พนาวันขมวดคิ้ว “คุณปราณีก็ไป?”
มนตรีพยักหน้า “ใช่”
“งั้นก็ได้ แต่ว่า วันนี้ฉันขอเป็นคนจ่ายนะ” พนาวันเอ่ยพูด
ได้ยินแบบนั้น มนตรีก็ยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก “แม้ว่าแต่ไหนแต่ไรผมไม่ได้มีนิสัยชอบให้ผู้หญิงเลี้ยง แต่ว่าดูท่าทางคุณแล้ว ถ้าผมไม่ตกลงกลัวก็แต่ว่าจะไม่ได้กินข้าวด้วยกันน่ะสิ”
คำพูดติดตลกทำให้ทั้งสองต้องมองตากันอย่างขำขัน บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นกันเอง และเข้าขากันมากขึ้น
พนาวันหัวเราะออกมา
คุณปราณีดีกับเธอมาก ในเมื่อเธออยากไปกิน งั้นก็คงต้องไปแล้วล่ะ
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน มนตรีก็ไปเอารถมา
เมื่อพนาวันกับคุณปราณีขึ้นมานั่งนรถ ก็บอกที่หมายที่จะไป
ตรอกซอยในเฮทเคหายากมากๆ ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะหาเจอ และตรงหน้านี้ก็คือร้านขนมจีนข้ามสะพาน
มนตรียืนลังเลอยู่หน้าร้าน
พนาวันหันกลับมา “ถ้าไม่อยากกิน เราเปลี่ยนร้านก็ได้นะ ฉันนึกถึงแต่ความชอบตัวเอง จนลืมถามคุณกับคุณปราณีไปเลย”
สภาพแวดล้อมตรงนี้ค่อนข้างไม่โอเคเท่าไหร่ สำหรับคนรวยๆต้องเป็นโรงแรมหรูๆเท่านั้น ถ้าจะไม่ชินกับอะไรแบบนี้ก็ไม่แปลก
คุณปราณียกมือทั้งสองข้างขึ้น “ฉันไม่มีปัญหา”
“ผมก็ด้วย”
มนตรีแบมือทั้งสองข้าง แล้วก้าวเดินลิ่วๆเข้าไปข้างใน
ในร้านหลังเล็กมาก แต่เทียบกับคราบมันต่างๆข้างนอกร้านแล้ว ข้างในสะอาดกว่ามาก
พนาวันมาฝากท้องที่นี่บ่อยๆ จึงรู้ว่าของหลายอย่างในร้านสามารถนำมากินกับบะหมี่ได้ เธอเอ่ยสั่งไส้กรอก ผักซี และลูกชิ้นอย่างคล่องแคล่ว
เจ้าของร้านเดินเข้ามาถามว่า “เอาถ้วยเล็กหรือถ้วยใหญ่?”
พนาวันหันมาถามความเห็นมนตรีก่อนเป็นอันดับแรก
เขาจึงบอกว่าเอาถ้วยเล็ก
ส่วนคุณปราณีเอ่ยขึ้นว่า “คนกินเก่งอย่างฉัน ก็ต้องเอาถ้วยใหญ่อยู่แล้วสิ”
ไม่นานบะหมี่ก็ลวกเสร็จ เจ้าของร้านเดินถือหม้อเข้ามาด้วยรอยยิ้มตาหยี
เธอเตรียมวางลงตรงหน้ามนตรี แต่พนาวันห้ามเอาไว้ทัน “ถ้วยใหญ่ของพวกเรา ส่วนเขาเอาถ้วยเล็กค่ะ”
ปกติต้องเป็นผู้ชายกินถ้วยใหญ่ผู้หญิงกินถ้วยเล็ก แต่พอเป็นเธอ กลับตรงกันข้ามซะอย่างนั้น
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของอีกฝ่าย พนาวันก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือคับอกคับใจแต่อย่างใด เอ่ยพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ฉันชอบขนมจีนข้ามสะพานของที่นี่ที่สุดแล้ว สั่งถ้วยเล็กฉันคงไม่อิ่มหรอกค่ะ”
ป้าเจ้าของร้านถูกชมจนยิ้มตาหยีออกมาอย่างพอใจ
มุมปากของมนตรียกยิ้มบางเบา ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นผู้หญิงไม่สนภาพลักษณ์แบบนี้
มนตรีลองชิมแล้วจึงพูดขึ้นมาว่า “รสชาติดีจริงๆด้วย น้ำซุปอร่อยมาก”
พนาวันยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก “คราวนี้รู้สึกคิดผิดหรือยังที่เลือกถ้วยเล็ก?”
มนตรีแบมือทั้งสองข้างออกอย่างช่วยไม่ได้ บ่งบอกว่าคิดผิดมาก “ผมไม่เคยคิดเลยว่า รสชาติอาหารที่นี่จะอร่อยขนาดนี้”
คุณปราณีเอ่ยพูดยิ้มๆว่า “บอกแล้วให้เชื่อวัน”
ในขณะที่กำลังทานกันอยู่นั้น โทรศัพท์ของพนาวันก็ดังขึ้นมา เป็นสายโทรเข้าจากลุงสิน
เธอกดรับสาย
“คุณพนาวัน คุณชายต้องไปดูงานสองวัน เพราะงั้นสองวันนี้อาจจะต้องรบกวนฝากคุณชายน้อยไว้กับคุณแล้วล่ะครับ”
พนาวันเอ่ยถาม “ใครเป็นคนบอกว่าจะฝากเหรอคะ?”
ลุงสินเอ่ยพูด “คุณชายครับ”
“ได้ค่ะ”
“อีกสักประเดี๋ยว จะมีคนพาคุณชายน้อยไปส่งนะครับ”
พนาวันเอ่ยพูด “รับทราบค่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เธอก็เริ่มร้อนใจ เร่งความเร็วในการกินข้าวมากกว่าเดิม
มนตรีดูออกว่าเธอกำลังรีบ จึงเอ่ยพูดว่า “ไม่ต้องรีบ กินเสร็จเดี๋ยวผมไปส่ง ค่อยๆกินก็ได้”
พนาวันยิ้มออกมา “ป้าคะ ขอกลับบ้านอีกหนึ่งชุด ไม่ต้องลวกนะคะ”
เธอกลัวว่าเส้นมันจะอืดเสียก่อน
“เอาไปฝากใครเหรอ?” มนตรีเอ่ยถามอย่างเป็นธรรมชาติ
“ลูกชายฉันน่ะ” เธอพูดออกมาตามตรง ไม่ได้ปกปิดอะไร
เมื่อได้ยินดังนั้น มนตรีก็เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ “ลูกชาย ลูกแท้ๆเลยเหรอ?”
“ใช่ ลูกแท้ๆของฉันเอง ฉันมีเขาตอนแต่งงานในวัย22 ปีนี้ลูกชายฉันแปดขวบแล้ว แต่ว่าฉันกับพ่อของเขาหย่ากันแล้ว เขาเลยได้ไปอยู่กับพ่อของเขา”
พนาวันไม่เคยปกปิดคนอื่นเรื่องลูก คำพูดเหล่านี้เธอจึงพูดมันออกมาอย่างสบายๆเหมือนกำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ
ถ้าหาก มนตรีคิดอะไรกับเธอจริงๆ พอได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ก็อาจจะถอดใจไปเองก็ได้
มนตรีหลับตาลง “ขอโทษนะ เหมือนผมไปถามเรื่องที่ไม่ควรถามเลย”
ผู้หญิงส่วนใหญ่ มักจะเก็บเรื่องอะไรแบบนี้เป็นความลับหรือไม่ก็พยายามปิดบัง หรือบางทีอาจถึงขั้นแอบกลัวลึกๆด้วย หลายครั้งจึงไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ยังไงเรื่องพวกนี้ก็คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าใครถามฉันก็ยังจะตอบแบบนี้ ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นคำถามที่ไม่ควรถามตรงไหนเลย” เธอพูดอย่างคล่องแคล่วและฉะฉาน
ซึ่งมนตรีรู้สึกชื่นชมผู้หญิงนิสัยแบบนี้มากๆ
ทั้งสองคนทานกันต่ออย่างไม่มีหยุดชะงัก เมื่อทานเสร็จ พนาวันก็จ่ายเงิน หยิบบะหมี่ติดมือขึ้นมานั่งบนรถของมนตรี “ขอโทษด้วยนะที่วันนี้ทำให้คุณกินได้ไม่เต็มที่ เดี๋ยวครั้งหน้าฉันจะเลี้ยงอีกก็แล้วกัน”
“ได้ ผมเต็มใจที่จะเกาะผู้หญิงกินอีกครั้ง” มนตรีเอ่ยพูดอย่างหยอกล้อ
เมื่อรถมาจอดใต้ตึก ถ้าจะไล่แขกกลับเลยก็รู้สึกเสียมารยาท เธอจึงเสนอขึ้นมาว่า “ขึ้นไปดื่มน้ำข้างบนก่อนไหม?”
มนตรีตกลงคำชวน ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์ ทว่าเมื่อเดินออกมากลับเห็นหมีพูลและอาคิระยืนรออยู่หน้าห้อง
พนาวันรู้สึกสงสัย
ทำไมไม่ใช่ลุงสินมาส่งเองล่ะ?
เดิมทีสีหน้าของอาคิระก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว
ในเวลานี้อึมครึมลงอย่างสมบูรณ์แบบ ดำทะมึนเหมือนเมฆตั้งเคล้าก็ไม่ปาน
หมีพูลชะงัก ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างเลื่อนลอย พนาวันโบกมือให้เข้าแล้วพูดว่า “สวัสดีคุณลุงสิ”
“สวัสดีครับคุณลุง”เขาเอ่ยทักทายอย่างรู้จักมารยาท
“สวัสดีครับหมีพูล วันนี้ฉุกละหุกไปหน่อยไม่ได้เตรียมของขวัญไว้ให้เลย ขอโทษนะ” มนตรีมองมาที่เด็กน้อยยิ้มๆ ช่างเป็นเด็กดีและน่าเอ็นดูจริงๆ
“เข้าไปข้างในกันเถอะ ข้างนอกอากาศเย็น” พนาวันเปิดประตู หมีพูลเดินเข้าไปก่อน ตามหลังด้วยมนตรี มือของเธอที่จับลูกบิดอยู่เตรียมปิดประตูลง
อาคิระที่ยืนอยู่ข้างนอกเห็นแบบนั้น ก็เดินพรวดเข้าไปอย่างว่องไว ใช้เท้าขวางประตูเอาไว้ด้วยใบหน้าถมึงทึง
นี่คิดจะให้เขาอยู่ข้างนอกคนเดียวเหรอ?
“คุณเข้ามาทำไม?” พนาวันกดเสียงต่ำ
“แล้วเขาเข้ามาทำไม?”ดวงตาที่หรี่ลงของอาคิรวูบโหวงพร้อมทั้งทอดสายตามองมนตรี
“หมีพูลคือลูกของฉัน จะเข้าจะออกที่นี่ยังไงก็ได้ ส่วนเขาเป็นเพื่อนที่ฉันเชิญขึ้นมา ยังไงก็ต้องเข้าห้องได้อยู่แล้ว แต่คุณล่ะ?”พาวันย้อนถามอย่างหมางเมิน
คิดอะไรอยู่สักพัก อาคิระก็พูดขึ้นมาว่า “ผมเป็นพ่อของหมีพูลนะ!”
“แต่นี่มันห้องฉัน ฉันมีสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่าง การที่คุณจะเข้าห้องฉันมันเกี่ยวอะไรกับการที่คุณเป็นพ่อของหมีพูลไม่ทราบ?” เธอซักถาม
“ลูกของผมอยู่ในห้อง ผมก็ต้องเข้าไปได้เหมือนกัน แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ผมเข้าไปก็ได้นะ งั้นผมก็จะอยู่อย่างนี้แหละ ไหนๆผมก็ไม่ซีเรียสอยู่แล้ว”
เสียงของอาคิระทุ้มลึกเยือกเย็น
ระหว่างที่พูด เขาก็ใช้ขาเรียวยาวของเขาหนีบตรงร่องประตูเอาไว้
พนาวันจึงออกแรงปิดประตูหนีบขาของเขาอย่างไม่ออมมือ
ขาของอาคิระถูกหนีบจนเจ็บไปหมด คิ้วขมวดมุ่นจนแทบจะกลายเป็นปม
ทั้งสองยื้อยุดกันอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครยอมใคร เธอไม่ยอมผ่อนแรง เขาก็ไม่ยอมถอย เธอกัดฟันกรอด พร้อมออกแรงหนีบขาของเขาแรงขึ้น