บทที่ 595 หรือว่ามีปัญหา

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ตรี?

นี่ถึงขนาดเรียกชื่อกันอย่างสนิทสนมแล้วเหรอ!

เปลวเพลิงในหัวใจของอาคิระลุกโชน เหมือนลาวาที่กำลังจะปะทุออกมาจากภูเขาไฟ

คำพูดนี้กระตุกต่อมโมโหของชายหนุ่มได้สำเร็จ

กับผู้ชายคนนั้น เธอเรียกว่าตรีอย่างสนิทสนม แต่พอเห็นหน้าเขาก็ตีหน้านิ่งเฉยชาใส่

เหอะๆ ยังมีหน้ามาบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์อีกนะ ไม่มีสิทธิ์กับผีน่ะสิ!

“ปกติก็ไม่มีเวลาอยู่แล้ว ในเมื่อวันนี้จะพูดทั้งที เราก็มาพูดเรื่องสิทธิ์ในการเข้าออกที่นี่ของคุณกันเถอะ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน ตอนนี้มาพูดเรื่องนี้ให้เคลียร์ วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันโดยไม่จำเป็นอีก……”

พนาวันตัดสินใจได้แล้วว่า จะเคลียร์ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองให้มันชัดเจน

เธอมีสีหน้าจริงจังและเคร่งขรึม เอ่ยพูดออกมาทีละคำชัดๆ

เพียงแต่ว่าในสายตาของอาคิระกลับไม่ได้เห็นว่ามันต้องจริงจังขนาดนั้น

ไฟโกรธของเขากำลังลุกโชน

จนมาถึงตอนนี้ เธอก็ยังไม่มีคำพูดดีๆมาอธิบายหรือขอโทษ มิหนำซ้ำปากแข็งๆนั่นยังสาดพ่นคำพูดบาดหูเขาออกมาอย่างกับเป็นของแหลมคม ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งโกรธ ยิ่งฟังยิ่งหงุดหงิด!

คิดจะพาผู้ชายเข้ามาในห้องยังไงก็ได้ ไม่แสดงออกว่าไม่เต็มใจเลยสักนิด แถมยังยิ้มแป้นต้อนรับอย่างกระตือรือร้น ทั้งยกชาเสิร์ฟ ทั้งทำข้าวเย็นให้กิน!

ทีกับเขาล่ะ?

น้ำเย็นๆสักแก้วก็ยังไม่มีมาให้!

ยิ่งข้าวเย็นยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง ทำไมมันถึงต่างกันมากขนาดนี้ล่ะ!

อาคิระใกล้จะระเบิดอารมณ์ออกมาเต็มที

แค่คิดก็ในใจก็พุ่งพวยไปด้วยอารมณ์วู่วามอยากต่อยหน้าผู้ชายคนนั้นให้ฟันหลุด

กระนั้นเธอก็ยังไม่คิดที่จะหยุด ยังมาพูดถ้อยคำชวนหงุดหงิดไม่น่าฟังพวกนั้นต่อหน้าเขา

สายตานิ่งลึก จ้องมองริมฝีปากสีแดงแต่แหลมคมเหมือนมีดของเธอที่กำลังหุบๆอ้าๆ จากนั้นเขาก็ก้มลงไปปิดปากของเธอเอาไว้

หลังจากทำอย่างนี้ ชั่ววินาทีนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนไฟโกรธที่สุมอยู่ในอกค่อยๆดับลง สัมผัสนุ่มนิ่มทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาบ้าง

คราวนี้ เปลี่ยนเป็นพนาวันเป็นฝ่ายโกรธแทน

เธอดิ้นขัดขืน ใช้ทั้งมือทั้งเท้า ออกแรงต่อยถีบรัวๆจนแทบจะใช้แรงหมดทั้งร่างกาย

อาคิระจึงออกแรงจับข้อมือของเธอเอาไว้ พร้อมกับกดเธอเอาไว้กับกำแพง ก้มหน้าจูบต่ออย่างเอาแต่ใจ ฉวยโอกาสนี้ระบายความโกรธพวกนั้นออกมาด้วย

พนาวันตาแดงเถือก ทั้งมือทั้งเท้าออกแรงไม่ได้เลย

เธอกัดริมฝีปากของเขาอย่างหนักหน่วง

เพราะกัดแรงมากเกินไป เลือดจึงสาดกระจายออกมาในทันที “คุณปล่อยฉัน! ปล่อย! บอกให้ปล่อยไง!”

ความรู้สึกเจ็บแปล็บบนริมฝีปากทำให้ชายหนุ่มต้องหรี่ตาลง อาคิระเลียริมฝีปากที่อาบไปด้วยเลือดออก

จากนั้นก็ก้มลงไปประกบจูบเธออีกครั้ง

มีแค่แบบนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้อารมณ์ที่กำลังจะปะทุออกมาดีขึ้น และคลายความงุ่นง่านที่มีอยู่ในตอนนี้ได้……..

แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไร

รู้แค่ว่าต้องทำอย่างนี้เท่านั้นเขาถึงจะผ่อนคลาย…..

พนาวันดิ้นขัดขืน กัดริมฝีปากบางของเขาอีกครั้ง จนกลิ่นเลือดคาวๆคละคลุ้งไปทั่วซอกฟันของคนทั้งสอง

รสชาตินี้ มันทำให้พนาวันยิ่งดิ้นหนักมากกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็ทำให้นัยน์ตาดำขลับของอาคิระเริ่มมีประกายไฟวูบไหว ราวกับว่าเตรียมพร้อมจะแผดเผาทุกอย่างให้เป็นจุล

ริมฝีปากของอาคิระค่อยๆผ่อนแรงลงเป็นนุ่มนวล

พนาวันเองก็หยุดดิ้น ทว่าหัวคิ้วกลับขมวดมุ่น

เธอกลอกตาไปมา ราวกับกำลังคิดคำนวนอะไรอยู่

ต่อมา เธอก็อาศัยจังหวะที่อาคิระผ่อนแรงลง ยกเข่าแทงสวนกล่องดวงใจที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเขาอย่างหนัก

“อึก!”

อาคิระไม่ทันตั้งตัว เจ็บจนแทบกรีดร้องออกมา

ริมฝีปากที่ก่อนหน้านี้ยังบดจูบพนาวันอยู่ ในตอนนี้กลับสูดลมหายใจอย่างหนัก

เขาก้มตัวหนีบขา เจ็บจนแทบทนไม่ไหว

พนาวันถอยหลังสองก้าว เพื่อเว้นระยะห่างอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง เตรียมป้องกันตัวจากการกระทำของเขาที่อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ก็ได้

ในตอนที่ทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากันอยู่นั้น มนตรีก็อุ้มหมีพูลเดินเข้ามา “วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น หมีพูลเอาแต่บอกว่าหนาวผมก็เลยพากลับมา ผมคงไม่ได้รบกวนการคุยกันของพวกคุณหรอกใช่ไหมครับ?”

ได้ยินแบบนั้น พนาวันก็รีบส่ายหน้า

เธอยื่นมือออกไปรับหมีพูล แล้วแตะหน้าของเขาเบาๆ

อุณหภูมิไม่ได้ต่ำเท่าไหร่ ยังดีอยู่

“แม่ครับผมหิว อยากกินหม้อไฟแล้ว” พูดได้เลยว่าหมีพูลกินเก่งมากๆ ตอนนี้ยังนึกถึงแต่ของกินเลย

เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าลูกยังไม่ได้กินอะไรตลอดทั้งเย็น พนาวันก็วางหมีพูลลงกับพื้น บอกให้เขาไปดูทีวีหรือทำการบ้าน ส่วนเธอจะไปทำหม้อไฟให้

มนตรีเดินตามไปยืนล้างผักและคอยส่งของอยู่ข้างเธอเหมือนเดิม

อาคิระนั่งลงบนเตียง

เนื่องจากเจ็บบริเวณหว่างขามาก จึงต้องนั่งไขว่ห้างเอาไว้ ขยับขาขัดถูเบาๆเพื่อบรรเทาความเจ็บ

เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกัน เขาก็เงยหน้าขึ้นมา ทอดสายตามองแผ่นหลังของทั้งสองคนนั้น

ชั่วขณะนั้น ไฟโทสะที่เพิ่งสงบลงก็ตีรวนขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้พกพาความเยือกเย็นและแววไม่เป็นมิตรมาด้วย

“ปกติทำงานบ้านเหรอ? ดูคล่องมือจัง”

พนาวันเห็นมนตรีหยิบจับอย่างคล่องแคล่ว จึงเอ่ยพูดขึ้นมา

แม้ว่าจะยืนหันหลัง แต่เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่ทอดมองมาของใครอีกคน

เหมือนดาบพิฆาต ที่กะจะทิ่มแทงกันให้ตายไปข้าง แถมยังพกพาความกดดันมาด้วย

มนตรียิ้มออกมาบางๆ “ผมอยู่คนเดียว เลยต้องหัดทำอะไรพวกนี้น่ะ เป็นไง ผมทำได้ดีเลยใช่ไหมล่ะ?”

“ดีมากเลยค่ะ เก่งมาก!”เธอเอ่ยชมอย่างไม่อ้อมแอ้ม

จากนั้นมนตรีก็เล่าเรื่องสนุกๆเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กให้ฟังอย่างตลกขบขัน

พนาวันหัวเราะออกมาเบาๆ

ทั้งสองหัวเราะคิกคัก บรรยากาศดูเป็นกันเอง

อาคิระที่อยู่ข้างหลังหน้าบูดบึ้งขึ้นเรื่อยๆ ตอนดื่มน้ำก็เกือบจะกำแก้วแตกคามือ

แม้แต่ตอนวางแก้วลงบนโต๊ะก็วางอย่างไม่ออมแรง จนเกิดเสียงเติ้งต้าง เหมือนกลัวไม่มีใครรรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้

หมีพูลกำลังทำการบ้าน พอได้ยินเสียงดังก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างมึนงง

พ่อเป็นอะไรไป?

ผ่านไปพักใหญ่ หม้อไฟก็เสร็จ

พนาวันจึงวุ่นอยู่กับการจัดโต๊ะ

มนตรีเดินเข้ามา เอ่ยพูดกับอาคิระว่า “คุณอาคิระเองก็มาทานด้วยกันสิครับ”

อาคิระไม่ชอบใจกับคำพูดอะไรแบบนี้เป็นที่สุด

เหอะๆ รู้สึกจะทำตัวเป็นเจ้าของบ้านเหลือเกินนะ คิดว่าตัวเองใช่เหรอ?

เพิ่งเคยมาแค่สองสามครั้ง ก็กล้าเดินเข้าเดินออกทำตัวเป็นเจ้าของบ้านซะแล้ว!

เขาจะกินหรือไม่กิน จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายชวนด้วยเหรอ?

เห็นเขาเป็นคนนอกหรือไง?

อาคิระเดินมานั่งลงบนโต๊ะกับหมีพูล

ส่วนพนาวันกับมนตรีนั่งอยู่ข้างกัน

วันนี้เหมือนเป็นวันซวยของมนตรี เพราะไม่ว่ามนตรีจะคีบกินอะไร อาคิระก็ใช้ตะเคียบคีบแซงหน้าเขาตลอด

กระนั้นมนตรีก็ไม่ได้อารมณ์เสียอะไร เพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ ไม่รู้สึกหงุดหงิดเลยสักนิด

กลับเป็นอาคิระ ที่ไม่ใช่แค่ไม่รู้จักเก็บอาการ แต่ยังไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ มัวแต่จงใจขัดขวางไม่ให้มนตรีกิน

เขาห่างไกลจากคำว่าผู้ใหญ่และสง่าก็คราวนี้ ดูยังไงก็แค่เด็กไม่รู้จักโต!

จนในที่สุด พนาวันก็ไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป

เธอตีหน้าขรึมเอ่ยพูดเสียงเย็นว่า “คุณกำลังทำอะไร?”

อาคิระเชิดกราม สายตาทอดมองมาที่เธอด้วยสีหน้าที่ข่มขู่ กระนั้นก็ยังแกล้งพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “กำลังกินข้าวไง ทำไม มีปัญหาเหรอ?”

เมื่อเขาย้อนถามมาอย่างนี้ พนาวันก็รู้สึกตันไปหมด ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร