ทีผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นยังเข้าไปได้ แต่ทำไมต้องขวางเขาเอาไว้ข้างนอกด้วย?
ทั้งสองต่างก็ไม่มีใครยอมใคร
เหตุการณ์ตรงหน้ามองมาเหมือนเด็กกำลังเล่นชักกะเย่อ
มนตรีเดินเข้ามา ขำเบาๆแล้วพูดว่า “ดึกมากแล้ว ผมกลับดีกว่า เจอกันพรุ่งนี้ที่บริษัทนะครับ”
ได้ยินดังนั้น พนาวันก็ดีดตัว “ผึง” ผ่อนแรงออกทันที
ขาของอาคิระถูกประตูหนีบ
เจ็บจนเขาต้องชักขากลับ ฝืนขาข้างที่โดนหนีบให้ยืนตรง ปั้นหน้าอวดดี ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทว่าหัวคิ้วกับเหยียดตรงเหมือนไฟที่กำลังลุกโชน
“ไม่ดื่มน้ำหน่อยเหรอ?”
เธอรู้สึกว่าการต้อนรับแขกแบบนี้มันค่อนข้างที่จะเกินไปหน่อย “ข้างในมีกาแฟอยู่นะ เดี๋ยวฉันไปชงให้”
มนตรีส่ายหัวบ่งบอกว่าไม่ต้อง “ดึกมากแล้ว จากที่นี่ไปที่พักผมยังต้องขับรถอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง เอาไว้พรุ่งนี้คุณไปชงให้ผมที่บริษัทแล้วกัน”
พนาวันพยักหน้า “เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง”
ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันลงไปข้างล่าง ไม่มีใครสนใจอาคิระเลยสักคน
อาคิระหรี่ตามอง พร้อมกับตีหน้าอึมครึม
อาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจ เดินเข้าไปในห้องอย่างว่องไว
“นั่นพ่อเด็กเหรอ?” เมื่อลงมาข้างล่าง มนตรีก็เอ่ยถาม
พนาวันพยักหน้า “ใช่”
“เขาดูเป็นผู้ใหญ่มาก มีออร่าสูงส่งแล้วก็ความเป็นผู้ดี มองในมุมผู้ชายด้วยกันเอง เขาถือเป็นมังกรท่ามกลางมวลมนุษย์เลยนะ” มนตรีเอ่ยพูด
“ไม่แน่หรอก คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ บางคนน่ะ ก็เหมือนหมาป่าห่มหนังแกะ ภายนอกดูดี แต่ข้างในเข้าขั้นย่ำแย่”
มนตรีเอ่ยพูดว่า “ผมรู้สึกว่า เขาไม่น่าจะใช่คนอย่างนั้น”
พนาวันยิ้มออกมา แล้วเอ่ยพูดว่า “ก็อาจจะใช่ แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย ยังไงก็ขับขี่ปลอดภัยนะ ถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาบอกฉันด้วย”
เมื่อเธอกลับมาถึงห้อง ก็พบว่าอาคิระนั่งอยู่บนเตียงตามใจชอบ
สีหน้าของเขายังคงมืดครึ้มไม่น่ามอง เหมือนมีใครติดหนี้แล้วไม่ใช้คืนเป็นเวลาหลายพันปี
หมีพูลนั่งหอบท้องอยู่ข้างๆ “แม่ครับ ผมหิว”
ได้ยินดังนั้น พนาวันก็ไม่มีเวลามาสนใจอาคิระอีกต่อไป
เธอรีบเดินเข้าไปในครัว นำบะหมี่ที่ซื้อกลับมาด้วยมาต้ม
กลิ่นหอมๆตลบอบอวยไปทั่วห้อง หมีพูลเลียริมฝีปากแล้วพูดว่า “หอมจังเลย”
อาคิระยังเดือดในอกปุดๆ ไฟที่ลุกโชนอยู่ข้างในยังไม่มอดหายไป
พนาวันเดินถือบะหมี่มาวางลงตรงหน้าหมีพูล “ค่อยๆกินน่ะ น้ำซุปมันร้อน”
หมีพูลพยักหน้าแล้วกินทีละคำ จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองอาคิระ “พ่อ กินด้วยไหม? มากินด้วยกันได้นะ”
หัวใจที่กำลังปะทุไปด้วยไฟโกรธพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนยวบลงในทันตา อาคิระส่ายหน้าเบาๆแล้วพูดว่า “แกกินเถอะ”
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมเขาต้องเลี้ยงดูลูก
แค่คำพูดไม่กี่คำที่แสดงถึงความใจกว้างของลูก ก็เพียงพอทำให้หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่เบ่งบานแล้ว
หมีพูลพยักหน้าแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ
บะหมี่ร้านนี้อร่อยมาก เมื่อก่อนเขากลับแม่ไปเคยกินด้วยกันบ่อยๆ
หลังจากกินจนอิ่ม หมีพูลก็ดูทีวีอยู่สักพัก จากนั้นก็ผล็อยหลับอยู่บนเตียงในที่สุด
พนาวันเก็บกวาดและล้างทำความสะอาดจานชาม
แต่ว่า อาคิระก็ยังไม่ไปไหน เอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาอยู่แบบนั้นด้วยสีหน้าอึมครึม ดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
ที่นี่เป็นห้องของเธอ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่เธอต้องหลบหน้า คนที่ควรออกไปต้องเป็นเขาต่างหาก
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”
อาคิระเอนหลังพิงโซฟา แสดงออกชัดเจนว่าจะไม่ยอมไปไหนง่ายๆ พร้อมหันเหสายตาดุจเปลวไฟจ้องเขม็งมาที่เธอ
“เกี่ยวอะไรกับคุณ?” ท่าทางของพนาวันนิ่งมาก น้ำเสียงก็ไร้ซึ่งแววเกรงใจใดๆ
ได้ยินแบบนั้น อาคิระก็แสยะยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “เมื่อก่อนทำไมไม่เห็นรู้เลยว่าคุณจะโปรยเสน่ห์เก่งขนาดนี้? คิดไม่ถึงเลยว่าดึกดื่นค่อนคืนคุณจะยังกล้าพาพ่อผู้ชายกลับมาด้วย”
“นั่นมันอิสระของฉัน และฉันก็เต็มใจให้เขามาด้วย! ตอนนี้คุณกับฉันไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว จำเป็นต้องมาใส่ใจด้วยเหรอ?”
“ตอนที่ฉันยังเป็นภรรยาของคุณก็ไม่เห็นคุณจะสนใจชีวิตส่วนตัวของฉันเท่าไหร่เลยนี่ ตอนนี้เราหย่ากันแล้ว คุณมาพูดกับฉันแบบนี้ในฐานะอะไรไม่ทราบ?”
พนาวันเองก็จ้องเขาเขม็งเหมือนกัน พูดประชดประชันว่า “หรือว่าคุณกำลังหึง?”
หึง?
อาคิระยิ้มเยาะออกมา เอ่ยถามเสียงขึ้นจมูกว่า “ผมหึงงั้นเหรอ เหอะๆ คุณคิดว่ามีความเป็นไปได้ไหม?”
“ไม่”
พนาวันตอบกลับอย่างว่องไว พร้อมกันนั้นก็พูดประชดประชันกลับไปอย่างเห็นได้ชัดว่า “จนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่ลืมท่าทางของคุณที่อยากจะฆ่าฉันให้ตายในตอนแรกหรอกนะคะ ในเมื่อเกลียดฉันขนาดนี้ คุณจะมาหึงฉันได้ยังไงว่าไหม?”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว หมีพูลก็หลับไปตั้งนานแล้วด้วย คุณยังไม่กลับอีกเหรอ?” เธอเอ่ยถามต่อ
เมื่อได้ยินคำพูดเชิงไล่กันกลายๆของเธอ อาคิระก็เปลี่ยนสีหน้า
เธอลุกขึ้นยืน แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “คุณคิดว่าใครเขาอยากอยู่ที่นี่กัน?”
จากนั้น เขาก็ก้าวยาวๆเกินออกไปจากห้องท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด
พวันนารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเยือกเย็นดุดันจากตัวเขาได้อย่างชัดเจน แต่เธอไม่สนใจ
ต่อให้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ขอแค่ได้ใช้เวลาอยู่กับหมีพูล เธอก็ยอมทั้งนั้น
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์อนันต์ธชัย ก็พบว่าลุงสินยังรออยู่ที่นั่น
“คุณชาย” เขาเอ่ยเรียก ทว่าสายตากลับเขาแต่มองเลยไปยังด้านหลังอีกฝ่าย
การกระทำนี้ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของอาคิระได้ เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “มองอะไร?”
“คุณชายน้อยไม่ได้กลับมาด้วยเหรอครับ?”
อาคิระตอบอืม แล้วเอ่ยพูดว่า “ให้ไปอยู่กับพนาวัน”
ลุงสินขมวดคิ้ว “คืนนี้คุณชายยังมีงานเลี้ยงที่ไหนอีกเหรอครับ?”
ปกติให้ตายยังไงอาคิระก็จะไม่ยอมให้แม่ลูกเจอหน้ากันเด็ดขาด แต่คราวนี้กลับเป็นคนไปส่งลูกเองกับมือ
เขารู้สึกว่ามันแปลกๆยังไงไม่รู้
คุณชายไม่รู้สึกว่ากำลังตบหน้าตัวเองอยู่เหรอ?
“ไม่มี…..”
เขาจิบกาแฟ
คราวนี้ ลุงสินยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
“อ้อ ช่วงนี้ไม่ต้องไปรับหมีพูลนะ โทรหาพนาวันให้เธอไปรับเอง” อาคิระเอ่ยขึ้น
ลุงสินนิ่งอึ้ง “ห๊ะ?”
“ห๊ะอะไร มีปัญหาเหรอ?”
ลุงสินสะดุ้งรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่ใช่ว่ามีปัญหาหรอกครับ ผมแค่กลัวว่าคุณพนาวันจะไม่ยอมไป”
ได้ยินแบบนั้น อาคิระก็เหยียดยิ้มออกมา พูดเสียดสีว่า “มีเวลาไปนัดเจอกับผู้ชายคนอื่น แต่ไม่ยอมไปรับลูกตัวเองเนี่ยนะ?”
เขาจงใจทิ้งหมีพูลไว้ที่นั่น
ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะเป็นผู้จัดการของบริษัท
ดูรวยนิดๆ ถึงหน้าตาจะไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่เทียบกับเขาแล้ว ยังห่างไกลกันหลายหมื่นลี้
ถึงอย่างไร คะแนนความนิยมในแต่ละปีของเฮทเค มักจะเป็นฉันทัชได้ที่หนึ่ง ส่วนเขาได้ที่สองเป็นรองแค่ฉันทัช
ผู้ชายแบบนี้ เบื้องหลังต้องมีผู้หญิงเยอะแน่ๆ
ถ้ารู้ว่าพนาวันเคยแต่งงาน แถมยังมีลูก จะยังตามจีบเธอต่อหรือเปล่านะ?
ส่วนหมีพูล ถึงปากจะบอกว่าดีใจ แต่เขาเชื่อ ว่าถ้าลูกเห็นผู้ชายคนอื่นเข้าใกล้แม่ตัวเอง ต้องแอบก่อเรื่องอะไรลับหลังแน่ๆ!
วันต่อมา
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ พนาวันก็จัดกระเป๋าให้หมีพูล
เพราะกลัวว่าจะสาย เธอจึงตั้งนาฬิกาปลุกไว้เฉพาะ ตั้งใจว่าหลังจากไปส่งลูกที่โรงเรียนเสร็จก็จะตรงไปที่บริษัทเลย
เมื่อเธอเดินนำหมีพูลลงมาข้างล่าง ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามนตรีในชุดสูทกำลังยืนพิงรถรออยู่ตรงนั้น อีกฝ่ายยกยิ้มอวดฟันซี่ขาว พร้อมเอ่ยพูดว่า “อรุณสวัสดิ์”
พนาวันทั้งประหลาดใจและตกใจ “คุณมาทำอะไรที่นี่?”