กงอิ้นจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ผ่านกระดาษหน้าต่างโปร่งแสงนั้นเขาก็มองเห็นต้นไม้สีเขียวดอกไม้สีแดงนอกหน้าต่างได้รำไร เพียงแต่ความงามและความสดใสปานนั้นมัวสลัวดูไม่เป็นจริง ดั่งภาพที่แขวนไว้ไกลโพ้นภาพหนึ่ง

 

 

“แต่ว่า…เรื่องราวที่ไกลออกไปอย่างเช่นการสมรสนั้น…ข้ายังอ่อนวัย…ข้ายังอายุไม่ถึงยี่สิบปี…” จิ่งเหิงปัวค้ำหน้าผากไว้ กล่าวอย่างกลัดกลุ้มยิ่งนักว่า “ต้องเร็วขนาดนั้นเลยหรือ? กงอิ้น ข้าชื่นชอบความรู้สึกยามที่ตกอยู่ในห้วงความรักยิ่งนัก ไม่อยากแต่งงานมีลูกเป็นหญิงวัยกลางคนธรรมดาคนหนึ่งเร็วเกินไป…ข้าอยากมีวัยหนุ่มสาวที่อิ่มเอิบที่สุด อยากลิ้มลองรสหวานชื่นของความรักให้เต็มที่ ไม่อยากทำให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดน่าผิดหวัง…ข้าเอ่ยไปแล้วเจ้าอาจจะไม่เข้าใจ แต่สตรีอายุยี่สิบปีของพวกเจ้าทางนี้ต่างเป็นสตรีมีอายุแล้ว สมควรออกเรือนแล้ว…แต่พวกข้าทางนั้น อายุยี่สิบปี…วัยหนุ่มสาวอันสดใสก็เพิ่งจะเริ่มต้นเองนะ…”

 

 

กงอิ้นยืนตัวตรง มองเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งที่บินไปยังดอกเบญจมาศแดงอย่างเชื่องช้าแล้วร่วงหล่นอย่างเงียบเชียบ

 

 

ผีเสื้อปลายฤดูใบไม้ร่วงตัวนี้ ปีกของมันก็แบกรับสายลมทองอันหนักหน่วงไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

 

 

“…อีกอย่าง เหตุใดถึงเป็นราชินีไม่ได้อีก? เหตุใดต้องเปลี่ยนฐานะ? เหตุใดชอบคนผู้หนึ่งแล้วยังต้องใช้ชั่วชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ…ข้ายอมไม่สนใจฐานะราชินีได้ ข้าไม่เอาความมั่งคั่งร่ำรวยเปี่ยมยศศักดิ์ได้ แต่ข้ายอมรับการไม่เป็นตนเองไม่ได้…ข้ายอมรับการเป็นบริวารของผู้อื่นไม่ได้ หากต้องใช้ชั่วชีวิตเสมือนตัวตุ่น…แม้แต่ตนเองยังเป็นไม่ได้…ข้าคงต้องสูญเสียความเป็นตนเองไป…”

 

 

ผีเสื้อตัวนั้นร่วงหล่น ดิ้นรนอยู่กลางกองโคลน สุดท้ายแล้วปีกมันก็แนบแน่นบนพื้นดินอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไปแล้ว

 

 

ฤดูใบไม้ร่วงช่างเย็นสบายนัก

 

 

หน้าต่างยังแง้มอยู่เล็กน้อย กงอิ้นปิดลงอย่างแผ่วเบาเสียงดังกึก ขวางกั้นสายลมหนาวสะท้าน ซ้ำยังกักขังความอบอุ่นภายในห้องครู่หนึ่งนี้

 

 

เขาหันกายอย่างเชื่องช้า สีสันว่างเปล่าราวน้ำค้างหิมะกลางหน้าผากสูญสลาย แปรเปลี่ยนเป็นความสงบเงียบและนุ่มนวล

 

 

“เจ้าเอ่ยถูกต้อง” เขาเอ่ยว่า “หากข้าเข้าใจเจ้า ย่อมไม่ควรกระทำการขอร้องนี้ต่อเจ้า เจ้าที่ปล่อยตนอิสระเช่นนี้ สมควรได้โลดแล่นไปมาบนฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุด ผู้ใดก็ไม่มีคุณสมบัติคิดจะจำกัดอิสระของเจ้าไว้”

 

 

“กงอิ้น…” จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างมองดูเขา กล่าวว่า “เจ้าโกรธหรือ”

 

 

“ไม่” เขาเดินกลับมาอย่างเชื่องช้า โค้งกายลงมองดูนาง พลันยืนมือออกไปเช็ดชาดทาปากจุดหนึ่งที่เปรอะออกมาเล็กน้อยจากมุมปากนางอย่างแผ่วเบา

 

 

“ข้าเองคิดผิดพลาดไปชั่วขณะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าคนแบบเจ้านั้นไม่เหมาะสมจะใช้ชีวิตเช่นนั้น หากข้าหักปีกของเจ้า เจ้าจะร่วงหล่นสู่กองโคลน แล้วจะไม่ใช่ตัวเจ้าเองอีก พอถึงยามนั้น ผู้ที่อยู่ด้วยกันกับข้าก็ไม่ใช่จิ่งเหิงปัวแล้ว แล้วข้าจะต้องการนางอีกหรือ?”

 

 

จิ่งเหิงปัวหลุบตาลง นางยังคงวิงเวียนศีรษะ นางอาจจะกล่าวความในใจออกไปด้วยเพราะความวิงเวียน แต่ต่อให้นางไม่วิงเวียน นางก็ยังรู้สึกว่านางควรกล่าวความในใจออกไป ไม่ควรมีเรื่องหลอกลวงปิดบังต่อคนที่ชอบ ไม่อย่างนั้นในอนาคตจะมีรั้วที่ข้ามผ่านไม่ได้อย่างยากหลีกเลี่ยง

 

 

ในใจของนางยังมีความกังวลขึ้นมาอย่างเลือนราง ความกังวลต่อสภาพการณ์ของกงอิ้น มักรู้สึกว่าการขอแต่งงานในเวลานี้คล้ายไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก แต่เขาปิดบังอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน พาให้นางรู้ว่าเรื่องบางเรื่องต่อให้นางถามคงจะไม่มีผลลัพธ์

 

 

นางพยายามอยากรับรู้อารมณ์ของกงอิ้น แต่กลับพบว่าไม่รู้ว่าฤทธิ์สุราหรือเดิมทีตัวกงอิ้นเองไม่มีอารมณ์ เขายังคงสงบเงียบเช่นนี้ ไร้ซึ่งความโกรธ กระทั่งรู้สึกถึงความหนักแน่น คล้ายว่าเขารู้คำตอบนี้ของนางอยู่แต่แรกแล้ว แต่ที่เขาถามออกมา เพียงเคารพนาง เพียงยืนยันจากปากนางเท่านั้น

 

 

เขาไม่ได้โกรธเคือง ไม่ได้อารมณ์เสีย ไม่ได้คิดมาก นางควรสบายใจ แต่ในใจยังมีอารมณ์แปลกประหลาดเวียนวนไม่จางหาย นางอดยื่นมือออกไปคว้ามือของเขาไม่ได้ แล้วกล่าวว่า “…สุดท้ายแล้วข้าจะเข้าใจจิตใจของตนเองจนแจ่มแจ้ง…ให้เวลาข้าครุ่นคิดอีกสักหน่อยนะ…”

 

 

“ได้” กงอิ้นยากจะอ่อนโยนเช่นนี้ ส่งมือของนางกลับสู่กลางผ้าห่ม เอ่ยว่า “อย่าดื้อเลย นอนสักหน่อยเถิด”

 

 

นางรู้ว่านางจะถูกกดจุดนอนหลับอีกครั้ง เช่นนั้นจึงดิ้นรนคัดค้านว่า “ไม่…” เสียงวาจายังไม่ทันสิ้น เบื้องหน้าก็พลันมืดมิดเสียแล้ว

 

 

กงอิ้นนั่งตัวตรง มองนางจมดิ่งสู่แดนฝันในพริบตา คราวนี้นางนอนหลับอย่างไม่สงบสุข ที่หน้าผากขมวดเล็กน้อยมีท่าทางสับสน ในความฝันน่าจะกลัดกลุ้มด้วยเพราะวาจาช่วงหนึ่งเมื่อครู่เช่นกัน

 

 

เขาถอนหายใจเล็กน้อย

 

 

ด้วยเพราะตนเองมีความเมามายบางส่วนเช่นกัน เขาจึงวิงเวียนศีรษะอยู่ชั่วครู่ แท้จริงแล้วเอ่ยวาจาประโยคหนึ่งนี้ ให้นางครุ่นคิดกลัดกลุ้มด้วยเหตุใด

 

 

ความกลัดกลุ้มของโลกมนุษย์นี้ เดิมทีก็ควรให้บุรุษแบกรับไว้

 

 

เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ครุ่นคิดว่าวันนี้เดิมทีเป็นเหตุสุดวิสัยเช่นกัน ให้นางดื่มสุรานี้เดิมทีก็เพื่อบำรุงร่างกายของนาง ผู้ใดจะรู้ว่านางที่เมาแล้วคลั่งเช่นนี้จะก่อเรื่องราวมากมายขนาดนี้ขึ้น

 

 

นิ้วมือของนางยังคงคว้ามือของเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เขาแกะออกอย่างแผ่วเบาทีละนิ้ว ทุกครั้งที่แกะนิ้วมือออกนั้น ปลายนิ้วต่างทาบทับกับปลายนิ้วนาง

 

 

ระยะห่างที่ใกล้หัวใจที่สุด

 

 

หลังจากปล่อยมือออกแล้ว เขาก็ยื่นมือออกไปลูบหัวคิ้วของนางที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยให้เรียบ นิ้วมือค่อยๆ เลื่อนมาทอดลงข้างริมฝีปากนาง คลึงเป็นรอยยิ้มหนึ่งอย่างแผ่วเบา

 

 

เป็นสตรีปล่อยอารมณ์ตามอิสระ

 

 

เจ้าควรยิ้มแย้มชั่วกาล

 

 

 

 

ยามค่ำคืนนั้น

 

 

ตำหนักอวี้จ้าวตกอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์เยือกเย็นขาวโพลน

 

 

ตำหนักอวี้จ้าวในยามราตรีดูเงียบสงบเป็นพิเศษ มองไม่เห็นคนสัญจรและองครักษ์ ด้วยเพราะราชครูชอบความสงบ เพราะอย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมากับดักและองครักษ์ของตำหนักอวี้จ้าวต่างจัดวางอยู่ในสถานที่ลับตาคน

 

 

ด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวนอนหลับอยู่ในจิ้งถิง วังบรรทมของนางจึงถอนกำลังองครักษ์กลับไปครึ่งใหญ่ ยามกลางวันวุ่นวายกันไปคราวหนึ่งนั้น ทุกผู้คนต่างเหน็ดเหนื่อยแล้ว ในค่ำคืนเงียบสงัดมีเสียงละเมอและเสียงพึมพำลอยล่อง

 

 

ประตูบานหนึ่งเปิดออกอย่างแผ่วเบา

 

 

ประตูของตำหนักอวี้จ้าวก็หมั่นซ่อมแซมหยอดน้ำมันเสมอ ยามเปิดออกก็ไร้เสียงโดยสิ้นเชิง

 

 

เงาร่างผอมแห้งกะพริบวูบออกมาจากหลังประตู ผมยาวปล่อยสยาย ชุดขาวเบาบาง ใบหน้าขาวซีดเช่นเดียวกันยังมีร่องรอยคราบน้ำตา พอมองแล้วพาให้คนตกอกตกใจนึกว่านางเป็นวิญญาณสาว

 

 

แสงจันทร์บางเบาทอดลงบนใบหน้า นางก็คือจิ้งอวิ๋นนั่นเอง

 

 

ลักษณะท่าทางของนางดูเหม่อลอยและงงงวยเล็กน้อย สวมรองเท้าพื้นนุ่ม ฝีเท้าล่องลอยแผ่วเบา เดินผ่านลานบ้านทีละก้าวมุ่งสู่ห้องบรรทมของราชินี

 

 

ยามที่จิ่งเหิงปัวนอนหลับในวังบรรทม แม้ว่าไม่ให้องครักษ์เข้าเวรข้างนอกยามกลางคืน แต่ต้องมีองครักษ์เฝ้าคุมในที่ลับตา ทว่าคืนนี้เป็นข้อยกเว้น องครักษ์ไปเรือนข้างเคียงทั้งหมด

 

 

จิ้งอวิ๋นขึ้นบันไดอย่างชำนาญเส้นทาง เดินเข้าประตู ราบรื่นไร้สิ่งกีดขวาง

 

 

ประตูอีกบานหนึ่งเปิดออกอย่างแผ่วเบา ดวงตาดำขลับของยงเสวี่ยมองทะลุผ่านบานประตู จ้องมองเงาด้านหลังของจิ้งอวิ๋นอย่างเงียบเชียบ

 

 

เมื่อสายตามองเห็นว่าจิ้งอวิ๋นเข้าห้องบรรทมของราชินีแล้ว นางก็ขมวดคิ้ว แอบเดินตามออกมาด้วย

 

 

ท่าทางของจิ้งอวิ๋นไม่คล้ายแอบเข้าห้องบรรทมของผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย และไม่คล้ายมาก่อความเสียหายอะไรเช่นกัน นางเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย ก้าวเดินอย่างผ่อนคลายดั่งมีความรู้สึกคุ้นเคยต่อห้องบรรทมของจิ่งเหิงปัวโดยธรรมชาติ

 

 

นางยืนอยู่หน้าเตียงของจิ่งเหิงปัวแล้วหยุดยืนอยู่หน้าห้องลองเสื้อผ้าของจิ่งเหิงปัวชั่วครู่ นั่งลงแม้กระทั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของจิ่งเหิงปัว แล้วส่องคันฉ่องหวีผมอย่างเชื่องช้า

 

 

เที่ยงคืน ดวงจันทร์ขาวโพลน คันฉ่องมัวสลัว ผมยาวสยายยุ่งเหยิง ท่วงท่าเชื่องช้า ใบหน้าเหม่อลอย สีหน้าหวนรำลึกแลคิดคำนึง

 

 

ยงเสวี่ยที่แอบจ้องมองอยู่นอกหน้าต่างลูบแขนตนเอง รู้สึกเพียงว่าขนลุกขนชันขึ้นมาทั่วทั้งร่าง

 

 

นางไม่ได้รู้สึกถึงไอสังหารและเจตนาร้ายบนใบหน้าของจิ้งอวิ๋น ไม่ได้เห็นแม้กระทั่งความรู้สึกตัวของนาง นางรู้สึกว่าจิ้งอวิ๋นนั้นคล้ายอยู่ในสภาพ ‘ละเมอเดิน’ ที่เล่าลือกันในหมู่ราษฎร

 

 

ทว่า ‘ละเมอเดิน’ นับเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ได้ปรากฏเพียงแค่ครั้งเดียว แต่นางกับชุ่ยเจี่ยที่รู้จักจิ้งอวิ๋นมานานขนาดนี้ กลับไม่เคยพบว่าจิ้งอวิ๋นมีนิสัยเดินละเมอยามกลางคืนมาก่อนเลย

 

 

หรือว่าคนบางประเภทต้องได้รับการกระตุ้นถึงจะปรากฏพฤติกรรมเช่นนี้ออกมา?

 

 

จิ้งอวิ๋นพลันเป่าลมบนคันฉ่อง

 

 

ริมฝีปากแดงของนางอ้าออกเล็กน้อย เป่าหมอกขาวผืนหนึ่งบนคันฉ่องนั้น จากนั้นก็ยื่นนิ้วมือออกมาเริ่มวาดเขียน

 

 

ยงเสวี่ยหรี่ตาลง จำแนกภาพนั้นอย่างละเอียด ก่อนจะค่อยๆ ขมวดหัวคิ้วขึ้น

 

 

จิ้งอวิ๋นวาดอยู่หลายครั้ง นางหัวเราะคิกๆ พลางลบออกไป ภายในห้องกว้างโล่งเงียบสงัด เสียงหัวเราะเสียงนี้ดุจวิหคราตรีร้องแผ่วเบา ฟังแล้วทำให้คนเกิดความหวาดกลัว

 

 

จิ้งอวิ๋นคล้ายถูกเสียงหัวเราะของตนเองทำให้ตกใจเช่นกัน นางหันข้างฟังเสียง แล้วพลันหยิบหวีขึ้นเคาะกลางอากาศอย่างเชื่องช้าสามครั้ง

 

 

พอเคาะสามครั้งแล้ว นางก็หันข้างอีกครั้ง เรือนร่างร่นถอยคล้ายจะหลบหลีกปีศาจร้ายที่พุ่งออกมาจากคันฉ่องกระนั้น

 

 

ดวงตาของยงเสวี่ยไม่กะพริบแม้เพียงครั้ง จดจำท่าทางทั้งหมดของนางไว้

 

 

ใบหน้าเลือนรางของสตรีในคันฉ่องทองแดง มองแล้วคล้ายพลันกลายเป็นอีกคนหนึ่ง

 

 

เมื่อจิ้งอวิ๋นกระทำเรื่องเหล่านี้จนเสร็จสิ้น นางก็ยืนขึ้นอย่างสง่างาม ก่อนวางหวีไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วเชิดปลายคางขึ้น กางแขนทั้งสองข้างออก

 

 

ท่าทางนี้ก็แปลกประหลาดและคุ้นเคยอยู่บ้างเช่นกัน ยงเสวี่ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่…คงไม่ใช่ว่าพอหวีผมประทินโฉมเสร็จสิ้น นางก็รอคอยคนก้าวเข้ามาสวมอาภรณ์ให้หรอกนะ?

 

 

ทว่านางเคยเสพสุขการปรนนิบัติเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?

 

 

แน่นอนว่ายงเสวี่ยไม่ก้าวเข้าไปเช่นกัน นางมองดูจิ้งอวิ๋นกางแขนสองข้างรออยู่ชั่วครู่แล้วค่อยๆ หุบแขนลงคล้ายผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นก็เดินวนเวียนอยู่ในห้องบรรทม

 

 

ยงเสวี่ยมองนางเดินวนเวียนไม่จบไม่สิ้น แต่ก็ไม่เห็นว่านางจะทำอะไร เช่นนั้นก็โล่งใจขึ้นมาบ้าง ก้มหน้าลงครุ่นคิดสักพักหนึ่ง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็พลันต้องตะลึงงัน

 

 

จิ้งอวิ๋นที่อยู่ภายในห้องหายไปแล้ว!