ชั่วครู่ที่กงอิ้นพุ่งเข้าไปในห้องนั้น เขาก็พลันรู้ว่าตนเองได้ทำพลาดอีกครั้งแล้ว

 

 

เขาอยากจะถอยออกไป แต่พอหันหน้ากลับมา ในลานบ้านก็ไม่มีใครแล้ว

 

 

กงอิ้นยืนตะลึงงันอยู่ในห้องครู่หนึ่ง ถึงได้ยอมรับอย่างจำใจว่าเหล่าลูกน้องของตนเองคล้ายจะกระตือรือร้นอยากทำตัวเป็นพ่อสื่อเสียเหลือเกิน…

 

 

จากนั้นเขาก็ลืมเรื่องนี้เสียสิ้น ด้วยเพราะพบว่าถังอาบน้ำพลิกคว่ำ น้ำร้อนไหลนองทั่วพื้น แขนขาของจิ่งเหิงปัวขยับเขยื้อนดิ้นรนอยู่บนพื้นดั่งกบที่เกยตื้นบนผิวน้ำตัวหนึ่ง

 

 

เขาได้แต่ก้าวขึ้นไปเก็บกวาดด้วยตนเอง

 

 

แขนเสื้อคว้าเพียงครั้งแบกเอวของนางไว้ พานางขึ้นจากบนพื้น ส่วนมืออีกข้างก็กวักเพียงครั้ง พรมที่เตรียมไว้บนเบาะนอนภายในห้องลอยออกมาแล้วห่อร่างจิ่งเหิงปัวไว้

 

 

ตามแผนการของกงอิ้นแล้ว กิริยาท่าทางทั้งหลายนี้ควรจะเสร็จภายในลมหายใจเดียว จะต้องต่อเนื่องกันจนไร้ซึ่งข้อบกพร่อง ไม่มีโอกาสที่เหตุการณ์ไม่คาดฝันใดจะเกิดขึ้น

 

 

น่าเสียดายแต่ว่า แต่ไหนแต่ไรมามนุษย์คิดไม่สู้ลิขิตสวรรค์

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกแบกขึ้นมา นางรู้สึกเพียงแค่ว่าอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เรือนร่างพลันอ่อนปวกเปียกล้มลงบนหลังของเขา

 

 

เขาโอบไว้โดยสำนึก มือกดเพียงครั้ง และก็ไม่รู้ว่ากดตรงที่ใด สัมผัสอ่อนปวกเปียกพาให้เขาตกใจจนมือเขาสั่นสะท้าน นางจึงไถลพรวดพราดลงไป

 

 

เขาได้แต่โค้งกายโอบนางเอาไว้ มือหนึ่งรับพรมที่ลอยมา ตระเตรียมลากนางขึ้นมาแล้วห่อหุ้มไว้ พรมจะได้ไม่ร่วงลงพื้นเปียกโชก

 

 

แต่นางกลับหันกายครั้งหนึ่ง กอดขาของเขาไว้เสียอย่างนั้น

 

 

ร่างของกงอิ้นแข็งทื่อ ยังคงอยู่ในท่าทางกึ่งโค้งกายน่าขบขัน มือหนึ่งลากนางอยู่ ส่วรอีกมือหนึ่งถือพรมไว้

 

 

เขาไม่กล้าขยับเขยื้อนมั่วซั่วแล้ว

 

 

นางกอดอย่างแนบแน่นเช่นนี้ ทรวดทรงวิจิตรที่เปียกโชกต่างพาดพิงอยู่บนขาของเขา ทั้งที่อ่อนนุ่มเกลี้ยงเกลา เขากลับรู้สึกว่าขาสองข้างชาแปลบโดยพลัน แม้แต่เดินเหินยังทำไม่ได้แล้ว

 

 

แต่นางคล้ายยังเล่นสนุกไม่เพียงพอ หัวเราะคิกๆ ปีนขึ้นมาตามขาของเขาตลอดทาง รูปร่างงามอ่อนนุ่มเหมาะสมร่ายรำโดยกำเนิดได้ใช้ท่วงท่าประหนึ่งระบำพลองเหล็กโดยสำนึก เหนี่ยวเกาะอย่างอ่อนนุ่มเสมือนเขาเป็นเสาเหล็ก ขยับเขยื้อนอ่อนช้อยดุจสาวอสรพิษงดงาม

 

 

ทว่าเขามิใช่เสาเหล็ก เขาคือบุรุษอ่อนวัยที่เปี่ยมไปด้วยพลัง กำลังเผชิญหน้ากับสตรีที่หากมองมากขึ้นเพียงปราดเดียวก็ยังพาให้จิตใจฮึกเหิม

 

 

การเคลื่อนไหวของนางอาจจะเป็นความยั่วยวนและการเชื้อเชิญที่งดงามที่สุดบนโลกใบนี้ แต่สำหรับเขานั้นกลับเปรียบเสมือนการลงโทษที่โหดร้ายทารุณ

 

 

สายลมเจือหิมะที่วนเวียนในใจตลอดทั้งปีคือทุ่งหิมะขาวโพลนทั่วทั้งผืน พลันมีงูเพลิงสายหนึ่งคดเคี้ยววกวนบนนั้น ที่ซึ่งเลื้อยผ่านน้ำแข็งหิมะละลายหาย ไถร่องลึกสีแดงสดสายหนึ่งออกมากลางโลหิตเส้นลมปราณ ผลิบานเมล็ดพันธุ์ที่ต่อสู้ดิ้นรนในรอยไหม้เปลือยเปล่าบนผืนดิน เฝ้าปรารถนาสายฝน เฝ้าปรารถนาการพบพานของน้ำค้างหวานชื่นหอบหนึ่ง…

 

 

ยามที่นางขยับเขยื้อนจะถึงช่วงเอว…เรือนร่างเขาพลันล้มไปทางข้างหลัง

 

 

สองคนล้มลงบนน้ำที่ไหลนองทั่วพื้นด้วยกันจนเกิดเสียงดังพลั่ก

 

 

เรือนร่างทับซ้อน ความร้อนผ่าวและการหอบหายใจของนางดังอยู่ข้างหูดั่งอสนีบาต

 

 

พริบตาต่อมา น้ำที่ยังคงกระจายไอร้อนทั่วพื้นพลันเย็นยะเยือก แทบจะครู่นั้นเอง น้ำแข็งเบาบางชั้นหนึ่งก็เยือกแข็งด้วยระดับความเร็วที่ตาเปล่ามองเห็นได้

 

 

เรือนร่างของนางแข็งทื่อ เสียงเพล้งดังขึ้น เขาโอบนางลุกทะลุน้ำแข็งขึ้นมาแล้ว

 

 

สองคนทิ่มลงบนเบาะนอนภายในห้องด้วยกันเสียงดังพลั่ก จิ่งเหิงปัวทับอยู่บนร่างกงอิ้น คราวนี้นางไม่หัวเราะแล้ว ได้แต่สั่นระริกอยู่เช่นนั้น ปากพึมพำออกมาว่า “หนาวจัง…”

 

 

กงอิ้นยกมือลากเพียงครั้ง ผ้าห่มผ้านวมทั่วทั้งเตียงก็ม้วนเข้ามาห่อร่างจิ่งเหิงปัวไว้ ทว่าเสื้อผ้าบนร่างของจิ่งเหิงปัวต่างเปียกโชก เมื่อห่อไว้เช่นนี้กลับยิ่งทำให้ความหนาวเย็นเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

 

 

เขาลังเลอยู่บ้าง ก่อนจะเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างปราดหนึ่ง จำใจพบว่าไม่มีคนอยู่

 

 

มือของเขาได้แต่ยื่นเข้าไปใต้ผ้าห่ม แต่เพิ่งจะยื่นเข้าไปก็พลันสัมผัสได้ถึงความลื่นเย็นอ่อนนุ่ม ก่อนจะเร่งรีบชักมือออกมาปานฟ้าแลบ

 

 

จิ่งเหิงปัวจั๊กจี้จนหัวเราะคิกคักกับการเดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออกเช่นนี้ นางตะแคงกายหันข้างมองเขาอยู่บนเตียง ผมยาวสยายยุ่งเหยิง แก้มชมพูผลท้อ นัยน์ตาล่องลอยเหลือบมองเข้ามา ท่วมท้นด้วยแสงธาร เอ่ยได้ว่าดวงเนตรเพริศแพร้วดุจผ้าไหมโดยแท้

 

 

กงอิ้นสูดหายใจลึกล้ำเฮือกหนึ่ง ไม่ถอดอาภรณ์ก็ไม่ได้ ยื่นมือเข้าไปถอดก็ไม่ได้ ได้แต่คุกเข่าขึ้นเตียง มือวางไว้บนพรม แล้วแอบเคลื่อนกำลังภายใน

 

 

เสียงซี้ดๆ ดังแผ่วเบาระลอกหนึ่ง ก่อนจะมีเสียงกระดุมแตกสลายอย่างเลือนราง กงอิ้นเบนสายตาออกมา แขนเสื้อม้วนเพียงครั้งก็ม้วนทั้งร่างทั้งพรมของจิ่งเหิงปัวขึ้น มืออีกข้างหนึ่งสะบัดเพียงครั้ง ปัดเศษผ้าเปียกที่ถูกกําลังภายในจนแตกสลายของจิ่งเหิงปัวไปยังข้างล่างเตียง คราวนี้ถึงได้วางนางกลับไปบนเตียง คลึงอยู่ในพรมหลายครั้ง คาดเดาว่าน้ำบนร่างคงถูกพรมเช็ดจนแห้งแล้วถึงได้คว้าผ้าห่มผืนหนึ่งมาคลุมพรมไว้ จากนั้นก็ยื่นมือเข้าไปใต้ผ้าห่มดึงพรมมาโยนไว้ข้างล่างเตียง

 

 

ท่วงท่าที่คล่องแคล่วและรวดเร็วนี้ แม้คนบางคนไม่ได้เปลือยเปล่าตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าหลังจากกงอิ้นกระทำเสร็จสิ้น ก็ถอนหายใจออกมายืดยาวเฮือกหนึ่ง รู้สึกเพียงว่าที่กลางหลังมีเหงื่อเย็นเยียบซึมออกมาชั้นหนึ่งอีกครั้ง เดิมทีอาภรณ์ที่เปียกชุ่มโชกอยู่แล้ว คราวนี้ก็แทบจะมีน้ำหยดลงมาได้เลย

 

 

รับมือกับนาง ก็เหนื่อยยิ่งกว่าชนะพี่น้องเจ็ดสังหารต่อเนื่องยิ่งนัก

 

 

จู่ๆ จิ่งเหิงปัวก็ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย มองดูเขาอย่างสะลึมสะลือ แล้วพึมพำว่า “เจ้าเปลี่ยนด้วย…เจ้าเปลี่ยนด้วย…”

 

 

กงอิ้นก้มหน้ามองอาภรณ์ที่เปียกโชกของตนเอง คิดจะกลับจิ้งถิงเพื่อเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนแล้วค่อยมาอีกครั้งเช่นกัน แต่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นให้มั่นคง จิ่งเหิงปัวก็พลันคลานขึ้นมา คว้าผ้าห่มไว้แล้วพุ่งเข้ามาหาเขา

 

 

กงอิ้นหันมาในทันที ก่อนจะพลันตระหนักถึงสภาพของนางในยามนี้ได้ จึงเร่งรีบหันลำคอกลับไปอย่างแข็งทื่อ ท่วงท่านี้ก็ใช้แรงมากเกินไปส่งผลให้เกือบจะโซเซ

 

 

เขาไม่กล้าหันหน้ากลับมา รู้สึกได้ว่าจิ่งเหิงปัวพาทั้งร่างทั้งผ้าห่มซบอยู่บนหลังของเขา นางลอกเลียนท่าทางเมื่อครู่ของเขา ใช้ผ้าห่มห่อเขาไว้ ขยี้มั่วซั่วบนร่างกายของเขาหวังจะเช็ดเขาให้แห้ง

 

 

หลังร่ำสุราแขนของนางไร้กำลัง ซ้ำผ้าห่มยังหนักอึ้ง หากจะเอ่ยว่านางคว้าผ้าห่มเช็ดน้ำให้เขาก็ยังไม่สู้เอ่ยว่านางกำลังกอดผ้าห่มถูไถบนหลังของเขาเลย ลอยไปลอยมาปานเมฆนุ่มกลุ่มหนึ่ง กลิ่นหอมกรุ่นพัดผ่านข้างหลังคอเขาอย่างต่อเนื่อง

 

 

เรือนร่างของกงอิ้นสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ความสั่นสะสะท้านภายในร่างกายและความสั่นเทิ้มของจิตใจผสมผสานกัน ก่อเกิดระลอกคลื่นที่คล้องเกี่ยวต่อเนื่องกันออกมานับไม่ถ้วน คลื่นถาโถมกระทบฝั่ง

 

 

เพียงพริบตาหนึ่ง เขาอยากจะหันกายไป อยากจะถาโถมเข้าไป ไม่อยากคำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ลืมเลือนความสับสนวุ่นวายในราชสำนักเหล่านั้น ความกดดันดุจขุนเขา ความวุ่นวายทั่วทุกหนทุกแห่ง การซุกซ่อนอาวุธแหลมคม

 

 

เป็นตัวเองครั้งหนึ่ง ปล่อยตนให้ลอยล่อง ไม่ไปสนใจความถูกผิดบนโลกมนุษย์ ฉกฉวยสิ่งที่ได้รับเบื้องหน้าไว้แนบแน่นก่อน

 

 

ทว่าพอเชิดสายตามองเห็นกระเบื้องดำกำแพงขาวเรียบง่ายบริสุทธิ์ของจิ้งถิง มองเห็นแสงทองของกระเบื้องที่เคลือบยอดพระราชวังที่ทอดยาวเหยียดดุจกระบี่ใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง มองเห็นต้าฮวงที่ไกลออกไปจำศีลสงบเงียบแล้ว ความฮึกเหิมและความตื่นเต้นระลอกนั้นก็พลันพบพานน้ำค้างหิมะแห่งความเป็นจริง เยือกแข็งภายในพริบตา

 

 

ในโลกมนุษย์นี้ช่างอันตรายทุกย่างก้าว หากปล่อยตนเพียงชั่วครู่ สิ่งที่แลกมาอาจจะเป็นการล่มสลายในยามสุดท้าย

 

 

เขาเคยลิ้มลองรสชาติเช่นนั้นแล้ว และไม่อยากลิ้มลองซ้ำอีกครั้ง

 

 

เขาไม่ได้หันหน้ากลับมา หัวไหล่สะท้านครั้งหนึ่ง ก่อนสะบัดจิ่งเหิงปัวออกไป

 

 

จิ่งเหิงปัวกอดผ้าห่มล้มอยู่บนเตียงดังพลั่ก นางหัวเราะฮะๆ แล้วกล่าวว่า “แห้งหรือยัง อบอุ่นหรือยัง ข้ารับปากแล้วว่าจะมอบความอบอุ่นแก่เจ้า…”

 

 

ยามนี้น้ำเสียงของนางอ่อนโยนจริงใจ ดุจภรรยาตัวน้อยที่ครองคู่สุขสันต์นางหนึ่งยิ่งนัก

 

 

ในใจกงอิ้นกระตุกวูบ ก่อนจะหันกายกลับมา

 

 

จิ่งเหิงปัวนอนอยู่บนเตียง เบิกตากว้างมองดูเขา ใบหน้าขาวราวหิมะดวงนั้นมีลักยิ้มชมพูผืนหนึ่ง เส้นผมสยายบนหัวไหล่อย่างนุ่มนวล แขนเปลือยเปล่ายื่นออกมากดผ้าห่มไว้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวดุจรากบัวหิมะสองต้น

 

 

กงอิ้นคว้าแขนของนางขึ้นมาแล้วสอดเข้าไปในผ้าห่มให้เรียบร้อย จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ ออกมา แล้วกล่าวว่า “อบอุ่นแล้วๆ!”

 

 

กงอิ้นโค้งกายลง จ้องมองดวงตาของนาง พลันเอ่ยว่า “เหิงปัว”

 

 

“หืม…” นางใช้เสียงนาสิกกล่าวตอบ สายตาทั้งมัวสลัวทั้งแวววาว

 

 

“ครั้งก่อนข้าเคยเอ่ยวาจาบางประโยคกับขุนนางหญิงซย่า วาจาบางอย่างข้าก็ไม่อยากเอ่ยอีก ทว่ามีวาจาหนึ่งที่ข้ายังอยากถามเจ้าอีกครั้ง”

 

 

“อืมๆ…” นางตอบ สายตามีการเฝ้ารอคอยเพิ่มเข้ามาหลายส่วน

 

 

“เจ้าจะยอมหรือไม่” น้ำเสียงของเขาเนิบช้า คล้ายกำลังพินิจพิเคราะห์วาจา เอ่ยสืบต่อไปว่า “ไม่เป็นราชินีนางนี้อีก เปลี่ยนแปลงฐานะ เป็นเพียง…ภรรยาของข้า ข้าจะปกป้องเจ้า ปกปิดเจ้าไว้ ทว่าเจ้าจะปลอดภัย ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับข้า…ชั่วนิรันดร์”

 

 

จิ่งเหิงปัวค่อยๆ เบิกตากว้างขึ้น

 

 

“เจ้ากำลัง…” นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค้นหาคำสำคัญท่ามกลางความสับสน กล่าวอย่างยากลำบากว่า “…ขอข้าแต่งงาน?”

 

 

กงอิ้นสูดหายใจลึกล้ำเฮือกหนึ่ง จ้องมองนาง เอ่ยว่า “ใช่”

 

 

จิ่งเหิงปัวหลับตาในทันใด

 

 

กงอิ้นขมวดหัวคิ้ว

 

 

“ข้ากำลังฝันอยู่…ข้ากำลังฝันอยู่แน่ๆ…” นางพึมพำกับตนเอง คว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะ

 

 

ดวงตาแวววาวของกงอิ้นหม่นหมองเล็กน้อย ยืดกายนั่งหลังตรง

 

 

ครู่หนึ่งบนใบหน้าเขาก็ฟื้นคืนความว่างเปล่าเหน็บหนาวหยิ่งทระนงตามปกติอีกครั้ง เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าพักผ่อนเถิด” เอ่ยพลางลุกขึ้นอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

 

“กงอิ้น!”

 

 

กงอิ้นหยุดลง ไม่ได้หันหน้ากลับมา

 

 

“ข้าไม่ได้ต้องการบังคับฝืนใจเจ้าแม้สักนิด” เขาเอ่ยว่า “เจ้าลืมไปเถิด”

 

 

“กงอิ้น…” จิ่งเหิงปัวยื่นศีรษะออกมาจากผ้าห่ม นัยน์ตายังคงมึนงง กล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงเอ่ยเรื่องนี้กับข้าในยามนี้…ข้าสับสันจัง…ข้ามึนหัวจัง…แต่ว่าเจ้าอย่าเพิ่งไปนะ ฟังข้าเอ่ยให้จบก่อน”

 

 

กงอิ้นค่อยๆ เดินไปข้างหน้าต่าง ปิดหน้าต่างที่แง้มอยู่เล็กน้อยลง

 

 

“เอ่ยเถิด”

 

 

“ข้า…” จิ่งเหิงปัวลูบหน้าผาก งอข้อนิ้วขึ้นเคาะดังปังๆ ท่าทางปวดศีรษะอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ข้าต้องบอกเจ้าก่อน…ตอนที่ข้าได้ยินคำว่าภรรยาคำนั้นของเจ้า ข้าก็ตกตะลึง จากนั้นคล้ายเป็นความยินดี…ใช่แล้ว เป็นความยินดี…กงอิ้น ข้ารู้ว่าข้าชอบเจ้า ทว่านั่นใช่ความรักหรือไม่ ข้าก็ไม่ได้คิดให้แจ่มแจ้งเช่นกัน บางครั้งข้าก็ไม่ได้คิดให้มากมายขนาดนั้น ข้าชอบเจ้าอยากอยู่ด้วยกันกับเจ้า เช่นนั้นก็แค่อยู่ด้วยกัน ส่วนเรื่องราวที่ไกลยิ่งกว่านั้น ข้ารู้สึกว่าข้ายังอ่อนวัย ไม่เคยคิดมาก่อนเลย…ทว่าเมื่อครู่ที่อยู่ๆ เจ้าก็เอ่ยคำว่าภรรยาออกมา ตอนนั้นข้าตกตะลึงแล้วยินดี ข้าถึงได้รู้ว่าข้าอาจจะรักเจ้าแล้ว…”