองทะลุการปลอมตัวของหลิวหยางได้ถือเป็นเรื่องใหญ่ หากเขาเดินตามเส้นทางนี้ต่อไป ในอนาคตจะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่

ถ้าหลิวหยางหาจุดยืนของตัวเองได้และได้เป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์ที่ดูเหมือนจะควบคุมได้ยากนี้ ก็จะถือเป็นความโชคดีครั้งใหญ่ของมวลมนุษย์ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว

“ขอบคุณมาก ท่านอาจารย์!” หลิวหยางพูด

แม้เขาจะอยู่ในเผ่าพันธุ์ปีศาจมาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังต้องเผชิญกับบททดสอบและความยากลำบากมากมาย เขาจึงไม่ใช่คนหัวแข็งและหลงตัวเองอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป

หลิวหยางรู้ดีว่าแม้ท่านอาจารย์ของเขาจะนำข้าวของเหล่านี้ออกมาอย่างง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่นักรบมากมายนับไม่ถ้วนยอมตายเพื่อมัน ต่อให้นักปราชญ์โบราณก็คงยอมต่อสู้เพื่อแย่งชิงมันมา

ถึงเขาจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสมลงไป แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่ตำหนิเขาสักนิด กลับมอบของล้ำค่าให้ด้วย เรื่องนี้ทำให้หลิวหยางละอายใจมาก

ราวกับมองทะลุความคิดของหลิวหยาง จางเซวียนพูด “ทุกคนมีเรื่องราวในชีวิตที่ต้องพบเจอ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องอิจฉาริษยาใคร อารมณ์แบบนั้นมีแต่จะทำให้มุมมองของคุณแคบลงและปิดกั้นสภาวะจิตของคุณ บั่นทอนความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

เสียงของจางเซวียนพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของหลิวหยางกระแทกส่วนลึกของเขา

อารมณ์ด้านลบอย่างความอิจฉา ความจงเกลียดจงชัง และความเศร้าสร้อยมีแต่จะทำลายสภาวะจิตของผู้นั้น ทำให้ไม่อาจพบความสงบสุขภายใน ในกรณีเลวร้ายที่สุด ผู้นั้นอาจถึงกับตกเป็นทาส อารมณ์ของตัวเอง

ในบรรดาศิษย์สายตรงหลายคนของเขา หลิวหยางไม่ใช่คนที่โดดเด่นอะไร และพาตัวเองเข้าไปเผชิญกับความยุ่งยากโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งส่งผลกระทบอันลำบากยากเย็นและซับซ้อนตามมามากมาย นั่นคือเหตุผลที่ทำให้หลิวหยางหันหลังกลับแล้วจากไปหวังว่าจะได้พบโลกที่เป็นของเขา ในท้ายที่สุด ความหวังของเขาก็คือได้ยืนในจุดที่ทัดเทียมกับเจิ้งหยาง จ้าวหย่า และคนอื่นๆ

อารมณ์แบบนี้อาจเป็นแรงผลักดันชั้นดีที่ทำให้คนคนหนึ่งแข็งแกร่งกว่าที่เคย แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็อาจต้อนเขาให้จนมุมทำให้สูญเสียการมองเห็นสิ่งรอบข้างไป

จางเซวียนละเลยเรื่องนี้เมื่อครั้งที่หลิวหยางยังอยู่ข้างกายเขา เขาจึงรู้สึกว่าควรจะให้คำแนะนำกับหลิวหยางเสียตั้งแต่ตอนนี้เพื่อจะได้ไม่เดินบนเส้นทางที่ผิด

“ผมเข้าใจแล้ว” หลิวหยางพูดอย่างเคร่งขรึม

“ในการจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง คุณต้องใจกว้าง เหตุผลที่ปรมาจารย์ขงอยู่เหนือคนอื่นๆได้ก็เพราะหัวใจอันกว้างใหญ่ของเขา ซึ่งทำให้เขาเห็นความแตกต่างอันหลากหลายและมีหัวใจประนีประนอมกับทุกชีวิตที่อยู่รอบข้าง ไม่มีใครที่มีสภาวะจิตแบบเดียวกับเขา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมปรมาจารย์ขงจึงเป็นบุคคลที่ได้รับการเคารพยกย่องที่สุดในโลก เขายังคงเป็นที่จดจำแม้จะผ่านมาหลายหมื่นปีแล้วก็ตาม!” จางเซวียนพูด

หลังจากเขาได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อแล้ว จึงได้รู้ว่าปรมาจารย์ขงยิ่งใหญ่และทรงพลังขนาดไหน

จริงอยู่ว่าความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ขงอยู่ในระดับที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้นับตั้งแต่ยุคสมัยของเขาเป็นต้นมา แต่โลกไม่ได้จดจำปรมาจารย์ขงเพียงแค่พละกำลัง แต่เพราะคำสอนของเขาด้วยเพียงเท่านี้ก็มองเห็นแล้วว่าเขาเป็นบุคคลที่น่าเคารพยกย่องขนาดไหน

จางเซวียนมองเห็นปมในหัวใจของหลิวหยางค่อยๆคลายออกขณะที่อีกฝ่ายครุ่นคิดพิจารณาเรื่องต่างๆจนเข้าใจถ่องแท้ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก

จุดอ่อนใหญ่หลวงที่สุดของลูกศิษย์ของเขาคนนี้ก็คือการมีจิตใจที่รักการประชันขันแข่งมากเกินไป ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม หลิวหยางมักเปรียบเทียบตัวเองกับเจิ้งหยางและคนอื่นๆเสมอ มักคอยเฝ้าดูว่าใครจะเหนือกว่า

ความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์ที่มีอาจารย์คนเดียวกันนั้นควรจะเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกัน แน่นอนว่าความอยากประชันขันแข่งถือเป็นแรงผลักดันชั้นดี แต่ความสัมพันธ์ไม่ควรจะถูกสร้างขึ้นจากความอยากแข่งขันเท่านั้น เพราะหากความรู้สึกเหล่านั้นเข้มข้นขึ้นและก้าวหน้าไปจนถึงจุดหนึ่ง มันจะกลายเป็นพิษและสร้างความไม่พอใจซึ่งกันและกันขึ้นแทน

“ผมเข้าใจ” หลิวหยางพยักหน้า หลังจากขจัดทุกสิ่งที่ค้างคาในหัวใจของเขาแล้ว เขาก็หันมาตั้งคำถามกับจางเซวียน “ท่านอาจารย์ คุณมาที่เมืองหลวงตามลำพัง…มีเหตุผลอะไรหรือเปล่า?”

“ผมอยากไปพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง อยากได้เลือดมังกร!” จางเซวียนตอบ ไม่ได้ปิดบังอะไรจากลูกศิษย์ของเขา

“พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง?” หลิวหยางขมวดคิ้ว “ท่านอาจารย์ ถึงผมจะไม่เคยไปที่นั่น แต่ก็รู้ว่ามีมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดแค่ไหน คนนอกไม่มีทางเข้าไปที่นั่นได้แน่!”

“ผมเข้าใจ แต่ผมก็มีเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องไปที่นั่นให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม” จางเซวียนพยักหน้า

มีหลายอย่างที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการคลี่คลายภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือการตามหาหลัวลั่วชิง

ซึ่งการจะทำอย่างนั้น การปลดฉนวนของหอกสวรรค์กระดูกมังกรเป็นสิ่งที่เขาต้องทำให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของตัวเอง

จากทีท่าของจางเซวียน หลิวหยางดูออกว่าท่านอาจารย์ของเขามุ่งมั่นจะเข้าไปในพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงให้ได้ เขาลุกขึ้นยืนและย่นหน้าผากก่อนจะพูดว่า “พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงมีแนวป้องกัน 13 ชั้น แม้แต่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็ยังเข้าไปที่นั่นได้ยาก ส่วนการจะใช้กำลังบุกเข้าไปนั้น ก็ยังน่าสงสัยว่าต่อให้นักปราชญ์โบราณก็จะทำได้หรือเปล่า อีกอย่าง เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าเลือดมังกรถูกเก็บรักษาไว้ที่ไหน ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงรู้เป้าหมายของคุณด้วยวิธีการใดสักอย่างล่ะก็ เราจะหามันพบได้ยากขึ้นอีก!”

แน่นอนว่าการใช้กำลังบุกเข้าไปไม่ใช่ทางเลือกที่ดี อันดับแรกพละกำลังของจางเซวียนยังคงอ่อนด้อยอยู่ ต่อให้ใช้ไอ้โหดกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำหลบหนีจากนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ แต่หากเขาบุกเข้าไป ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อยังไม่มีอะไรชัดเจน ก็ไม่ฉลาดนักหากจะเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม

“ผมต้องแอบเข้าไปก่อน!” อันที่จริง จางเซวียนพิจารณาเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว และเขาก็มีความคิด คร่าวๆอยู่ในใจ “อันดับแรกสุด ผมต้องมุ่งหน้าไปยังพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงเพื่อตรวจสอบพื้นที่!”

แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังที่ต้องการจะเข้าไป ขอแค่เขาเข้าใกล้มันมากพอที่จะใช้หอสมุดเทียบฟ้าได้ ส่วนที่เหลือก็ไม่เป็นปัญหา

“หลิวหยาง ผมอยากให้คุณช่วยผมตรวจสอบเพื่อหาโอกาสที่จะเข้าสู่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง อีกอย่าง เขาเพิ่งถูกอำมาตย์เฉินหย่งเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อไม่นานมานี้ เพราะฉะนั้น เขาได้เสาะหานายแพทย์เพื่อมาทำการรักษาเขาบ้างหรือเปล่า?”

แขนของไอ้โหดแทงทะลุเข้าสู่ร่างของอำมาตย์เฉินหลิง ซึ่งนั่นสั่นคลอนรากฐานของวรยุทธของเขาอย่างมาก แม้จะไม่มีข่าวคราวของอำมาตย์เฉินหลิงรั่วไหลออกมา แต่ก็ชัดเจนว่าไม่มีทางที่เขาจะฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บสาหัสได้อย่างรวดเร็วแน่

อีกนัยหนึ่งก็คือ มีโอกาสสูงที่อำมาตย์เฉินหลิงจะกำลังเสาะหาการรักษาและต้องการความช่วยเหลือจากนายแพทย์

นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้แอบเข้าไปในพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง

“ผมจะไปตรวจสอบดู” เห็นท่านอาจารย์ของเขามีแผนการในใจแล้ว หลิวหยางหันหลังกลับและออกจากห้องไป

ในฐานะผู้สืบทอดที่ได้รับความเอ็นดูจากอำมาตย์เฉินหย่ง หลิวหยางมีเครือข่ายข้อมูลข่าวสารของเขาในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนที่เขาอยู่ที่นี่

ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง หลิวหยางก็กลับมา

“เป็นอย่างที่คุณคาดเดาไว้ พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงกำลังมองหาคนอยู่จริงๆ แต่คนที่พวกเขากำลังตามหาไม่ใช่นายแพทย์!” หลิวหยางพูดด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น ราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“พวกเขาไม่ได้กำลังตามหานายแพทย์? แล้วตามหาใคร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

เขาตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าอำมาตย์เฉินหลิงน่าจะกำลังตามหานายแพทย์เพื่อมาทำการรักษา และในเมื่ออาการของเขาค่อนข้างสาหัส จึงมีความเป็นไปได้ว่านายแพทย์ทั่วไปน่าจะรักษาเขาไม่หาย อำมาตย์เฉินหลิงจึงต้องพยายามรวบรวมผู้ปราดเปรื่องทั้งหมดมาเพื่อทำการวินิจฉัย

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น จางเซวียนก็จะได้ใช้โอกาสนี้ลักลอบเข้าไป

“ใช่!” หลิวหยางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “พวกเขากำลังตามหานักตรวจสอบสมบัติ!”