GGS:บทที่ 806 สิ่งที่หลงเหลือ

 

ซูจิ้งเลิกล้มความคิดที่จะขายรูปไม้แกะสลักพระอจละไปในทันที เพราะเขาประเมินดูแล้วว่าเขานั้นแทบจะไม่ได้อะไรเลยถ้าขายออกไป

อย่างน้อยก่อนเขาจะขายก็ควรจะกอบโกยค่าการใช้ประโยชน์หลังจากสร้างความรู้สึกให้คนตื่นตะลึงกับองค์พระซะก่อน ส่วนเขาจะสร้างชื่อเสียงให้พระองค์นี้ยังนี่เขาได้คิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

 

แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น เขาจะต้องส่งอัญมณีดอกไม้หลากสีนี้ไปยังหอประมูลห้วงเวลาฯของเขาซะก่อน แถมยังทำแบบเอิกกะเริกซะด้วย

ซูจิ้งถึงกับเขียนบอกเอาไว้ในไมโครบลอกของเขาซึ่งแน่นอนว่าสร้างความตื่นตะลึงไปให้คนทุกวงการ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าผู้คนที่สนใจเรื่องธรณีวิทยาและคนที่เก็บสะสมอัญมณีต่างก็ตื่นตกใจกันอย่างมาก

ซูจิ้งขอให้ฉิงหยุนทำสถิติข้อมูลค่าการใช้ประโยชน์ฯที่เขาได้รับจากอัญมณีดอกไม้ฯนี้ให้เขาด้วย

ผลก็คือค่าการใช้ประโยชน์ที่ได้ตอนนี้ค่อนข้างจะน้อยเมื่อเทียบกับตอนที่เขานำภาพหัวใจพระสูตรฯขึ้นอินเทอร์เน็ตและเผยแพร่เพลงหมัดวัวคลั่ง เพราะเขาได้ค่าการใช้ประโยชน์ฯมาเพียง 100 หน่วยเท่านั้น

นั่นก็เพราะว่าต่อให้อัญมณีดอกไม้ฯนี้จะน่าตกตะลึงแค่ไหนแต่มันก็ไม่ได้เป็นที่สนใจมากเท่าที่ควร

เนื่องด้วยเป็นที่สนใจกับคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น นี่ยิ่งทำให้เขานั้นแถบจะตัดสินใจขายออกไปแทบจะในทันทีเลยทีเดียว

 

ซูจิ้งเลือกที่จะเลิกสนใจเรื่องพวกนี้ไปก่อนตอนนี้เขากลับเข้าไปในฉิงหยุนเพื่อที่จะจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อไป

 

เขาได้จัดการขยะจำพวกไม้เกือบเสร็จแล้ว พวกมันส่วนใหญ่นั้นโชกไปด้วยน้ำและเริ่มส่งกลิ่นเหม็นแล้ว

ในตอนที่เขาคัดไม้ออกมาจำนวนหนึ่งเขาได้พบกับไม้แปลกที่มีความแข็งประหนึ่งดังแท่งเหล็ก แต่น้ำหนักยังเท่ากับไม้ปกติ หลังจากพิจารณาแล้วเขาพบว่ามันน่าจะเป็นไม้พีช

หัวใจของซูจิ้งก็เริ่มตื่นเต้นอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาลอยๆว่า “หรือว่านี่คือไม้พีชเขียว”

 

หากเป็นไม้พีชปกติเขาก็จะไม่ใส่ใจอะไรนักแต่หากเป็นไม้พีชเขียวที่มาจากห้วงเวลาฯเทพตะวันตกนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา

 

ในห้วงเวลาฯเทพตะวันตกนั้นมีดินแดนหนึ่งที่มีลมกระโชกแทบจะตลอดเวลา

ต้นพีชเขียวของที่นั่นถือได้ว่าเป็นไม้ที่อยู่ในระดับขั้นเซียนได้เลยทีเดียวนั่นก็เพราะว่าพวกมันได้รับพลังมาจากสายฟ้าจนได้รับพลังหยางบริสุทธิ์เข้าไป  ขนาดภูติผีป๊ศาจเห็นไม้นี้ก็ยังต้องมีถอยห่างกันในทันที

ในห้วงเวลาฯนั้นมีเรือลำหนึ่งที่ชื่อว่าเรือวาฬคลั่งซึ่งทำจากไม้พีชเขียวนี้ทั้งลำซึ่งเป็นพีชเขียวอายุมากกว่า 100 ปี

 

มันสามารถแล่นแล่นฝ่าท้องทะเลโดยไม่มีเคยต้องประสบปัญหาอะไรเลยซักครั้ง

ทำได้แม้แต่ฆ่าปีศาจแห่งท้องทะเลด้วยซ้ำ อีกทั้งยังไม่เคยมีเรื่องโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นกับลูกเรือแม้ซักหนเดียว ที่ถือได้ว่าเป็นสมบัติสำคัญสำหรับนักผจญภัยและนักเดินเรือเลยก็ว่าได้

ต้นพีชเขียวที่มีอายุมากกว่าพันปีขึ้นไปนั้นจะให้กำเนิดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จนกลายเป็นต้นไม้แห่งเซียนไปและจะไม่มีอาวุธอะไรทำอันตรายมันได้อีก

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าในห้วงเวลาฯที่กล่าวไว้ว่าหากต้นไม้พีชเขียวนี้สามารถทนรับสายฟ้าฟาดได้เกินกว่าหมื่นปีจะก็กลายร่างเป็นมนุษย์และสามารถนำวิญญาณมนุษย์ไปไว้ในร่างนี้ได้

นอกจากวิญญาณนะจะปลอดภัยแล้วจะถือว่าเป็นการบ่มเพาะพลังวิญญาณอีกด้วย

 

ซูจิ้งนึกอะไรได้บางอย่างก่อนที่จะจับท่อนไม้นั้นมาหักดูด้วยมือทั้งสองข้างจนเสียงดังกร๊อบ

เห็นดังนั้นซูจิ้งได้แต่ส่ายหัวแล้วพูดออกมาว่า “เฮ้อ ไม้นี่น่าจะเป็นไม้พีชเขียวจริงๆแต่อาจะน่าจะน้อยกว่า 100 ปีล่ะนะถึงแม้จะแข็งกว่าไม้พีชบนโลกแต่ก็เท่านั้น”

 

กว่าที่ซูจิ้งจะจัดการแยกกองไม้เสร็จก็ปาเข้าไปจวนจะมืดแล้ว เขาเห็นว่าในกองไม้นี้มีหินเมล็ดอะไรเข็งๆอยู่ หลังจากหยิบขึ้นมาดูสภาพเขาก็พบว่าสภาพของพวกมันยังดีอยู่ทำให้ซูจิ้งตาเป็นประกายขึ้นมา และนึกขึ้นมาว่าเจ้าเมล็ดนี้อยู่ในกองไม้พีชเขียวก็สมควรจะเป็นเมล็ดของต้นพีชเขียวเช่นเดียวกัน หลังจากค้นดีๆแล้วเขาก็เลือกเมล็ดพีชเขียวมาได้สามเมล็ดและจัดการนำมันไปปลูกและรดน้ำอย่างดี

 

ต่อมา

 

ซูจิ้งได้เริ่มจัดการกองหินต่อ ถึงแม้จากสภาพแล้วดูเหมือนจะหวังอะไรมากไม่ได้แต่ซูจิ้งก็ยังตั้งใจตรวจสอบพวกนี้อย่างจริงจังอยู่ดี

“นี่คือ…?” ซูจิ้งเห็นเศษหินกองอยู่ มันมีลักษณะต่างจากหินก้อนอื่นอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากสีสันที่ไม่เหมือนใครแล้วเขายังได้กลิ่นของตัวยาจากกลิ่นเหล่านี้ซะอีก

ยิ่งเขาลองดมใกล้ๆกลิ่นยิ่งแรงมาก

ซูจิ้งตื่นเต้นในทันทีเพราะมันไม่เพียงแต่มีกลิ่นของยาแต่มันยังเป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคยเหมือนเคยอ่านมาจากไหนอีกด้วย

 

“หรือว่านี่คือกากยา?” ซูจิ้งมาด้วยสายตาที่นิ่งเรียบ ในห้วงเวลาฯเทพตะวันตกนั้นมีตำราหนึ่งที่เรียนว่า ตำหรับยาธรรมชาติ ที่เป็นบันทึกเกี่ยวกับสรรพคุณของยาที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นจากแร่ สัตว์ และพืช ที่มีอยู่ทั้งในสรวงสวรรค์และพื้นโลก

มีรายละเอียดแทบจะทุกอย่างที่ควรจะมีไม่ว่าจะเป็นลักษณะ รูปร่าง การเก็บเกี่ยว การเก็บรักษา วิธีใช้ ผลลัพท์ แม้แต่ผลข้างเคียงของยา มีแม้แต่ก็ขึ้นรูปยาแต่ละชนิดด้วยซ้ำ

 

โดยทั่วไปแล้วหินแร่ถือเป็นแหล่งยาที่ใหญ่ที่สุดในวงการยาของที่นั่น อย่างเช่นยาวิเศษสีทองที่ใช้ในการฝึกฝนร่างกาย

ยาสีทองนี้ประกอบด้วยโลหะหนักและแร่ธาตุหลายชนิดอย่างเช่นทองแดง ปรอท ทอง ตะกั่ว หยก ไมก้า และแร่ธาตุอื่นๆอีกอย่างละนิดอย่างละหน่อย จึงไม่แปลกใจเลยที่ว่าเขาจะพบกากยาจากขยะห้วงเวลาฯกองนี้

 

แต่หากพิจารณาจากความเป็นไปได้ตรงหน้าของซูจิ้งแล้วกากยานี้สมควรเป็นของเสียที่ถูกทิ้งหลังจากใช้งานทางเล่นแร่แปรธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว

นั่นหมายความว่ากากยานี้สมควรจะเป็นกากยาที่หลงเหลือแต่พิษเอาไว้เท่านั้น

นอกจากนี้หากนี่เป็นกากยาที่หลงเหลือจากการใช้จากเหล่าผู้ฝึกตนก็สมควรจะเต็มไปด้วยตะกั่วและปรอท

อันที่จริงหากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมปรอทและตะกั่วก็เป็นยาที่ดีตัวหนึ่งได้เลย ก็ไม่แปลกใจถ้าเจ้ากากยานี้จะมีธาตุทั้งสองนี้อยู่ ต่อให้ยังมีตัวยาดีๆที่หลงเหลืออยู่แต่ตรายใดที่ไม่รู้วิธีการทำย่อมไม่สามารถกลั่นยาออกมาได้

ต่อให้เขาเก็บไว้ก่อนดูๆไปแล้วก็ไม่น่าจะมีโอกาสได้ใช้ประโยชน์อะไร แถมแค่กากยาธรรมดาบนโลกแค่กินก็เสี่ยงตายมากพอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงกากยาของห้วงเวลาฯอื่นเลย

 

หลังจากซจิ้งประเมินสถานการณ์แล้วเขาก็ทำได้แค่ต้องตัดใจไปก่อน ต่อให้เข้าจะทดลองแบบวิธีที่แล้วๆมาแต่ก็ต้องเสียเวลาอยู่ดี

หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้เจอกากยาอีกจำนวนหนึ่งซึ่งมีลักษณะและสีที่แตกต่างกันออกไป บางกองใหญ่จนใหญ่กว่าสนามฟุตบอลเหมือนกับว่าแค่เห็นก็โยนทิ้งทันทีโดยไม่คิดจะเอาไปทำอะไรก่อน บางกองก็เล็กมาจนแทบมองไม่ออก

ซูจิ้งได้สังเกตุเป็นหินก้อนหนึ่งที่มีขนาดประมาณกำปั้นมือ เขาลองตรวจสอบดูอย่างตั้งใจแต่พอไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลยเขี่ยไปข้างๆ แต่ทั้นใดนั้นเขาก็เหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่างก่อนที่จะหยิบมันมาดูอีกครั้งหลางนึกว่า

“เดี๋ยวนะ ฉันว่าฉันรู้จักหินนี่นะ” ซูจิ้งได้ค้นข้อมูลที่อยู่ภายในจิตสำนึกของเขาในทัน

หลังจากนั้นก็มีข้อมูลที่น่าจะเป็นของหินนี่ออกมายังสมอง

ทันใดนั้นซูจิ้งได้เดินออกจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแล้วหยิบมือถือเพื่อหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต

เมื่อเจอแล้วเขาลองเทียบรูปที่พบกับสิ่งที่อยู่ในมือของเขา

 

ยิ่งซูจิ้งเปรียบเทียบมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตกตะลึงจนแสดงออกให้เห็นได้จากสีหน้า สายตาของเขาที่จ้องมองต่อหินก้อนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้มีท่าทีเมินเฉยแบบก่อนหน้านี้อีกแต่ไป แต่สายตาของเขาเปลี่ยนไปเป็นมองสมบัติชิ้นหนึ่งเรียบร้อยแล้ว

 

เมื่อตั้งสติได้ซูจิ้งรีบพุ่งตัวกลับไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ เขารีบตรงกลับเข้าไปดูกากแร่กองเมื่อกี้ใหม่อีกครั้ง

ยิ่งเขาเจอก้อนที่ใหญ่เท่าไหร่ ท่าทางของเขาและสายตาเริ่มเปลี่ยนไปประดุจคนเจออะไรที่สุดยอด และปากของเขาค่อยๆเผยอยิ้มมากขึ้นทีละน้อยทีละน้อยจนเริ่มเห็นฟันแล้ว

ตอนนี้เขาไม่ได้มีท่าทีจะรังเกียจกากยาพวกนี้อีกต่อไปเขาเก็บพวกมันทั้งหมดไว้ในกระเป๋ามิติทันที

 

หลังจากผ่านไปได้ซักสองวัน

ซูจิ้งก็ไม่ได้เจออะไรที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกเลย เขาได้ทำการค้นซ้ำอีกสองรอบ หลังจากแน่ใจแล้วเขาได้นำของที่ใช้ได้ทั้งหมดไปเก็บไว้ในพื้นที่เก็บ ส่วนของที่ใช้ไม่ได้ก็สั่งให้ฉิงหยุนกำจัดทั้งหมดในพื้นที่พักขยะ โดยกระบวนการในส่วนนี้รวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ

“ตอนนี้มีขยะในระบบทั้งหมดอยู่ที่ 4,136 ตันที่ถูกกำจัด โดยใช้ปฏิสสารในการกำจัดอยู่ที่ 0.004 กรัม”

ฉิงหยุนรายงานออกมา

“เฮ้ออออ นั่นก็หมายความว่าใช้ค่าใช้จ่ายไป 120 ล้านหยวนสินะ” ซูจิ้งถึงกับหยิบบุหรี่ก่อนที่จะอัดจนหมดในทีเดียวก่อนที่จะพ่นควันออกมาจากมุมปาก

ถึงแม้ว่าเขานั้นจะรู้เรื่องนี้มาก่อนอยู่แล้วแต่ยังไงซะเมื่อได้ยินแล้วยังไงก็ยังรู้สึกปวดใจอยู่ดี เขาเองก็รู้สึกอยากจะหาวิธีลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เขารู้สึกว่าต้องถามฉิงหยุนว่าพอจะมีวิธีลดปกิสสารที่ต้องใช้ในส่วนนี้ได้บ้างรึเปล่าอย่างการใช้พลังงานที่ได้จากการเผามาใช้ทดแทนพวกนั้นซูจิ้งจึงตัดสินใจถามออกมา “ไอ้พวกของที่เผาๆไปนี่มันก็สร้างพลังงานไม่ใช่หรอ ถ้าใช้พลังงานส่วนนี้แทนที่จะใช้ปฏิสสารทำได้รึเปล่า”

 

“ในส่วนพลังงานที่ได้จากกระบวนการเผานี้ถือได้ว่าน้อยอย่างมากเมื่อเทียบกับการใช้ปฏิสสาร การใช้ประโยชน์ในการเผาจึงถือว่าใช้ไม่ได้ อย่างไรก็ตามพลังงานที่ได้จะถูกนำไปใช้ในส่วนการกำจัดแบบย่อยสลายแทน เพราะฉะนั้นท่านเจ้าของไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด”

ซูจิ้งก็ทำได้แค่เพียงพูดไม่ออกเท่านั้น ความจริงกระบวนการเผานั้นถือว่าเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานมากกว่าส่วนอื่น แต่โดยตามปกติแล้วพลังที่ได้จากการเผาสามารถนำวนเข้ามาใช้ในกระบวนการเผาตัวมันเองได้อยู่แล้วเลยแทบจะถือว่าไม่เสียอะไรมาก

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับพลังงานที่ต้องใช้จากปฏิสสารแล้ว แน่นอนว่าพลังงานทั่วไปเทียบไม่ได้ ก็ไม่แปลกใจที่ว่าจะนำพลังงานมาวนใช้ไม่ได้ ซูจิ้งจึงต้องทำได้เพียงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป

 

ซูจิ้งทำได้เพียงมองไปยังพื้นที่ว่างๆในพื้นที่ด้านบน พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง พยายามคิดให้ได้ว่าไม่ได้เข้าเนื้อ ไม่ได้ผลาญเงิน ไม่ได้ไร้ประโยชน์ ต่อให้เสียค่าใช้จ่ายมากแต่มันก็คุ้มค่า