ตอนที่ 1679 ลมพายุ

Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง

นี่เป็นวันที่ปกติมากวันหนึ่ง ตอนใกล้เที่ยง จางจื่ออันต้อนรับลูกค้าอยู่ในร้าน และยังต้องดูแลพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แม้แต่หลู่อี๋อวิ๋นที่ปกติรับผิดชอบแค่เคาน์เตอร์เก็บเงินก็ไม่มีเวลาวาดรูปในวันนี้ เพราะวันนี้หวางเฉียน หลี่คุน และเจียงเฟยเฟยติดธุระ มหาวิทยาลัยต้องต้อนรับน้องใหม่เลยขอให้พวกเขาไปช่วย คนในร้านจึงขาดแคลนอย่างหนัก

 

 

ถ้าบอกว่าอะไรทำให้ยังมีนักศึกษาชั้นปีที่สีที่อีกแค่ปีเดียวจะเรียนจบไปพิธีต้อนรับน้องใหม่ แต่ไม่ใช่นักศึกษาชั้นปีที่สองและสาม น่าจะเป็นเพราะนักศึกษาชั้นปีที่สี่ค่อนข้างว่าง นอกจากโปรเจกต์เรียนจบและการฝึกงานแล้วก็ไม่มีธุระอื่นอีก

 

 

พูดแล้วก็เป็นฤดูกาลเปิดภาคเรียนอีกครั้งแล้วสินะ

 

 

มิน่าล่ะ สองวันนี้เหมือนจะมีคนพูดสำเนียงแปลกๆ เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นพวกผู้ปกครองที่มาส่งลูกเข้ามหาวิทยาลัยที่เมืองปินไห่

 

 

ทั่วไปแล้วผู้ปกครองพวกนี้จะอยู่ที่เมืองปินไห่สองสามวันแล้วค่อยกลับไป ต้องเห็นลูกจัดหาที่พักเรียบร้อยด้วยตาตัวเองแล้วถึงจะวางใจ จากนั้นก็เที่ยวเล่นเมืองปินไห่กับลูกก่อน ส่งผลให้การค้าขายของร้านค้าและโรงแรมในละแวกมหาวิทยาลัยปินไห่คึกคักขึ้นมาก แต่น่าเสียดายที่เรื่องดีแบบนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับจางจื่ออัน ไม่เคยได้ยินว่าผู้ปกครองบ้านไหนซื้อสัตว์เลี้ยงให้ลูกเพราะกลัวว่าลูกเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจะเหงา

 

 

ต้องรู้ว่า ลูกค้าของร้านขายสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงวัยรุ่น แต่พวกผู้ปกครองที่กลัวการพูดถึงรักครั้งแรกตอนมัธยมปลาย พอถึงตอนเข้ามหาวิทยาลัยแล้วถึงจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติไปหนึ่งร้อยแปดสิบองศา ถ้าลูกของตัวเองบอกว่ามหาวิทยาลัยหงอยเหงาและน่าเบื่อ อย่างนั้นปฏิกิริยาของผู้ปกครองมากกว่าครึ่งคือเร่งให้เธอหาแฟน ไม่ใช่ซื้อสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะเห็นตัวอย่างผู้หญิงแก่เป็นป้าเลี้ยงสัตว์แล้วขี้เกียจจะไปหาแฟน…

 

 

ผ่านไปอีกสองสามวัน นักศึกษาเฟรชชี่ที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดีก็จะตากแดดระหว่างการรับน้องจนแม่จำไม่ได้…ทั่วไปแล้วเป็นอย่างนั้น บางครั้งสวรรค์ก็เป็นใจอยู่หลายปี แค่ได้หลบฝนอยู่สองสามวัน เด็กพวกนั้นก็ฟินมากแล้ว

 

 

ปีนี้เด็กกลุ่มนั้นอาจจะแอบขอพรให้เง็กเซียนคุ้มครองอยู่เงียบๆ

 

 

พูดจากสภาพอากาศก็อยู่ในช่วงปลายฤดูร้อนแล้ว แต่สองวันนี้ร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ ความชื้นก็มากเช่นกัน

 

 

ร้านขายสัตว์เลี้ยงมักจะมีคนวะมาดูเยอะแต่ซื้อน้อย ด้านพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต้องเพิ่มคำว่า ‘ยิ่งกว่านั้น’ ขึ้นมา เพราะคนแก่ปลดเกษียณที่ไม่มีอะไรทำมักจะอยู่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนานทีเดียว ขณะที่เพลิดเพลินกับเครื่องปรับอากาศก็ได้ชมของสวยงาม ถึงอยากทำการค้าขายก็ไล่คนกลับไปไม่ได้ ต้องรอถึงตอนกลางวัน พวกคนแก่ถึงจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน การค้าขายตลอดทั้งเช้าของพิพิธภัณ์สัตว์น้ำเป็นศูนย์ จางจื่ออันจึงปิดร้านพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำก่อนเสียเลย จากนั้นก็สั่งข้าวกล่องมากินกับหลู่อี๋อวิ๋น

 

 

หลังจากข้าวกล่องมาส่งแล้ว ตอนหลู่อี๋อวิ๋นกินข้าว เธอจะค่อยๆ เคี้ยว กินไปด้วย ดูการ์ตูนเรื่องยาวไปด้วย ส่วนจางจื่ออันกินข้าวค่อนข้างเร็ว ถ้าดูการ์ตูนเรื่องยาวด้วย เพลงไตเติ้ลยังไม่ทันจบเขาก็อาจจะกินเสร็จแล้ว เขาจึงยกข้าวกล่องมายืนกินข้างนอก เคยได้ยินว่ายืนกินส่งผลดีต่อการย่อยอาหารนี่? จะได้…มองพวกสาวสวยขายาวที่เดินผ่านไปมาได้ด้วย รู้สึกเจริญอาหารขึ้นเยอะ

 

 

เขากำลังกิน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงวิ่งตึกตักดังมาแต่ไกล

 

 

“พี่ชายเจ้าของร้าน สวัสดีกลางวันค่ะ! กำลังกินข้าวอยู่เหรอคะ?”

 

 

เสี่ยวฉินไช่วิ่งสั้นๆ มาจากทางโรงเรียนประถมถนนจงหัว

 

 

เธอสวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้น สะพายกระเป๋าหนังสือ บนใบหน้ามีเม็ดเหงื่อบางๆ ซึมออกมาเพราะวิ่งมาอย่างสุดกำลัง

 

 

“โอ้ เสี่ยวฉินไช่ สวัสดีตอนกลางวันนะ ทำไมเธอมาตอนนี้ล่ะ?” จางจื่ออันถามอย่างสงสัย

 

 

เสี่ยวฉินไช่หยุดฝีเท้า ก่อนจะหอบหายใจอยู่นาน “วันนี้โรงเรียนหยุดเรียนชั่วคราวค่ะ…คุณครูให้การบ้านพวกหนูมา บอกให้พวกหนูกลับไปทำที่บ้าน”

 

 

“อะไรนะ? โรงเรียนหยุดเรียนเหรอ ทำไมล่ะ?”

 

 

จางจื่ออันคิดในใจ ‘หรือว่าโรงเรียนเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไร? อย่างเช่น มีผู้ร้ายบุกเข้ามาในโรงเรียน หรือเกิดเหตุไฟไหม้’

 

 

เขายื่นหน้ามอง แต่ไม่เห็นว่าทางโรงเรียนมีควันหนาพุ่งขึ้นมา อย่างนั้นก็ไม่น่าใช่ไฟไหม้

 

 

“ฟู่” เสี่ยวฉินไช่ปาดเหงื่อ “คุณครูบอกว่าไต้ฝุ่นจะมาแล้ว กำชับพวกหนูว่าออกจากโรงเรียนแล้วให้กลับบ้านทันที อย่าไปเที่ยวซนที่ไหน แถมยังบอกด้วยว่าพรุ่งนี้หลังเลิกเรียนจะประกาศในวีแชทกลุ่มผู้ปกครอง”

 

 

“เอ๋? ไต้ฝุ่นเหรอ”

 

 

จางจื่ออันใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม “ไม่หรอก เมื่อเช้าฉันยังดูพยากรณ์อากาศอยู่เลย ไต้ฝุ่นไม่ได้มาทางเรานะ”

 

 

ความจริงแล้วตั้งแต่สองสามวันก่อน มีพายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นในทะเลใต้ กำลังเคลื่อนที่มาทางตะวันออกเฉียงเหนือ นี่เป็นไต้ฝุ่นรุนแรงลูกที่เจ็ดในทะเลแปซิฟิกเหนือและน่านน้ำทะเลใต้ของปีนี้

 

 

วงโคจรการเคลื่อนที่ของไต้ฝุ่นไม่คงที่ คาดเดาได้ยากมาก ส่วนใหญ่เปลี่ยนไปยังทิศตะวันออก มุ่งหน้าไปทางประเทศญี่ปุ่นก่อนที่จะมาถึงเมืองปินไห่ แต่ก็มีไต้ฝุ่นที่ไม่เดินตามทางปกติเหมือนกัน

 

 

เหมือนตอนที่ไต้ฝุ่นหกลูกปรากฏขึ้นในปีนี้ จางจื่ออันกังวลเรื่องไต้ฝุ่นรุนแรงเบอร์เจ็ดนี้มาโดยตลอด ตอนดูข่าวพร้อมเหล่าฉาทั้งเช้าและเย็น เขาจะถือโอกาสดูพยากรณ์อากาศไปด้วย

 

 

เมื่อวานเย็น ผลการคาดการณ์ที่พยากรณ์อากาศให้มานั้นอยู่ในแง่ลบ บอกว่าไต้ฝุ่นกำลังแรงจะขึ้นมาที่เมืองปินไห่ แต่เช้าวันนี้ผู้ประกาศกลับบอกข่าวดีว่าไต้ฝุ่นเปลี่ยนทิศทางแล้ว ทำให้เขาและชาวเมืองปินไห่ที่กำลังกังวลสบายใจมากทีเดียว

 

 

หลังจากนั้นเขาก็ยุ่งจนหัวหมุนตั้งแต่เช้า ไม่ได้สนใจพยากรณ์อากาศอีก

 

 

เสี่ยวฉินไช่ตอบด้วยท่าทางงุนงง “หนูก็ไม่รู้ค่ะ แต่คุณครูพูดแบบนี้ หยุดกันทั้งโรงเรียนเลย พี่ชายดูสิคะ”

 

 

เธอชี้ไปข้างหลัง

 

 

เด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่กำลังกรูกันออกมาจากทั่วสารทิศของโรงเรียนราวกับน้ำท่วม แต่เพราะเธอวิ่งเข้ามา จึงออกมาก่อนก้าวหนึ่ง

 

 

จางจื่ออันรู้สึกได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์แล้ว

 

 

ตอนเช้าพวกเสี่ยวฉินไช่ยังเรียนอยู่ นั่นหมายความว่าเช้าวันนี้ทางโรงเรียนคิดว่าไต้ฝุ่นเปลี่ยนทิศทางไปแล้ว ไม่ได้มาคุกคามถึงเมืองปินไห่ จึงให้พวกนักเรียนมาเรียนหนังสือกันตามปกติ แต่ตอนนี้กลับหยุดเรียนทั้งโรงเรียน หากตัดสินใจแบบนี้แล้ว แสดงว่าไต้ฝุ่นจะต้องมีการเคลื่อนไหวใหม่แน่นอน

 

 

“งั้นเสี่ยวฉินไช่รีบกลับบ้านเถอะ” เขาเร่ง “ไต้ฝุ่นอันตรายมาก เชื่อฟังคุณครูนะ อย่ามัวแต่เที่ยวเล่นข้างนอกเด็ดขาด”

 

 

“ค่ะ!” เสี่ยวฉินไช่พยักหน้า แล้วโบกมือ “งั้นหนูไปแล้วนะคะ บ๊ายบายพี่ชายเจ้าของร้าน!”

 

 

จางจื่ออันไม่อยากอาหารแล้ว พอกำลังจะหมุนตัวเข้าไปในบ้าน ก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ จึงเรียกเธอไว้

 

 

“เดี๋ยวก่อน เสี่ยวฉินไช่ พ่อแม่เธออยู่บ้านเหรอ”

 

 

เสี่ยวฉินไช่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “แม่หนูทำงานอยู่”

 

 

“งั้นเธอ…”

 

 

จางจื่ออันเกือบจะหลุดปากถามว่าพ่อของเธอทำงานอยู่หรือเปล่า แต่อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอไม่เคยพูดถึงพ่อมาก่อน ถูกต้อง รู้จักเธอมาเกือบปีแล้ว เธอบอกตลอดว่าแม่เป็นอย่างไร แต่ไม่เคยพูดเลยว่าพ่อเป็นอย่างไร

 

 

ความจริงแล้วก่อนหน้านี้จางจื่ออันก็แอบสงสัย ลูกของคนอื่นเหมือนแก้วตาดวงใจ มักจะมีผู้ปกครองคอยรับส่ง แต่ส่วนใหญ่เสี่ยวฉินไช่ไปโรงเรียนและกลับบ้านโดยลำพัง บางครั้งมีเพื่อนอย่างหวางหย่าหนิงเดินไปด้วยกัน ไม่เคยเห็นพ่อแม่ของเธอรับส่งเธอมาก่อน

 

 

พวกเขาอาจจะมีเหตุผลมากมาย อย่างเช่น ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวทั้งคู่จึงค่อนข้างยุ่ง สองสามีภรรยาเข้างานเก้าโมง เลิกงานสามทุ่มตลอดทั้งหกวันต่อสัปดาห์ บวกกับปู่ย่าตายายไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้ เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเธอก็น่าจะพูดถึงพ่อบ้างสิ

 

 

โอกาสหย่าร้างของสังคมปัจจุบันสูงมากจริงๆ โดยเฉพาะสามีภรรยาที่ค่อนข้างเป็นหนุ่มสาว ไม่ได้อดทนได้เหมือนคนรุ่นก่อน พูดไม่เข้าหูกันก็มักจะหย่าร้างกัน

 

 

ถ้าเธอเป็นผู้ปกครองคนเดียว อย่างนั้นก็อธิบายได้ชัดเจนแล้ว