ตอนที่ 278 เหยียดหยาม
“ฮัลโหล ประธานฮุ่ยหรือเปล่า? ผมคือเสี่ยวจิ่งที่เคยช่วยคุณ ใช่เลย ผมเซียวจิ่งสือไง พักนี้ผม…” เซียวจิ่งสือโทรหาคนที่เคยมาขอความช่วยเหลือจากเขา แต่เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดสายไป เมื่อก่อนเขายิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไหนเลยจะต้องมาเจอกับเรื่องลูบหน้าปะจมูกแบบนี้กัน
“คุณทนรับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกันนะ?” หลินหว่านมองเขาอย่างสงสาร เธอห้ามไปหลายครั้งแล้วเขาก็ไม่ฟัง ยังดื้อจะโทรต่อไปอีก “เราไม่โทรแล้วนะคะ? คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นพวกหญ้าข้างกำแพง [1] ไม่ต้องโทรแล้วค่ะ”
เขาส่ายหน้าอย่างท้อแท้แล้วเริ่มโทรอีกสายหนึ่ง เดิมทีคิดว่าจะยอมแพ้แล้ว แต่เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าตัวเองน่าจะพยายามกว่านี้อีก ไม่แน่ว่าจะมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นก็ได้ คนเราไม่ได้ชั่วร้ายไปทั้งหมด ที่ดีงามก็มี
แต่เขาไม่รู้เลยว่า เมื่อครู่ ‘ประธานฮุ่ย’ นั่นหลังจากรับสายเขาแล้ว ก็รีบหาเหตุมาอ้างเหมือนกับหนีตัวเชื้อโรค กลัวว่าความซวยจากเซียวจิ่งสือจะลามมาถึงตัวเองอย่างนั้น ถ้าเป็นได้เขาก็ไม่อยากเจอกับเซียวจิ่งสืออีก ดังนั้นจึงรีบบล็อกเบอร์โทรและสื่ออื่นๆ ของเซียวจิ่งสือจากรายชื่อติดต่อของเขาทันที
เซียวจิ่งสือโทรเบอร์อื่นอีก เมื่อก่อนเขาไม่เคยต้องออกปากขอร้องคนอื่นแบบนี้ มีแต่คนอื่นที่มาประจบเอาใจเขา แม้จะไม่ชอบให้ใครมาประจบเอาใจ แต่เขาก็ยังปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยดี
“ฮัลโหล? สวัสดีครับ ผมเซียวจิ่งสือ ผมอยากให้คุณช่วยผมสักหน่อยครับ” เซียวจิ่งสือยิ้มอย่างเกรงใจให้กับโทรศัพท์ อันที่จริงไม่ใช่เกรงใจหรอกแต่เป็นขายหน้า เพราะปลายสายอีกด้านด่ากราดมาอย่างไม่ไว้หน้าบอกว่า
“อย่ามาหาผม คุณมันตัวซวย เมื่อก่อนยิ่งใหญ่นักไม่ใช่หรือไง? ทำไมตอนนี้มาขอร้องผมล่ะ? ตอนนี้คุณก็เหมือนสุนัขตัวหนึ่งรู้ไหม? มีที่ไหนให้ผลประโยชน์ก็กระดิกหางไปที่นั่น ความหยิ่งทระนงตัวเมื่อก่อนของคุณไปไหน? ทำไมไม่ถือดีแล้วล่ะ? คุณตีพวกผมด่าพวกผมเลย! แน่จริงก็อย่าไปขอร้องคนอื่นสิ ตอนนี้คุณมันก็ขอทานดีๆ นี่เอง! อยากให้คนอื่นทำทานให้คุณงั้นสิ? ผมอยากเอาเงินฟาดหัวคุณนัก ขอแค่คุณยอมคุกเข่า ผมจะช่วยคุณ”
เซียวจิ่งสือสีหน้าไม่ดีเอามากๆ เขากำหมัดแน่น ไม่ยอมวางสาย ถึงแม้เขาอยากจะด่ากลับไป แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรเลย บริษัทก็ตกอยู่ในภาวะวิกฤต ถ้าหากตอนนี้เขาด่ากลับไปเพื่อรักษาหน้า เขาอาจทำให้คนอื่นๆ ปฏิเสธเขาก็ได้ อีกทั้งคนคนนี้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยและยังพูดจาโน้มน้าวเก่งอีกด้วย ถึงตอนนั้นถ้าเขาพูดกลับดำเป็นขาว บอกว่าเขานั่นไม่ดีนี่ก็ไม่ดี ใครจะยอมช่วยเขาอีกเล่า
“ไม่ใช่อย่างนั้น…” เซียวจิ่งสือตอบกลับอย่างหมดแรงไปคำหนึ่ง เขาไม่เคยด่าว่าทำร้ายพวกเขามาก่อนเลย แค่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับใครอื่นเท่านั้น เนื่องจากตั้งแต่แรกที่พวกเขามาประจบเอาใจก็เพราะเห็นแก่เงินและความมีหน้ามีตาของเขา จึงเข้ามาคอยเอาใจ แต่ตอนนี้พอเขาตกต่ำลง พวกเขากลับไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเขาสักคน พูดกันตามจริงก็คือพวกเห็นแก่ประโยชน์
คนที่อยู่ปลายสายอีกด้านดูเหมือนจะหัวเราะ “ฮ่าๆ” แต่เขายังข่มกลั้นเอาไว้ เพื่อให้เซียวจิ่งสือได้ฟังที่เขาเสียดสี “คิดไม่ถึงว่าคุณก็มีวันนี้ ไม่ใช่อย่างนี้แล้วเป็นอย่างไหน? ผมจะบอกคุณนะ ผมไม่ช่วยคุณหรอก ผมเห็นสภาพคุณตอนนี้แล้วคลื่นไส้ ตอนแรกผมมันตาบอดเอง จึงได้เห็นดีเห็นงามไปกับคนแบบคุณ”
ตาบอด? เข้าใจกันหน่อยว่าใครกันแน่ที่ตาบอด? ในใจหลินหว่านเดือดพล่านด้วยโทสะ เธอรู้ว่าเซียวจิ่งสือถูกเขาด่าจนอับอายขายหน้า ต่อให้เงินสำคัญแค่ไหนก็ไม่สู้ศักดิ์ศรีของตัวเอง เธอแย่งเอาโทรศัพท์มา พูดว่า
“ลูกผู้ชายใต้เข่ามีทองคำ [2] เขาไม่คุกเข่าหรอก วันนี้เขาลำบากคุณไม่ช่วย เมื่อไรที่เขาลุกขึ้นได้อีกครั้งคุณจะเป็นยังไง! คุณจำคำพูดนี้ไว้ให้ดี พวกเรา…หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือ จะให้คุณ…สำนึกเสียใจแน่”
น้ำเสียงของหลินหว่าน แม้จะถูกกั้นด้วยโทรศัพท์แต่ก็ทำให้คนรู้สึกหนาวเยือกจนขนลุกขนชันขึ้นมาได้ หว่างคิ้วแฝงรังสีอำมหิตที่ฆ่าคนได้ ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ เหมือนเป็นยมทูตที่ผุดมาจากนรก เป็นใครได้ยินคนอื่นดูถูกตัวเองหรือคนที่ตัวเองรัก ก็คงต้องโกรธมากเช่นกันกระมัง
เซียวจิ่งสือดูเวลา อืม ต้องไปทำงานแล้ว ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม งานยังต้องไปทำอยู่ดี เขาจัดเก็บข้าวของแล้วรีบตรงไปกองถ่าย หลินหว่านไม่วางใจ จึงตามไปด้วย
ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี เอาแต่คอยตำหนิตัวเอง ถ้าเกิดเขาปรอทแตกทำอะไรขึ้นมา ถ้าฉันไม่อยู่ข้างกายเขา ฉันก็ไม่วางใจ อย่างน้อยฉันก็ยังสามารถคอยอยู่เป็นเพื่อนเขายามโดดเดี่ยวไม่มีใคร ให้เขาได้รับรู้ถึงความอบอุ่นที่มีฉันอยู่ แม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม
“ผู้กำกับ ผมมาแล้ว” เซียวจิ่งสือยืนอยู่ด้านหนึ่ง กล่าวทักทายผู้กำกับที่กำลังพูดสั่งการคนอื่นอยู่ ความหมายของคำว่า ‘ผมมาแล้ว’ ก็คือ ‘ตอนนี้ผมควรจะทำอะไร’
ผู้กำกับหันมาเห็นเซียวจิ่งสือ ก็พูดกับเขาอย่างรำคาญว่า “ไม่เห็นรึไงว่าผมกำลังพูดกับคนอื่นอยู่? คุณมาขัดผมทำอะไร เสียเวลาของผมกับนักแสดงคนอื่นนะ มาแล้วเห็นผมยุ่งอยู่ไม่รู้จักไปหางานอื่นทำรึไง”
หลินหว่านฟังแล้วเกือบจะปรี๊ดแตก เมื่อก่อนพวกคุณยังเห็นเซียวจิ่งสือเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภอยู่เลยนี่นา ทำไมทำเป็นไม่รู้จักกันซะแล้ว? ฮึ พวกเห็นแก่ได้
เซียวจิ่งสือรีบรั้งเธอเอาไว้ ถ้าตอนนี้โวยวายเอากับเขา ไม่แน่ว่าผู้กำกับจะเอาเรื่องพวกเราอีก แต่เขาคิดไม่ถึงว่า ต่อให้ไม่ล่วงเกินผู้กำกับ เขาก็ยังให้เซียวจิ่งสือทำงานที่…เกินไปอยู่ดี เพราะตอนนี้เซียวจิ่งสือตกอับไม่มีอำนาจใดๆ อีกแล้ว
ผู้กำกับหลังจากสั่งการคนอื่นเสร็จก็มาที่เบื้องหน้าเซียวจิ่งสือ พูดกับเขาว่า “คุณถอดเสื้อผ้าออกก่อน ใช่ ท่อนบนถอดออกหมด”
นี่มัน…ต้องทำแบบนี้จริงเหรอ? แต่ฉันไม่ได้มาถ่าย…มือของเซียวจิ่งสือวางอยู่บนเสื้ออย่างลำบากใจ เขาคิดว่าตัวเองยังได้ค่าแรง จึงถอดเสื้อออกแต่โดยดี
อืม รูปร่างดีทีเดียว ผู้กำกับมองดูแนวกล้ามท้องของเซียวจิ่งสือพลางแอบนึกในใจ กล้ามสวยกับสีผิวดึงดูดใจแบบนี้ สุดยอดไปเลย “กางเกงก็ถอดด้วย” ไม่รู้ว่าท่อนล่างเป็นยังไงบ้าง
คราวนี้เซียวจิ่งสืออึ้งไปเลย นี่มันถ่ายหนังอะไรต้องถอดเสื้อถอดกางเกงขนาดนี้ด้วย คงไม่ได้ให้เราถ่ายแบบโป๊เปลือยกระมัง? ต่อหน้าคนตั้งมาก? แต่เมื่อก่อนเราก็ไม่เคยได้ยินว่ามีฉากแบบนี้นี่นะ
“เร็วสิ!”
“พึ่บ” หลินหว่านเดินรี่เข้ามา เธอได้ยินผู้กำกับแกล้งเซียวจิ่งสือตั้งแต่ไกลแล้ว ยังจะถอดกางเกงอีก แกไปถอดเองสิ
เธอโยนบทละครทิ้งไว้บนโต๊ะ เข้ามาดึงมือเซียวจิ่งสือเอาไว้ ตะโกนใส่ผู้กำกับว่า “แกมันไอ้เลว คิดว่าฉันไม่รู้รึไง? ตอนเช้าทำท่าเป็นคนดี ตอนค่ำก็นอนกับดาราสาวๆ ตอนนี้คิดจะเปลี่ยนมานอนกับดาราผู้ชายแล้วรึไง?”
“ไอ้ชั่วเอ๊ย ไปกันเถอะ” หลินหว่านหลุดคำหยาบออกมา กวาดเตะโต๊ะเบิกทาง แล้วดึงตัวเซียวจิ่งสือออกไปจากกองถ่ายอย่างโกรธจัด
ตอนที่พวกเขาออกไปจากกองถ่ายนั้น อันซวี่กรุ๊ปได้ซื้อตัวผู้ถือหุ้นที่เหลือในมือของเซียวจิ่งสือไปได้ทั้งหมด
——
[1] หญ้าข้างกำแพง คำเปรียบเปรยถึง คนที่ทำตัวเหมือนต้นหญ้าที่ลู่ไปตามลม
[2] ลูกผู้ชายใต้เข่ามีทองคำ หมายถึง การคุกเข่าของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำ จึงไม่ควรคุกเข่าให้ใครง่ายๆ แสดงถึงศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชาย ไม่ยอมลดตัวลงไปทำ