“ผมผ่านมาทางนี้พอดี เลยแวะรับคุณไปทำงานด้วย”
มนตรียิ้มออกมาบางเบา จากนั้นก็หันไปเอ่ยทักทายกับหมีพูล
หมีพูลเองก็ทักทายตอบอย่างมีมารยาท”สวัสดีครับคุณลุง”
พนาวันชี้มาที่ลูกแล้วเอ่ยพูดว่า “ขอโทษนะ ฉันต้องไปส่งหมีพูลที่โรงเรียนก่อน ถึงค่อยไปบริษัท ฉันว่าคุณไปก่อนเถอะค่ะ”
มนตรีขยี้หัวของหมีพูลอย่างเอ็นดู มองนาฬิกา แล้วพูดว่า “ยังไม่สายเท่าไหร่ งั้นเราไปส่งหมีพูลีที่โรงเรียนก่อนค่อยไปทำงานก็ได้ เวลายังเหลืออีกเยอะเลย”
พนาวันรู้สึกเกรงใจ แต่มนตรีก็เอาแต่ตื๊อไม่หยุด
ทั้งยื้อยุดกันอยู่อย่างนั้น
เวลาก็ค่อยๆเดินผ่านไป และเริ่มสายขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้าย เธอจึงยอมโอนอ่อน
ทั้งสามเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถ
เมื่อปิดประตูรถก็ออกตัว
ในตอนนี้เอง เบนท์ลีย์คันสีดำก็ขับเข้ามา
อาคิระมาช้าไปนิดเดียว จึงทันเห็นสองแม่ลูกขึ้นรถของผู้ชายคนเมื่อคืนไปพอดี
ชั่วพริบตา สีหน้าของเขาก็ขมุกขมัวจนแทบจะดูไม่ได้!
อาคิระสตาร์ทรถแล้วเหยียบคันเร่ง เตรียมออกตัวตามรถคันนั้นไป
แต่ว่าในตอนนี้เองเสียงก็โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เป็นสายที่โทรมาจากเลขา
โทรมาแจ้งว่าตอนนี้ที่บริษัทมีเอกสารสัญญาสำคัญให้เขากลับไปเซ็น อีกอย่างการประชุมออนไลน์ก็กำลังจะเริ่มขึ้น
อาคิระจำต้องหยุดรถ เขาอารมณ์เสียถึงขั้นสุด
เขาทุบหมัดลงบนพวงมาลัยรถ จากนั้นก็สตาร์ทรถ ขับกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม
แม่งเอ้ย!
ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นได้โอกาสอีกแล้ว!
ตอนแรกนึกว่าหมีพูลจะขัดขวางซะอีก ที่ไหนได้ เขากลับช่วยศัตรูซะงั้น!
วันนี้เป็นวันปิดจบเล่ม พนาวันส่งต้นฉบับครบหมด จนเพื่อนร่วมงานต่างทยอยยกนิ้วให้เธอ
เธอยิ้มออกมาอย่างเขินๆ
เพราะอันที่จริง มันก็เป็นหนึ่งในงานของเธอนี่นา
ไม่นาน เวลาเลิกงานก็มาถึง ขณะที่เธอยืนรอรถแท็กซี่อยู่ข้างทาง ในตอนนี้เองรถของมนตรีก็มาจอดลงตรงหน้า “ไม่ทราบว่าผมพอจะมีเกียรติได้ไปรับหมีพูลกับคุณไหมนะ?”
พนาวันปฏิเสธทันควัน รู้สึกว่าแบบนี้มันเป็นการยุ่งยากคนอื่นเกินไป
“ที่คอนโดก็มีผมอยู่คนเดียว กลับไปก็อยู่คนเดียวเหงาๆ ถึงปากจะบอกว่าอาสาพาคุณไปรับหมีพูล แต่จริงๆแล้วผมแค่อยากหาอะไรทำแก้เหงาต่างหาก”
ขณะที่กำลังพูด มนตรีก็ลงมาจากรถ
พร้อมกันนั้นก็เปิดประตูรถออก ผายมือพร้อมโค้งตัวลง ทำท่าเชื้อเชิญ
ในเมื่ออีกฝ่ายทำถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าหากพนาวันยังปฏิเสธอยู่อีกก็คงเป็นการหักหน้า
พนาวันจึงทำได้เพียงขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นทั้งสองก็ตรงไปรับหมีพูลที่โรงเรียน
หมีพูลงอแงจะกินหม้อไฟ ซึ่งร้านข้างทางไม่สะอาดเท่าที่ควร
ดังนั้นพนาวันจึงไปซื้อวัตถุดิบที่ซูเปอร์มาเก็ต ตั้งใจว่าจะกลับไปทำกินเองที่บ้าน
แน่นอนว่าเธอเอ่ยชวนมนตรีด้วย และเขาก็ตอบรับคำชวน
เมื่อมาถึงบ้าน พนาวันก็เริ่มสาละวนอยู่ในครัว
มนตรีเดินเข้ามาตั้งใจว่าจะช่วย
เธอจึงส่ายหน้า “จะให้แขกมาช่วยได้ยังไงกัน?”
มนตรียักไหล่ “อย่างอื่นผมไม่ช่วยหรอก แต่พอจะเด็ดผักกับล้างผักได้นะ”
เดิมทีหมีพูลดูทีวีอยู่ เมื่อเห็นทั้งสองกำลังยุ่งอยู่ในครัว เขาก็ปิดทีวีแล้วเดินเข้าไปช่วยอย่างเป็นเด็กดี
อีกด้านหนึ่ง หลังจากเลิกงานอาคิระก็ขับรถตรงไปหาสองแม่ลูกทันที
เมื่อมาจอดรถใต้ตึก ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถคันนั้นอีกครั้ง
คิ้วของเขาขมวดแน่น ออกก้าวเดินขึ้นไปบนตึก
ประตูห้องปิดอยู่ก็จริงแต่ไม่ได้ล็อก เพียงยื่นมือออกไปก็เปิดได้แล้ว
ทันใดนั้นภาพบรรยากาศอบอุ่นตรงหน้าก็แล่นสู่สายตา พนาวันกำลังล้างผักด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ
ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ข้างๆ คอยหยิบผักผลไม้ให้เธอเป็นระยะๆ
ส่วนหมีพูลนั่งย่อตัวอยู่บนพื้น จากนั้นก็เด้งตัวขึ้นมาจ๊ะเอ๋ผู้ชายคนนั้น
มนตรีโน้มตัวลงไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมกอด
ไม่ว่าใครได้มาเห็นภาพตรงหน้า ต่างก็ต้องคิดว่าทุกคนดูสนิทสนมเหมือนเป็นคนในครอบครัวกันทั้งนั้น
อาคิระเริ่มเดือดในอกปุดๆ ไฟลุกลามไปทั่วหัวใจ แทบจะเผามันให้มอดไหม้!
เธอนี่เก่งขึ้นทุกวันเลยนะ!
กล้าพาลูกของเขา ทำตัวสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นถึงในห้องเลยเหรอ
เขาไม่สามารถระงับเปลวเพลิงที่กำลังลุกโหมได้ อารมณ์กรุ่นโกรธที่มีมาตั้งแต่เช้าพลันถูกปลดปล่อยออกไปในเวลานี้ “ใครอนุญาตให้คุณไปรับหมีพูลตามอำเภอใจ?”
ได้ยินดังนั้น แผ่นหลังของพนาวันก็แข็งทื่อ จากนั้นจึงหันหลังมา “คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะไปดูงานสองวัน เลยจะฝากลูกไว้กับฉันที่นี่?”
“คำพูดคำจาดูมีเหตุผลให้เถียงจังเลยนะ ไม่มีรู้สึกผิดสักนิด ที่ผมบอกเมื่อวานหมายถึงฝากไว้ที่นี่ ให้คุณไปส่งที่โรงเรียนตอนเช้า ผมพูดตอนไหนว่าให้ไปรับตอนเย็นด้วย?”
“ไปรับส่งลูกเองตามอำเภอใจนี่ไม่คิดจะโทรบอกผมหน่อยเหรอ? ผมรีบขับรถจากบริษัทไปถึงโรงเรียน แล้วก็ขับจากโรงเรียนมาถึงนี่ เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหมีพูล แต่คุณกลับเตรียมอาหารเย็นสบายใจเฉิบเนี่ยนะ เหอะๆ……”
อาคิระเริ่มไร้เหตุผล ระบายอารมณ์ไปทั่ว
ดูก็รู้ว่าเขาจงใจหาเรื่อง
พนาวันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ “แม้ว่าเรื่องนี้ฉันจะทำไม่ถูก แต่คุณเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ใครใช้ให้คุณไม่พูดให้มันเคลียร์ๆล่ะ ฉันจะไปรู้ได้ยังไง?”
ทั้งๆที่เมื่อวานบอกว่าจะให้อยู่ที่นี่สองสามวันแท้ๆ แถมยังไม่บอกเวลาที่แน่ชัดด้วย แล้วใครมันจะไปรู้?
อาคิระไม่สนใจเธอ
ตวัดสายตามองมาที่มนตรี จากนั้นก็เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำลงเรื่อยๆ “ผมอุตส่าห์ยอมถอยให้หนึ่งก้าว ถึงขั้นยอมให้หมีพูลนอนค้างที่นี่ ไม่คิดเลยว่าทำแบบนี้แล้วคุณจะยิ่งได้ใจ ผมไม่น่าใจดีเลยจริงๆ ไปหมีพูล กลับ!”
ครั้งนี้ เธอเป็นคนผิดจริงๆ
พนาวันเอ่ยพูดว่า “ขอโทษ ฉันผิดเอง ฉันควรโทรแจ้งลุงสินก่อนล่วงหน้า”
มนตรีเองก็เอ่ยพูดว่า “ใจเย็นกันหน่อยครับ พวกคุณคุยกันดีๆก่อน เดี๋ยวผมพาหมีพูลออกไปข้างนอกให้”
ด้วยเหตุนี้ ภายในห้องจึงเหลือกันอยู่แค่สองคน
“เรื่องวันนี้ฉันผิดจริงๆ ฉันไม่คิดให้รอบคอบ ขอโทษนะ”
“จะทำบัดสีบัดเถลิงทั้งที ยังจะใช้ลูกผมเป็นเครื่องมือล่ออีกเหรอ เหอะๆ นี่กำลังจะทำข้าวเย็นสินะ?”
อาคิระยืนอยู่หน้าตู้กับข้าว นิ้วมือเรียวยาวหยิบจับผักพวกนั้นขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ
ตั้งแต่ที่มนตรีออกไป อารมณ์ของเขาก็ค่อยๆดีขึ้นมาบ้าง ไม่ได้ดีเดือดเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว
ความอดทนของพนาวันเองก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน “เขาเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน คุณอย่ามาลดทอนความสัมพันธ์ของฉันกับเขาให้ต่ำลงนะ”
“เพื่อนร่วมงาน?”
อาคิระจ้องมาที่เธอเขม็ง โพรงจมูกแทบจะพ่นไอเย็นๆออกมา เขาบีบคางของเธอแล้วโพร่งออกไปว่า “คุณคิดว่าผมเชื่อคำพูดหลอกเด็กพวกนี้เหรอ?”
“ปกติเพื่อนร่วมงานมารับมาส่งคุณถึงบ้านหลายต่อหลายครั้งแบบนี้เหรอ? คุณโกหกผม หรือกำลังหลอกเด็กอยู่หรือไง!”
เธอสะบัดหน้าออก “งั้นได้ อยากคิดว่าฉันโกหกคุณก็เชิญ ทีนี้พอใจหรือยัง? ที่เรากำลังพูดกันอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องของหมีพูล ไม่เกี่ยวกับเขา!”
“ยังไม่ทันไรเลย คุณก็ปกป้องเขาซะแล้วเหรอ?”
อาคิระเริ่มงี่เง่าขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันกำลังคุยกับคุณเรื่องหมีพูลอยู่นะ!”
พนาวันก้าวถอยหลังสองก้าว เพื่อเว้นระยะห่าง
“แต่ผมจะคุยกับเรื่องผู้ชายคนนั้น ทำไม ตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากนี้จะคบกับเขาล่ะสิ?”
เมื่อนึกภาพที่ผู้ชายคนนั้นมาอยู่ที่นี่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ไฟโกรธของอาคิระก็ยิ่งลุกโชรจนไม่อาจระงับเอาไว้ได้
ในที่สุดพนาวันก็ระเบิดออกมา “คุณหยุดพูดงี่เง่าสักทีจะได้ไหม? ตอนนี้ฉันกำลังคุยกับคุณเรื่องหมีพูลไม่ใช่เรื่องตรี ฉันกับเขาบริสุทธิ์ใจต่อกัน หรือต่อให้มันมีอะไรก็เป็นเรื่องของพวกฉันสองคน คุณไม่มีสิทธิ์มาซักถามหรือสงสัยอะไรทั้งนั้น”