ตอนที่ 144-2 ตัดสินแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียวเถอะ สุ่ยฮั่วอี

จำนนรักชายาตัวร้าย

ในฐานะที่เป็นคนของสกุลหลิวซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลทั้งแปด พวกเขามักจะหยิ่งผยองยโสโอหัง คิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าใคร ไหนเลยจะคาดคิดว่า วันหนึ่งตนเองก็ต้องอดทนอดกลั้นกับเข้าเช่นกัน?

 

 

ความคิดเห็นของนับรบของสกุลหลิวที่ติดตามอยู่เบื้องหลังที่มีต่อตนนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ได้นำมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

 

 

เขาอยากจะรีบจัดการสุ่ยฮั่วอีให้ได้โดยเร็ว จะได้รีบกลับบ้านไปทำเจ้าเด็กเปรตกับอวี้เฟยเยียนให้เร็วที่สุด

 

 

ก่อนจะเดินทางมาซย่าโหวฉิงเทียนไม่ยินยอมที่จะแยกจากอวี้เฟยเยียน แต่ทว่า ในคืนก่อนที่จะเดินทาง อวี้เฟยเยียนกลับยินพร้อมใจให้เขากระทำตามอำเภอใจทุกอย่าง ซึ่งนั่นก็ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนได้ลิ้มรสความหอมหวานอย่างที่สุด

 

 

เห็นทีว่าพลังที่ซุกซ่อนอยู่ของแมวน้อยแข็งแกร่งไม่น้อยทีเดียว!

 

 

‘ไม่รู้ว่ามีวิธีการใดที่ทำให้เขาไม่ต้องแยกจากนาง ทั้งยังกระทำได้ตามแต่ใจของเขาต้องการหรือไม่?’

 

 

ตลอดทาง หลิวอวี่Jเซิงและบรรดานักรบของสกุลหลิวต่างก็กำลังจิตนาการถึงความปรารถของตัวเอง ว่า รอให้สุ่ยฮั่วอีเด็ดหัวซย่าโหวฉิงเทียนลงได้แล้ว พวกเขาจะใช้วิธีการใดเหยียดหยามเจ้าหนุ่มอวดนี้คนนี้ดี

 

 

‘ทำลายความเป็นชายของเขา แล้วนำเขาไปเป็นทาสบำเรอกามอารมณ์?’

 

 

‘หรือว่าจะตัดหัวของเขาเอาไปทำเป็นกระโถนปัสสาวะ แต่ละคนผลัดกันฉี่รดคนละครั้งดี?’

 

 

‘หรือจะเนื้อเขาออกมาทีละชิ้นๆ ให้ทุกคนได้ดูไปพร้อมกันเลยว่าสิ่งที่เต้นอยู่ข้างใน คือหัวใจจริงหรือไม่?’

 

 

โดยที่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า บัดนี้ตนเองได้กลายเป็น ศัตรูสาธารณะไปแล้ว

 

 

เพราะตลอดทาง ซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่ครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไรจึงจะทำให้แมวน้อยของเขาว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กดี เชื่อฟังเขาทุกอย่างเท่านั้น?

 

 

จนในที่สุด คณะของซย่าโหวฉิงเทียนก็เดินทางถึงถิ่นของสกุลสุ่ย ในช่วงเที่ยงของวันที่ห้านั่นเอง

 

 

แหงนมองเมืองลู่ที่ตั้งสูงตระหง่านเฉียดฟ้าแล้ว ก็ทำเอาหลิวอวี๋เซิงถึงกับน้ำตาปริ่มเลยทีเดียว

 

 

ช่วงเวลาสี่ห้าวันที่อยู่ด้วยกันกับซย่าโหวฉิงเทียนนี้ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าตาย——

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนคือเทพอาวุโส เพียงแค่นั่งฌานเล็กน้อย ก็สามารถฟื้นฟูพลังคืนกลับมาดั่งเดิมได้ ดังนั้นสี่ห้าวันมานี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงสดชื่นประปรี้กระเปร่า เรี่ยวแรงเต็มพิกัด ราวกับกินของดีมาอย่างไรอย่างนั้น แต่กลับเป็นพวกเขาเสียอีกที่ลำบากลำบนยิ่งนัก

 

 

ดูฝ่ายซย่าโหวฉิงเทียนสิ หลับตาสักครึ่งชั่วยามเรี่ยวแรงก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติแล้ว ทว่าคนอื่นๆอย่างน้อยที่สุดก็ต้องนอนหลับพักใหญ่เห็นจะได้

 

 

ทว่า ซย่าโหวฉิงเทียนกลับไม่ให้เวลาคนอื่นได้พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย เวลาพักผ่อนของทุกคน จะต้องโคจรตามเวลาของเขาเท่านั้น

 

 

ในบรรดานักรบทั้งหลาย มีจักรพรรดิอาวุโสคนหนึ่งยังไม่ทันได้พักผ่อนเต็มที่ จึงบังเกิดความไม่พอใจขึ้นมาเขาจึงลุกขึ้นมาประท้วง และสุดท้ายจุดจบของเขาก็เหมือนกันกับจักรพรรดิคนก่อนหน้านี้ทุกประการนั่นก็คือ โดนซย่าโหวฉิงเทียนหักคอทิ้งเสียเลย

 

 

ถูกคุมเข้มอย่างหนักหน่วงโหดเ**้ยมเช่นนี้ นักรบสกุลหลิวที่เหลือจึงพยายามเรียกพลังกายและพลังใจของตนเองทั้งหมดที่มีออกมา

 

 

พวกเขากำลังสงสัยจริงๆ ว่าหากพวกเขาทุกคนพร้อมใจกันไม่เชื่อฟังคำของซย่าโหวฉิงเทียนละก็ เขาจะฆ่าพวกเขาทั้งทั้งหมดเลยหรือไม่…

 

 

ดังนั้น แม้ว่าทุกคนจะขอบตาดำคล้ำราวกับหมีแพนด้า ในใจอัดแน่นไปด้วยความโกรธเคืองและความไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่แสดงความไม่พอใจออกมาต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียนเลยแม้เพียงนิดเดียว

 

 

แม้แต่ลับหลัง ก็ไม่กล้า

 

 

ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าความสามารถของเทพอาวุโสนั้นกว้างขวางยิ่งนัก ไม่ว่าคำนินทาด่าทอว่ากล่าวจะเบาบางเพียงใด เขาก็สามารถได้ยินได้หมด

 

 

ดังนั้น ตลอดเวลาที่เดินทางกันมา พูดมากก็รังแต่จะมีน้ำตา ดังนั้นนักรบสกุลหลิวทุกคนจึงได้กลืนเลือดและน้ำตาเอาไว้ภายใน

 

 

พวกเขาไม่เคยรู้สึกอึดอัดใจเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อนเลย!

 

 

บัดนี้ใกล้เมืองลู่เข้าไปทุกขณะ ดวงตาของนักรบทุกคนปริ่มล้นไปด้วยน้ำตา

 

 

‘สวรรค์!’

 

 

ในที่สุดก็มองเห็นความหวัง! พวกเขาไม่ต้องดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความกดดันมหาศาลเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว!

 

 

เมื่อหลิวอวี๋เซิงมองไปยังซย่าโหวฉิงเทียนแล้วเห็นความตื่นตัวมุ่งมั่นในตัวเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มเยาะ

 

 

‘หน้าโง่! วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!’

 

 

เมืองลู่ ยังคงร้อนระอุเช่นเดิม

 

 

ศึกใหญ่ใกล้เข้ามา แต่สุ่ยฮั่วอีกลับมิได้ให้ประชาชนในอาณัติของตนลี้ภัยไปที่อื่นแต่อย่างใด เพราะเขาเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง เชื่อมั่นว่าตนเองสามารถสังหารประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นได้อย่างง่ายดาย

 

 

และสกุลสุ่ยในขณะนี้ก็ได้ตระเตรียมเอาไว้พร้อมแล้วที่จะตั้งรับศัตรู

 

 

วินาทีที่ซย่าโหวฉิงเทียนและนักรบสกุลหลิวเหยียบย่างเข้าสู่เมืองลู่นั่นเอง นักรบของสกุลสุ่ยก็ได้ทำการปิดประตูเมืองบานใหญ่ทั้งสี่ด้านลง

 

 

ขณะเดียวกันสุ่ยฮั่วอีกก็ทะยานขึ้นไปยืนอยู่กลางเวหา เมื่อมองเห็นชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่ยืนอยู่บนพื้นเบื้องล่างแล้ว สุ่ยฮั่วอีก็ถึงยิ้มเยือกเย็นออกมา

 

 

“ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น ในที่สุดเจ้าก็มา!”

 

 

“ข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว!”

 

 

เมื่อเห็นสุ่ยฮั่วอีปรากฏตัว หลิวอวี๋เซิงและนักรบสกุลหลิวจึงรีบทำตามแผนการที่วางเอาไว้ แฝงตัวเข้าไปรวมกับกลุ่มชาวบ้านทันที

 

 

เดิมทีสุ่ยฮั่วอีคิดว่า เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนพบกับสถานการณ์ตรงหน้านี้เข้า เขาจะต้องรู้สึกตื่นตระหนกมากเป็นแน่ อย่างน้อยที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนคาดคงจะต้องคาดไม่ถึงเลยอย่างแน่นอนว่าสกุลสุ่ยและสกุลหลิวจะร่วมมือกัน ไหนเลยจะคาดคิดว่าชายในชุดสีม่วงจะมีท่าทีนิ่งสงบ ราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้การคาดการณ์ของเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ตรงกันข้ามกับประชาชนชาวเมืองลู่ เมื่อเห็นสุ่ยฮั่วอีปรากฎตัวพวกเขาต่างก็รู้สึกตื่นตะลึง

 

 

“บรรพชนเฒ่าออกมาทำอะไรกัน?”

 

 

“หรือว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น?” ‘

 

 

จวบจนกระทั่งเมื่อครู่ทุกคนได้ยินสุ่ยฮั่วอีเอ่ยเรียกขาน ‘ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น’ นั่นแหละ พลัน ทั่วทั้งเมืองเฮ่อก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นมาทันที

 

 

‘ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น?’

 

 

‘ชายหนุ่มที่สังหารหนานกงซีรั่วผู้นั้นนะหรือ? เขามาที่นี่ทำไมกัน?’

 

 

สำหรับคำถามของสุ่ยฮั่วอี ซย่าโหวฉิงเทียนไม่มีแก่ใจที่จะตอบรับแม้แต่น้อย

 

 

เขาได้ปล่อยดวงจิตออกมาคอยติดตามนักรบของสุ่ยหลิวเหล่านั้นตั้งแต่แรกแล้ว วินาทีที่สุ่ยฮั่วอีเตรียมที่จะกระตุ้นให้ซย่าโหวฉิงเทียนขึ้นมาต่อสู้กับตนเองนั่นเอง เงาร่างสีม่วงก็พุ่งทะลุเข้ามายังเมืองลู่เสียแล้ว

 

 

“อ๊าก!”

 

 

“อ๊าก!”

 

 

“อย่า!”

 

 

หลงเหลือเพียงแค่เสียงร้องครวญคราง นับรบของสกุลหลิวที่เข้าไปปะปนหลบซ่อนตัวในหมู่ชาวบ้าน ถูกซย่าโหวฉิงเทียนลากออกมาทีละคนๆ

 

 

มือของซย่าโหวฉิงเทียน เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาบีบคอนักรบเหล่านั้นแล้วเหวี่ยงพวกเขาไปที่กลางอากาศ

 

 

คนเป็นๆถูกเหวี่ยงออกไปราวกับเส้นโค้งพาราโบลาก็ไม่ปาน กระเด็นลงไปกระแทกกับพื้นที่ใจกลางเมืองอย่างจัง ศีรษะแตกมันสมองกระจัดกระจายตายอย่างอนาถ ซึ่งคนหลังจากนั้นก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนใช้วิธีการอันทารุณโหดร้ายแบบเดียวกันโยนออกไป

 

 

ที่บังเอิญก็คือ ไม่ว่านักรบสกุลหลิวเหล่านั้นจะหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ตรงจุดไหนก็ตาม แต่ที่สุดท้ายในชีวิตของพวกเขานั้นกลับอยู่ในที่เดียวกัน นั่นก็คือคือพื้นโล่งใจกลางเมืองลู่นั่นเอง

 

 

“ความสามารถในการควบคุมพลังน่าสะพรึ่งกลัวเหลือเกิน!” ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวขึ้น

 

 

โยนคนมาจากตำแหน่งต่างๆที่ต่างกัน แต่จุดที่ร่างของคนเหล่านั้นตกลงมากลับอยู่ในจุดเดียวกันทุกคน การควบคุมพลังวิเศษของคนผู้นี้ล้ำเลิศยอดเยี่ยมยิ่งนัก!

 

 

ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นผู้นี้เป็นใคเก่งกาจมาจากไหนกันนะ!

 

 

เวลาผ่านไปชั่วครู่ ยอดฝีมือที่เดินทางมาพร้อมกันกับหลิวอวี๋เซิงทั้งหมดสามสิบคนก็ล้มตายไปแล้วถึงสิบคน

 

 

พวกจักรพรริอาวุโส ปราชญ์อาวุโส เมื่อตกอยู่ในเงื้อมือของซย่าโหวฉิงเทียนแล้วไม่มีแม้กระทั่งแรงจะตอบโต้ด้วยซ้ำ ซึ่งไม่ว่าพวกเขาจะหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด สุดท้ายก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนหาจนพบอยู่ดี

 

 

สุ่ยฮั่วอีที่ยทนอยู่กลางเวหามองเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนฆ่าคนตามอำเภอใจ ก็โมโหโกรธาจนแทบกระอักเลือด

 

 

‘หรือว่าอีกฝ่ายรู้ความลับระหว่างสกุลสุ่ยและสกุลหลิวตั้งแต่แรกแล้ว?’

 

 

ในเมื่อรู้ว่าสองตระกูลร่วมมือกัน เขายังกล้าเดินทางมาคนเดียว จะเรียกว่ากล้าหาญชาญชัยหรือเรียกว่าวัวหนุ่มพยศไม่รู้พิษสงของราชสีห์ดี!

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น สุ่ยฮั่วอีก็เริ่มกังวลใจเล็กน้อย