ตอนที่ 144-1 ตัดสินแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียวเถอะ สุ่ยฮั่วอี

จำนนรักชายาตัวร้าย

แม้ว่าหลิวอวี๋เซิงจะร่วมมือกับสกุลสุ่ย แต่ในสายตาของเขา มีเพียงผลประโยชน์ ไม่มีมิตรภาพ

 

 

เพราะถึงแม้ว่าสองตระกูลจะดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่สุ่ยเจ๋อซีเป็นฝ่ายทำลายกฎเกณฑ์ก่อน ในเมื่อสกุลสุ่ยไม่จริงใจ ทั้งยังคิดตลบหลังสกุลหลิวได้ แล้วทำไมตนถึงจะคืนสนองกรรมชั่วที่เขากระทำด้วยกรรมชั่วบ้างไม่ได้เล่า?

 

 

เมืองที่ถูกแบ่งแยกและปกครองด้วยตระกูลทั้งแปดถูกประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นทลายกฎเกณฑ์ลงแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องปฏิบัติตามกฎเดิมๆอีกต่อไป

 

 

ถึงเวลาแล้วที่เมืองอู๋โยวจะได้ล้างไพ่แบ่งแยกเขตแดนและขอบเขตอำนาจใหม่เสียที!

 

 

หลิวอวี๋เซิงแสยะยิ้มชั่วร้าย เขารู้ดีว่าสกุลสุ่ยให้ความสำคัญกับเขตแดนของสกุลหนานกงทิ้งเอาไว้เป็นอย่างมาก ดังนั้นนักรบของสกุลหลิวที่ส่งไปยังเมืองเฮ่อ จึงล้วนแต่กล้าแกร่งทั้งที่สุดทั้งสิ้น

 

 

ณ ตอนนี้ สกุลสุ่ยนอกจากสุ่ยฮั่วอีที่เป็นบุคคลอันตรายแล้ว คนอื่นๆไม่มีใครน่าหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

 

 

ในเมื่อกำลังหลักของสกุลสุ่ยไม่ได้อยู่ที่นั่น ส่วนทางนี้สุ่ยฮั่วอีและประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นจะต้องต่อสู้กันจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่งอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเขาก็มีโอกาสที่ได้ชุบมือเปิบ…

 

 

แม้ว่าหลิวอ้าวกว๋อจะบอกว่า ข้างกายของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นมีคนสนิทอยู่เพียงสองคน คนหนึ่งคือหลิวเซิ้งซึ่งสำเร็จจักรรอาวุโส อีกคนคือฮูหยินของเขาซึ่งสำเร็จขั้นปราชอาวุโสช่วงปลาย แต่หลิวอวี๋เซิงก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังคงมีความลับอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่

 

 

จะให้ดีที่สุดก็คือ คนของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นและนักรบของสกุลสุ่ยต่อสู้กันจนบาดเจ็บล้มตายอย่างหนักทั้งสองฝ่าย นั่นเท่ากับว่าสวรรค์เข้าข้างสกุลหลิว! เวลาของสกุลหลิวมาถึงแล้ว!

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลิวอวี๋เซิงก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

 

 

เขาวาดฝันเอาไว้อย่างงดงาม! พันธมิตรและศัตรูต่างก็ล้มตายไม่มีเหลือ เขตแดนของสกุลสุ่ยและสกุลหนานกงต้องตกเป็นของสกุลหลิว!

 

 

“มีเรื่องอะไรกันที่ทำให้ประมุขหลิวยิ้มด้วยความดีใจเช่นนั้นได้?”

 

 

“ไหนลองพูดออกมาให้ข้าดีใจด้วยคนสิ!” ขณะที่หลิวอวี๋เซิงกำลังวาดฝันถึงอนาคตอันงดงามอย่างมีความสุขนั่นเอง พลันเสียงอันเย็นชาเย่อหยิ่งของซย่าโหวฉิงเทียนก็ลอยมา ทำเอาหลิวอวี๋เซิงตกใจจนตัวสั่นและได้สติขึ้นมา

 

 

“ไม่มี ไม่มีอะไร”! เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสีม่วงมาหยุดยืนที่เบื้องหน้าของตน นั่นทำให้หลิวอวี่Jเซิงปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย

 

 

‘ฆ่าจักรพรรดิอาวุโสได้อย่างง่ายดาย เขายังเป็นคนอยู่ใช่ไหม?’

 

 

“ในเมื่อไม่อยากพูด เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”

 

 

ปากก็ว่าช่างเถอะ แต่การกระทำของซย่าโหวฉิงเทียนไม่มีทีท่าว่าจะช่างเถอะแต่อย่างใด เพราะตรงกันข้ามเขาเอาแต่จับตาจ้องมองหลิวอวี๋เซิงอยู่โดยตลอด จนหลิวอวี๋เซิงขนลุกเนื้อตัวสั่นเทา

 

 

‘ขอร้องละ!’

 

 

‘อย่าเอาแต่จับจ้องข้าด้วยสายตาน่ากลัวเช่นนั้น ได้หรือไม่? ‘

 

 

หลิวอวี่เซิงรู้สึกได้อย่างแรงกล้าถึงพลังอะไรบางอย่างที่วนเวียนไปมารอบตัวเขา

 

 

‘แม่เจ้า!’

 

 

‘อย่าทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้อีกเลย?’

 

 

‘พลังวิเศษที่เปล่งออกมานี่มันเรื่องอะไรกัน?

 

 

หากว่าข้าไม่พูดขึ้นมาเสียก่อน เมื่อครู่เจ้าคงจะเด็ดหัวข้าเป็นรายต่อไปดั่งเช่นเด็ดหัวจักรพรรดิอาวุโสคนเมื่อครู่ใช่หรือไม่?’

 

 

สีหน้าท่าทางของซย่าโหวฉิงเทียนกำลังไขความกระจ่างในสิ่งที่หลิวอวี๋เซิงมีคำถามขึ้นมาทั้งหมด และคำตอบก็คือ แน่นอน

 

 

หลิวอวี๋เซิงต้องยอมศิโรราบให้กับอำนาจมืด ของซย่าโหวฉิงเทียน ดังนั้นจึงปั้นแต่งเหตุผลออกมาข้อหนึ่ง

 

 

“เหอะๆ ท่านประมุข ข้าเพียงแค่กำลังคิดถึงตอนที่สุ่ยฮั่วอี เจ้าโจรเฒ่านั่นว่ามันต้องตายอย่างแน่นอน ก็เลยรู้สึกดีใจเท่านั้นเอง! จริงๆนะ!”

 

 

“อื้ม——” ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยตอบรับออกมาหนึ่งคำ ถือว่าหลิวอวี๋เซิงรอดตัวไปได้

 

 

จนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนหมุนกายเดินออกไปนั่นแหละ หลิวอวี๋เซิงถึงได้ยกมือขึ้นลูบศีรษะที่เย็นยะเยือกอันชื้นเหงื่อของตน แม้แต่อยู่ต่อหน้าบรรพชนเฒ่าของตนเอง หลิวปิงปิง เขาก็ไม่เคยตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน

 

 

‘แม่เจ้า!’

 

 

‘สามารถควบคุมพลังวิเศษได้ล้ำเลิศเช่นนี้ ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นคือเทพอาวุโสขึ้นไหนกันแน่นะ?’

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลิวอวี๋เซิงจึงรีบก้าวยาวๆไปหาซย่าโหวฉิงเทียน

 

 

“ท่านประมุข ข้าอยากจะถามท่านสักหน่อย ท่านสำเร็จขั้นอะไรกันแน่?” คำถามนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนตอบได้อย่างเร็วพลันและตรงไปตรงมา

 

 

“รอให้ข้าฆ่าคนก่อน ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้เอง”

 

 

คำตอบนี้ทำให้หลิวอวี๋เซิงรู้ซึ่งถึงนิสัยของซย่าโหวฉิงเทียนได้ชัดเจนเสียที

 

 

เย่อหยิ่งอวดดี โหดเ**้ยมทารุณ ยโสหโอหัง…ทุกคำที่เอ่ยมา ล้วนแสดงออกมาจากตัวของซย่าโหวฉิงเทียนได้ชัดเจนอย่างที่สุด

 

 

นิสัยแย่ๆที่ชอบอวดดีนี้ มันช่างน่าแค้นเคืองยิ่งนัก น่าแค้นเสียจนอยากจะฆ่าเขาให้ตาย!

 

 

‘แต่อีกฝ่ายก็มีความสามารถจริงๆ ถึงได้เย่อหยิ่งอวดดีเช่นนี้ จะทำอะไรเขาได้’

 

 

“เช่นนั้น ตกลงท่านอายุเท่าไหร่กัน?”

 

 

หลิวอวี๋เซิงกำลังสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมากว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นจะเป็นปีศาจเฒ่า เพียงแต่มีวิชาคงกระพัน ดังนั้นจึงสามารถคงสภาพความหนุ่มแน่นอ่อนเยาว์เอาไว้ได้

 

 

บรรพชนเฒ่าของตระกูลเสิ่นถูและตระกูลอวิ๋นสองคนนี้ แต่ละคนอายุร่วมสองร้อยแปดสิบกว่าปีเข้าไปแล้ว ทว่ามองดูภายนอกราวกับพวกเขาอายุเพียงสามสิบสี่สิบปีเท่านั้น

 

 

ปีศาจเฒ่า บรรพนชนของสกุลกงอวี้ เดินออกมานึกว่าสาวใหญ่คนหนึ่ง

 

 

แม้แต่บรรพชนเฒ่าสกุลหลิวเอง ก็รักษารูปร่างหน้าตาผิวพรรณเอาไว้ได้อย่างดี

 

 

ไม่แน่ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ อาจจะอายุประมาณหนึ่งแล้วก็เป็นได้! เพียงแต่ เขาใช้วิธีการไหน จึงสามารถรักษารูปร่างหน้าตาได้ดีถึงเพียงนี้?

 

 

ในขณะที่หลิวอวี๋เซิงกำลังครุ่นคิดพิจารณาปัญหานี้อยู่นั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็เอ่ยแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า

 

 

“ข้าใกล้จะยี่สิบสี่แล้ว”

 

 

“อ๊าก——” เมื่อได้ยินคำตอบของซย่าโหวฉิงเทียนก็ทำเอาหลิวอวี่เซิงถึงกับตกใจจนกัดลิ้นตัวเองเลยทีเดียว และนั่นมันทำให้เขาเจ็บจนต้องร้องออกมา

 

 

ไม่เพียงแต่หลิวอวี๋เซิง นักรบของสกุลหลิวเมื่อได้ยินดังนั้น ต่างก็ตกตะลึงตาค้างไปตามๆกัน

 

 

‘เทพอาวุโสอายุยี่สิบสาม!’

 

 

‘ไม่ได้กำลังเข้าใจผิดใช่ไหม!’

 

 

ใครบางคนกำลังเงยหน้ามองฟ้า

 

 

‘วันนี้ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นจากทางทิศาตะวันออกนี่นา ไม่ผิด! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติเฉกเช่นที่ผ่านมา แล้วเพราะอะไรพวกเขาถึงได้พบกับคนเหนือธรรมดาได้นะ?’

 

 

เกรงว่าในประวัติศาตร์ของเมืองอู๋โยวแห่งนี้ จะไม่เคยมีเทพอาวุโสที่หนุ่มแน่นอายุน้อยเท่านี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ!

 

 

“ท่านกำลังล้อเล่นใช่หรือไม่?” หลิวอวี๋เซิ้งไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องนี้เป็นความจริง

 

 

“ข้าไม่นิยมที่จะคุยเรื่องล้อเล่นกับชายชรา “

 

 

คำพูดตอบกลับของซย่าโหวฉิงเทียนเสมือนเป็นการ ‘เพี้ยะๆ’ ตบหน้าหลิวอวี๋เซิงอย่างแรง

 

 

ชายชรา…

 

 

หลิวอวี๋เซิงได้ยินดังนั้นก็แทบจะร้องไห้ออกมาเลยทีเดียว ‘หรือเป็นเพราะว่าเขามิได้โกนหนวดโกนเครา ดังนั้นถึงได้แลดูว่าแก่ชรา?’

 

 

“ข้าอายุสี่สิบหก!” หลิวอวี๋เซิงอธิบาย

 

 

แต่เขาไหนเลยจะรู้ว่าประโยคต่อไปของซย่าโหวฉิงเทียนจะทำให้เขาแทบจะสำลักตายยิ่กว่า เพราะมันคือ

 

 

“แก่จริงๆด้วย——”

 

 

‘แม่เจ้า!’ หลิวอวี๋เซิงรู้สึราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ

 

 

‘ต่อให้เจ้าคือเทพอาวุโสที่อายุเพียงยี่สิบสามปีเท่านั้น แต่จะชั่วดีอย่างไรข้าก็คือประมุขแห่งสกุลหลิว จะไว้หน้าข้าบ้างไม่ได้เลยหรือ!’

 

 

ทว่า หลิวอวี๋เซิงก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกไป เพียงแค่อดทนอดกลั้นเอาไว้ แล้วมองตามหลังซย่าโหวฉิงเทียนด้วยแววตาแค้นเคือง

 

 

เพราะหลิวอวี๋เซิงรู้ดี เกิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยโต้กลับขึ้นมา เจ้าหนุ่มไร้ความละอายคนนั้นจะต้องตอกกลับว่า

 

 

‘เจ้าหนุ่มแน่นกว่าข้าอย่างนั้นหรือ? เจ้ามันทั้งแก่ทั้งไม่มีประโยชน์ ไม่มีสิทธิ์มาจาพูดเช่นนี้กับข้า!’

 

 

ตอนนี้หัวใจของเขาประหนึ่งโดนมีดแหลมทิ่มแทงนับครั้งไม่ถ้วน หัวใจไม่อาจทนรับกับการกระทบกระเทือนใดๆได้อีกแล้ว

 

 

‘ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นน่ารังเกียจจริงๆด้วย!’

 

 

จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้หลิวอวี๋เซิงเกลียดขี้หน้าซย่าโหวฉิงเทียนเพียงแค่เจ็ดส่วนเท่านั้น แต่ตอนนี้ถึงกับเกลียดหมดทั้งใจ

 

 

‘คนประเภทนี้ขาดบทเรียน ขาดการสั่งสอน!’

 

 

‘ได้แต่หวังว่าสุ่ยฮั่วอีจะสามารถกำจัดเจ้าหนุ่มไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้ไปได้!’

 

 

‘ทางที่ดีควรจะสับเขาเป็นหมื่นๆชิ้นด้วยจะดีมาก!’

 

 

ดวงตาคู่นั้นของหลิวอวี่Jเซิงราวกับฉาบเอาไว้ด้วยยาพิษร้ายแรงก็ไม่ปานจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนอย่างอาฆาตมาดร้าย!

 

 

แต่ในใจของเขากำลังบอกตัวเองว่าให้สงบลง ใจเย็นเข้าไว้ จะต้องอดทนจนกว่าจะถึงเมืองลู่

 

 

ขอเพียงเดินทางไปถึงเมืองลู่ ความแค้นก็จะได้รับการสะสาง

 

 

หลิวอวี๋เซิงคิดเอาไว้เช่นนี้ และก็เป็นความปรารถนาของนักรบสกุลหลิวทุกคนเช่นกัน