ตอนที่ 1800 นักตรวจสอบสมบัติผู้จองหอง

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1800 นักตรวจสอบสมบัติผู้จองหอง

“นักตรวจสอบสมบัติ?” จางเซวียนเลิกคิ้ว

เขาพอเข้าใจหากอำมาตย์เฉินหลิงจะตามหาตัวนายแพทย์ กูรูยาพิษ หรือแม้แต่ผู้ที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง แต่สำหรับนักตรวจสอบสมบัติ…

อีกฝ่ายคิดอะไรอยู่?

สภาปรมาจารย์ได้จัดแบ่งอาชีพส่วนใหญ่ออกเป็น 9 สถานะระดับล่าง ระดับกลาง และระดับบน แต่ในทางตรงกันข้าม เผ่าพันธุ์ปีศาจไม่มีการจัดแบ่งลำดับชั้นที่แน่ชัดเกี่ยวกับอาชีพ และไม่มีสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้องด้วย แต่พวกเขาก็ยังมีมรดกตกทอดของอาชีพต่างๆที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น

แน่นอนว่ามรดกเหล่านั้นไม่ได้มีรายละเอียดชัดเจนเหมือนมรดกตกทอดของทวีปแห่งปรมาจารย์

นักตรวจสอบสมบัติคือผู้ที่ต้องแยกแยะของล้ำค่าและตัดสินมูลค่าของมัน พวกเขาไม่มีความสามารถในการเยียวยารักษา แล้วทำไมอำมาตย์เฉินหลิงถึงต้องพาคนพวกนั้นเข้าสู่พระราชวังด้วย?

มีการเข้าใจผิดอะไรกันบางอย่างหรือเปล่า?

“ผมเองก็สงสัยในข่าวที่ได้มา แต่ก็ยืนยันความถูกต้องอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่อำมาตย์เฉินหลิงกลับจากทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็เก็บตัวเงียบอยู่ในพระราชวังของเขา แต่แทนที่จะตามหาตัวนายแพทย์ กลับนำนักตรวจสอบสมบัติเข้าไปแทน” หลิวหยางพูด

“ทั้งๆที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่ต้องการการรักษาจากนายแพทย์ กลับตามหานักตรวจสอบสมบัติ…มีบางอย่างผิดปกติจริงๆ!”

ยิ่งมีเรื่องไม่ธรรมดาเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะต้องมีอันตรายร้ายแรงอยู่เบื้องหลัง

เรื่องนี้ฟังดูเลวไหลเกินกว่าจะเป็นความจริง!

แค่นึกภาพกลุ่มนักตรวจสอบสมบัติยืนอยู่ข้างเตียงของอำมาตย์เฉินหลิง กำลังประเมินบาดแผลของเขา…

“ว้าว อาการบาดเจ็บนี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ คงจะมีค่าอย่างน้อยเท่ากับหินวิเศษขั้นสูงสุด 800 ก้อน!”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ดูบาดแผลนี้ให้ดีๆ มันมาจากฝีมือของนักปราชญ์โบราณที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน แล้วตัวบาดแผลก็มีลักษณะพิเศษ มันจะต้องมีค่าอย่างน้อยเท่ากับหินวิเศษขั้นสูงสุด 10000 ก้อน!”

“คุณคิดจะซื้อทรัพย์สมบัติล้ำค่าแบบนี้ด้วยหินวิเศษขั้นสูงสุดแค่ 10000 ก้อนหรือ? ฝันไปเถอะ! แค่อาการบาดเจ็บที่เป็นฝีมือของนักปราชญ์โบราณธรรมดาสามัญก็มีราคาเท่านี้แล้ว นับประสาอะไรกับนักปราชญ์โบราณที่มีความสามารถขนาดนั้น…”

…..

“แค่ก แค่ก!” จางเซวียนรู้ตัวว่าความคิดของเขาล่องลอยไปไกลเกินกว่าเหตุ จึงรีบฉุดตัวเองกลับสู่ความเป็นจริง

เขาสลัดความคิดเลอะเทอะออกจากหัวและพูดว่า “ไม่ว่าแรงผลักดันของเขาคืออะไร ผมก็จะต้องเดินทางไปดูด้วยตัวเอง…”

“ท่านอาจารย์ คุณคิดอะไรอยู่หรือ?” หลิวหยางตั้งคำถาม

“ในเมื่อเขานำตัวนักตรวจสอบสมบัติเข้าไป ผมก็คิดว่าที่นั่นน่าจะมีบททดสอบอะไรบางอย่างสำหรับนักตรวจสอบสมบัติ เอาเถอะ ผมจะต้องเข้าไปดูสักหน่อย”

หลังจาก ‘ความตาย’ ของอำมาตย์เฉินหย่ง อำมาตย์เฉินหลิงก็กลายเป็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาปล่อยข่าวออกไปว่ากำลังต้องการตัวนักตรวจสอบสมบัติ เผ่าพันธุ์ปีศาจมากมายนับไม่ถ้วนจึงรี่เข้าไปเสนอตัวเพื่อหวังว่าจะได้ตำแหน่งนั้น

ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ไม่ใช่ทุกคนที่ตามหางานจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง จะต้องมีบททดสอบบางอย่างเพื่อกลั่นกรองเอาผู้ที่มีความสามารถในระดับพื้นๆออกไป ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เป็นโอกาสดีสำหรับจางเซวียนที่จะเดินทางไปที่นั่นและสร้างตัวตนใหม่ให้กับตัวเอง

“มีบททดสอบของนักตรวจสอบสมบัติอยู่จริงๆ ให้ผมพาคุณไปที่นั่นเถอะ” หลิวหยางรีบบอกพร้อมกับพยักหน้า

“ไม่จำเป็นหรอก ตัวตนของคุณในเวลานี้นะออกจะล่อแหลม และจะดึงดูดสายตาของผู้คนมากเกินไปหากเราไปด้วยกัน ผมไปคนเดียวปลอดภัยกว่า คุณแค่บอกทิศทางก็พอ” จางเซวียนพูด

“อย่างนั้นก็ได้” หลิวหยางตอบตกลง

ในฐานะผู้สืบทอดที่อำมาตย์เฉินหย่งเลือก อำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิงย่อมจับตาดูความเคลื่อนไหวของหลิวหยางทุกฝีก้าว หากมีใครเห็นเขาเดินกับบุคคลอื่น ก็อาจเกิดปัญหา

ดังนั้น จางเซวียนจึงลักลอบออกจากห้องเงียบแห่งนั้นไปแล้วเดินไปตามทิศทางที่หลิวหยางบอกไว้

ที่หมายคือตลาดที่ขายทรัพย์สมบัติล้ำค่าทุกชนิด ใครก็ตามที่ต้องการเข้าสู่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงก็จะต้องสำแดงความสามารถที่แท้จริงออกมาก่อน ดูเหมือนว่าจะมีของล้ำค่าที่มีมูลค่ามากและหายากจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ในตลาดนั้น ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับจัดการทดสอบ

จางเซวียนปลอมตัวเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่ง จากนั้นก็เล็ดลอดไปในหมู่ฝูงชน

ตลาดนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แม้จะไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเท่ากับตลาดในเมืองหลวงส่วนใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ทรัพย์สมบัติที่วางขายอยู่ก็งดงามและมีค่ามาก มีทั้งสมุนไพรล้ำค่า โครงกระดูกของอสูรทรงพลัง และอื่นๆอีกมากมายหลายอย่าง แม้แต่จางเซวียนก็ยังระบุข้าวของทั้งหมดได้ยากทั้งๆที่มีความรู้ไม่น้อย

ไม่แปลกใจแล้วที่ผู้คนมากมายถูกดึงดูดเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินทั้งๆที่มีอันตรายรอบตัว**คุณสมบัติทางยาของสมุนไพรเหล่านี้เหนือชั้นกว่าที่พวกเรามีอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนพยักหน้าขณะเดินลัดเลาะไปในหมู่พ่อค้า

แน่นอนว่าอู๋ควงกับคนอื่นๆไม่ได้ตัดสินใจเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินเพียงเพราะนึกสนุก แม้พืชพันธุ์ต่างๆจะหายากในสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่การที่พวกมันเอาชีวิตรอดอยู่ได้ในบรรยากาศที่มีเจตนาสังหารเข้มข้นก็บ่งบอกแล้วว่าพวกมันไม่ธรรมดา

ก็เหมือนกับพืชพันธุ์ที่มีชีวิตรอดอยู่ได้ท่ามกลางความร้อนแผดเผาของทะเลทราย ก็จะมีความแข็งแกร่งทนทานกว่าพืชทั่วไป

แม้สิ่งเหล่านี้จะมีค่ามากมายสำหรับคนอื่นๆ แต่พวกมันไม่มีความหมายอะไรเลยกับจางเซวียน เขาแค่ชำเลืองมองก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่หลิวหยางบอกไว้

“ของชิ้นนี้น่ะไม่มีค่าอะไรเลยเพราะผมบอกว่ามันไม่มีค่า คุณแคลงใจในคำตัดสินของผมหรือ?”

ขณะที่จางเซวียนยังไม่ทันจะไปได้ไกล ก็ได้ยินเสียงหงุดหงิดดังขึ้นใกล้ๆ เขาหันไปมอง และเห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าหญ้าต้นหนึ่ง กำลังจับจ้องพ่อค้าด้วยนัยน์ตาเย็นเยียบ

“นายท่าน ผมเสี่ยงตายเพื่อให้ได้อำพันใบเขียวนี้มา ถึงกับเสียแขนไปข้างหนึ่งเพราะมัน…ผมขอสาบานด้วยชีวิตเลยว่ามันเป็นของจริง!” ชายวัยกลางคนเหวี่ยงแขนไปมาอย่างร้อนใจ

เมื่อชำเลืองมองไป จางเซวียนก็เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งเสียแขนซ้ายของเขาไปจริงๆ และบาดแผลนั้นก็ดูจะยังไม่หายดี

“ไม่มีพ่อค้าคนไหนหรอกที่ไม่พูดแบบนี้ ทุกคนน่ะเตรียมเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาไว้สำหรับของล้ำค่าทุกชิ้นที่นำมาขาย เพื่อจะได้สร้างเรื่องราวน่าทึ่งให้กับมัน แต่ผมคงต้องขอให้คุณหยุดพูดจาเหลวไหลเสียที วิธีตุกติกแบบนี้น่ะใช้กับผมไม่ได้หรอก!” ผู้อาวุโสยังคงมีสีหน้าเย็นชา

เขาสะบัดแขนเสื้อและพูดต่อ “ในแง่ของรูปร่างหน้าตา อำพันใบเขียวมีหน้าตาเกือบเหมือนกันเป๊ะกับหญ้าสลายวาจา เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่คุณมีน่ะคือหญ้าสลายวาจา แต่คุณกล้าจะขายมันในฐานะอำพันใบเขียวและโก่งราคาด้วย ผมควรรายงานเรื่องคุณให้องครักษ์ทราบเสียตอนนี้และให้พวกเขาขับไล่คุณไป โทษฐานขายสมุนไพรปลอมดีไหม?”

ได้ยินคำนั้น ชายวัยกลางคนหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง “ผมไม่ได้ขายสมุนไพรปลอมจริงๆนะ!”

“เอาเถอะ ในเมื่อคุณก็ต้องหาเลี้ยงชีพ ต่อให้สมุนไพรปลอมของคุณจะแสนไร้ค่า ผมก็จะเมตตา และยอมซื้อมันด้วยราคา 2 เหรียญหย่ง!” ขณะที่พูดคำนั้น ผู้อาวุโสก็ยื่นเงิน 2 เหรียญให้ชายวัยกลางคน

เหรียญหย่งคืออัตราแลกเปลี่ยนที่อำมาตย์เฉินหย่งเป็นผู้นำมาใช้ กำลังซื้อของมันมีจำกัด ถึงขนาดที่ 10 เหรียญหย่งมีค่าเทียบเท่ากับหินวิเศษขั้นต่ำเพียงหนึ่งก้อนเท่านั้น 2 เหรียญหย่งเรียกได้ว่าแทบไม่มีค่าอะไรเลย

“2 เหรียญ? แต่อำพันใบเขียวของผมมีราคาขายอยู่ที่อย่างน้อย 200,000 เหรียญหย่งนะ!” ชายวัยกลางคนอุทานอย่างร้อนรน

อำพันใบเขียวมีค่าอย่างน้อย 200,000 เหรียญหย่ง แต่เขาได้มาเพียง 2 เหรียญเท่านั้น ส่วนต่างมันมากเกินไป!

“คุณสงสัยคำพูดของนายท่านของเราหรือ?” คนรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสคำราม “จะบอกให้คุณรู้ไว้นะ นายท่านของเราคือนักตรวจสอบสมบัติที่ผ่านการทดสอบของอำมาตย์เฉินหลิงแล้ว ในเมื่อเขาพูดว่าสิ่งที่คุณมีคือหญ้าสลายวาจา มันก็ไม่อาจเป็นสิ่งอื่นไปได้ ถ้าคุณกล้าพูดพล่ามหรือบ่นอะไรอีกล่ะก็ ผมจะให้คนของผมเล่นงานคุณเสีย รอดูก็แล้วกันว่าจะมีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยคุณหรือเปล่า!”

นักตรวจสอบสมบัติอาจไม่ได้รับการพูดถึงมากนักในโลกภายนอก แต่คำพูดของพวกเขามีค่าดั่งทองในตลาดซื้อขาย

หากนักตรวจสอบสมบัติพูดว่าของล้ำค่าชิ้นหนึ่งเป็นของแท้ มันก็จะถูกมองว่าเป็นของแท้ ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ซึ่งในทางตรงกันข้ามก็เป็นทำนองเดียวกัน

ด้วยกฎเกณฑ์อันเข้มงวดของหอตรวจสอบสมบัติที่อนุญาตให้นักตรวจสอบสมบัติคนหนึ่ง ผิดพลาดได้เพียง 3 ครั้งในช่วงชีวิตของเขา จึงไม่มีนักตรวจสอบสมบัติคนไหนในทวีปแห่งปรมาจารย์กล้าพูดอะไรพล่อยๆออกมา แต่ในทางกลับกัน กฎเกณฑ์นี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเข้มงวดในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทำให้นักตรวจสอบสมบัติเป็นผู้ที่ไม่มีใครกล้าทำให้ขุ่นเคือง

“ดูเหมือนหมอนั่นไม่อยากเสียเงิน แต่ก็ยังอยากได้อำพันใบเขียวของพ่อค้าคนนั้น…” จางเซวียนส่ายหน้า

แม้เขาจะไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับสมุนไพรของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ในฐานะนายแพทย์ ก็มองเห็นจิตวิญญาณและคุณสมบัติทางยาของสมุนไพรได้อย่างง่ายดาย

จากพลังการรักษาที่สมุนไพรนั้นแผ่ออกมา ชัดเจนว่ามันมีค่ามากกว่า 2 เหรียญหย่ง แน่นอนว่านักตรวจสอบสมบัติรู้เรื่องพวกนี้ดี ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาพูดออกไปว่ามันคือหญ้าสลายวาจาเพื่อที่จะได้ฉกฉวยมันมาอย่างง่ายดาย

จงใจประเมินของล้ำค่าอย่างผิดๆเพื่อให้ซื้อหามันได้ในราคาต่ำ…อันที่จริงเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไร เขาเคยพบสถานการณ์แบบนี้มาแล้วหลายหนในชีวิตเก่า ยังไม่ต้องพูดถึงที่นี่

ฝูงชนที่อยู่โดยรอบต่างก็ดูออกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีใครกล้าทักท้วง

พวกเขาเกรงว่าผู้อาวุโสจะเล่นตุกติกแบบเดิม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและธุรกิจของพวกเขา

“ตอนนี้ผมยังไม่มีตัวตน รู้สึกว่าคุณน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับให้ผมปลอมตัว…”

จางเซวียนกำลังวางแผนจะเข้าสู่พระราชวังที่กำลังมีการจัดการทดสอบนักตรวจสอบสมบัติ ก็พอดีกับที่เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เขาเหยียดริมฝีปากยิ้มขณะหยุดเดิน

เขาต้องการตัวตนที่ชัดเจนสักตัวตนหนึ่งเพื่อจะได้เข้าสู่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง ซึ่งในเมื่อหมอนี่รังแกคนอื่นอย่างหน้าด้านๆ เขาก็ไม่รู้สึกลำบากใจนักที่จะใช้อีกฝ่ายเป็นเครื่องมือ