GGS:บทที่ 805 ตำหนิ

 

“คุณซู คุณยังมีสมบัติชิ้นอื่นอีกรึเปล่าครับ” ซุนหยูเฮงในตอนนี้ทำได้เพียงแค่ตัดใจถามออกมาเท่านั้น

“ไม่มีครับ ถ้าคุณยังไม่สนใจของซึ่งนี้อีกล่ะก็ตอนนี้ผมก็ไม่มีอะไรให้คุณแล้วล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

ซุนหยูเฮงทำได้เพียงพูดไม่ออก ถึงแม้ว่าอัญมณีดอกไม้หลากสีจะดีแค่ไหนก็ตาม แต่คุณค่าทางจิตใจยังไงก็ไม่เท่าหัวใจพระสูตรและพระพุทธ และยิ่งเทียบไม่ได้กับรูปแกะสลักไม้พระอจละนั่นยิ่งเทียบไม่ได้เข้าไปใหญ่

หากเขาได้หนึ่งในสองนี้มาล่ะก็ถือว่าดีที่สุดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การจะได้หนึ่งในสองชิ้นนี้มาได้เขาคงต้องเข้าเนื้อไม่น้อยเลยทีเดียว

 

“คุณซู อัญมณีดอกไม้นั่นหากคุณจะขายไปพวกเราก็จะไม่ยุ่งแม้แต่น้อย แต่กับองค์พระอจละนั้นผมขอเถอะนะ

ต่อให้มีใครซักคนสามารถซื้อมันได้ก็ตามแต่พระองค์นั้นไม่ควรจะต้องถูกนำมาตีราคาค่างวดแบบนี้

ในเมื่อพระองค์นั้นได้มาอยู่ในมือคุณแล้ว ก็ได้โปรดประดิษฐานท่านไว้ที่นี่และศัการะท่านเพื่อปัดเป่าเภทภัย

ซึ่งนั้นไม่ใช่ซึ่งที่เงินจะหามาได้อย่างแน่นอน ” โจวฮงหยวนในตอนนี้เองก็ได้เข้าใจแล้วว่าซุนหยูเฮงนั้นสมควรจะไม่สามารถสู้ราคาได้แน่ๆ นั่นหมายความการตกลงซื้อขายย่อมเป็นอันเลิกลากันไป

แต่เขาเองเมื่อได้ฟังน้ำเสียงซูจิ้งก่อนหน้านี้ก็พอจะเลาๆได้ว่าซูจิ้งต้องการจะขายพระอจละองค์นี้จริงๆ

 

ความจริงโจวฮงหยวนนั้นอยากจะอัญเชิญพระอจละองค์นี้ไปประดิษฐานที่วัดของเขาใจจะขาด

แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าไม่ว่าจะทุ่มจนหมดตัวจนกรอบยังไงเขาก็ไม่สามารถต่อรองกับซูจิ้งเรื่องนี้ได้ทำได้แค่เงียบปากตัวเองเอาไว้

แค่ซูจิ้งยอมให้เขายืมหัวใจพระสูตรและพระพุทธเขาก็แทบอยากจะกราบกรานซูจิ้งแล้ว เขาไม่มีหน้าจะเอ่ยปากขออีกแต่อย่างใด

ตอนนี้เขาเองก็ได้แต่เพียงหวังว่าซูจิ้งจะยอมเก็บองค์พระอจละนี้ไว้ หรืออย่างน้อยๆก็ควรจะคิดให้ดีอีกครั้งก่อนจะขาย

 

“คูณโจว ขอบคุณครับสำหรับคำแนะนำ ผมเองก็มีความตั้งใจสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน”

ซูจิ้งได้องค์พระอจละนี้มาจากพื้นที่กำจัดขยะหัวงเวลาฯเมื่อสองวันก่อน

พระองค์นี้ได้มาจากกองขยะไม้ไหม้ไฟซึ่งน่าจะมาจากวัดหลวง

ตอนแรกนั้นพระองค์นี้เองก็ถูกไฟไหม้ไปไม่น้อยจนแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย เขานั้นได้ลองให้เสี่ยวไป๋ซ่อมดูเพราะอยากรู้ว่าไม้กองนั้นคืออะไรกันหน้าจนกลายเป็นพระอจละองค์นี้

พระองค์นี้ตามซูจิ้งประเมินแล้วสมควรจะถูกใช้ในการสักการะโดยสุดยอดปรมาจารย์ของวัดนั้น

 

สำหรับซูจิ้งแล้วตอนแรกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าพระองค์นี้มีชื่อว่าอะไร และเอาจริงๆแล้วพระองค์นี้ก็ไม่ได้ช่วยเขาในการฝึกเพิ่มเติมซักเท่าไหร่

ถึงแม้ว่าพระองค์นี้จะส่งผลต่อจิตใจทำให้ช่วยเขาในการฝึกได้ แต่เขาเองก็มีถาดเสริฟชาสไตล์ญี่ปุ่นที่ได้มาจากห้วงเวลาฯศึกท้ารบสวรรค์อยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้เขาเองก็เกรงกลัวอยู่บ้างที่จะขายพระองค์นี้ แต่ในตอนนี้เขาอยากขายออกไปใจจะขาดแล้ว

 

เหตุผลก็เพราะเขานั้นต้องการที่จะเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์จากขยะห้วงเวลาฯของฉิงหยุนให้เร็วที่สุด เพราะหากนำมาเทียบกันแล้วเรื่องนี้ย่อมสำคัญกว่า

อีกอย่างในตอนเขาเองก็มีตำราวิถีมังกรอยู่ในมือแล้ว พระองค์นี้สำหรับเขาแล้วถือว่าไม่มีประโยชน์กับเขาเท่าที่ควร

ตำราวิถีมังการนั้นตามการคาดการณ์ของซูจิ้งแล้วน่าจะเป็นตำราลับของวัดพุทธใหญ่ของจริง และพระอจละองค์นี้ถึงแม้ว่าจะพอช่วยเขาได้บ้างแต่มีสามารถเทียบกับตำราวิธีมังกรได้

 

เอาจริงๆแล้วซูจิ้งเองก็ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะขายหรือไม่เขาคิดว่าอาจจะต้องดูสถานการณ์ไปก่อน

เขาวางแผนที่จะลองนำพระอจละให้ใครซักคนดูเพื่อที่จะประเมินราคาว่าสมควรจะตั้งที่เท่าไหร่

เพราะฉิงหยุนบอกเขาไว้ว่าการขายก็สามารถเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ฯได้เช่นเดียวกับการที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง ประหลาดใจ ประทับใจ ต่อผู้คนบนโลก ตลอดจนการทำให้เกิดผลกระทบด้านดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้

และเขาเองก็ยังไม่เคยลองดูเลยว่าการขายขยะหัวงเวลาฯจะได้ค่าการใช้ประโยชน์ฯกี่หน่วย ทำให้เขายังไม่รู้ว่าควรจัดการยังไงกับเหล่าขยะห้วงเวลาฯเพื่อที่จะเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ฯให้เร็วที่สุด

เขาเองได้แต่หวังว่าการขายขยะห้วงเวลาฯจะเป็นการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ฯที่ดีที่สุดเพราะสำหรับเขาแล้วจะสามารถใช้วิธีนี้ได้ดีกว่าวิธีอื่นอย่างแน่นอน

เพราะนอกจากจะเป็นการประหยัดเวลาแล้วยังเป็นการได้รับประโยชน์ในหลายๆด้านในครั้งเดียว

 

“คุณซุน คุณคิดว่าของสิ่งนี้พอได้รึเปล่าหล่ะ” ซูจิ้งเงียบไปพักนึงก่อนที่จะหยิบบางอย่างแสดงให้ดูพร้อมเอ่ยถามออกมา ก่อนจะพูดต่อว่า

“สิ่งนี้สมควรจะเป็นหัวใจพระสูตรและพระพุทธเช่นเดียวกัน แต่ผมขอบอกไว้ก่อนนะว่าพระสูตรเล่มนี้ไม่สมบูรณ์ ตอนแรกเลยไม่อยากนำออกมา แต่เห็นท่าทีของคุณแล้วผมเลย…. ช่างเถอะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์แต่ยังไงซะมันก็พอจะถือได้ว่ามีค่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง”

ซุนหยูเฮง โจวฮงหยวน โจวเทียนรุย และหวังซือหยา ทั้งหมดได้เดินเข้ามามุงดูกันอย่างรวดเร็ว

พวกเขาเห็นกับตัวเองว่ารายละเอียดทุกอย่างของพระสูตรเล่มนี้เหมือนกับเล่มก่อนหน้านี้แทบจะแยกไม่ออกเลย

แต่ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มสังเกตุขอแตกต่างได้ หากดูรายละเอียดดีๆแล้วจะพบว่าความบรรจงและตั้งใจในตัวอักษรและรูปวาดต่างๆที่อยู่ในเล่มถือได้ว่าหยาบกว่าอย่างมาก แม้แต่นำรูปถ่ายพระสูตรที่ซูจิ้งเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้มาเทียบก็ยังเห็นได้ว่ารูปถ่ายยังดูดีกว่า เพราะยังไงซะรูปนั้นก็ถ่ายมาจากเล่มจริง

วันนั้นที่ซูจิ้งถ่ายรูปออกไปเผยแพร่ เขาได้คัดเลือกเล่มที่คัดลอกมาดูที่สุดเป็นแบบ แน่นอนว่าทุกเล่มนั้นเป็นเพียงฉบับคัดลอกที่เอาไว้ฝึกตนเท่านั้น

แต่ในเมื่อไม่มีใครเคยเห็นของจริงมาก่อนแล้วใครจะบอกได้ว่ามันเป็นเพียงฉบับคัดลอกกันหล่ะ

เขาจึงได้ถือฉบับที่ดีที่สุดไว้เป็นของจริงไปเลย และแน่นอนว่าเล่มที่เขานำออกมาทีหลังนี้คือเล่มที่คัดลอกได้คุณภาพแย่ที่สุด

 

“ถึงแม้จะเป็นฉบับไม่สมบูรณ์แต่ก็ยังถือว่าดีที่สุดแล้วครับ คุณซู คุณควรจะนำพระสูตรฉบับนี้มาให้ผมตั้งแต่แรกนะ ผมต้องการฉบับนี้ โปรดเสนอราคามาได้เลย” ซุนหยูเฮงจ้องมองไปยังหัวใจพระสูตรและพระพุทธที่อยู่ตรงหน้าด้วยความดีใจ

“เฮ้ออออ เป็นสามล้านหยวนก็แล้วกันครับ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างหน่ายๆ

ซุนหยูเฮง โจวฮงหยวน โจวเทียนรุย และหวังซือหยาต่างก็นิ่งไปเมื่อได้ยิน

ถึงจะบอกว่านี่เป็นฉบับไม่สมบูรณ์แต่ด้วยการที่ฉบับสมบูรณ์ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ดูในอินเตอร์เนตที่ภาพเผยแพร่ออกไปมีคนเสนอราคาเริ่มต้น 50 ล้านหยวนเป็นขั้นต่ำ บางคนเสนอถึง 100 ล้านหยวนด้วยซ้ำ

เมื่อได้ยินซูจิ้งเสนอราคาฉบับไม่สมบูรณ์นี้ในราคา 3 ล้านหยวนทำให้พวกเขารู้สึกว่ารับไม่ได้ขึ้นมา

พวกเขาในตอนนี้ต่างคิดว่าเหตุผลที่ซูจิ้งยอมกดราคาขนาดนี้เป็นเพราะหากได้ร่วมงานกับซุนหยูเฮงก็คงถือได้ว่าเป็นของขวัญสำหรับการร่วมงาน เพราะยังไงซะผลตอบแทนที่ได้มากกว่าที่ใครจะคาดคิดได้

แต่ถ้าจะให้เลยแล้วไม่ได้ร่วมงานกันก็ออกจะดูเป็นการติดหนี้กันเกินไปเลยใช้วิธีนี้แทน

“งั้นผมขอถือว่านี่เป็นราคาที่เหมาะสมก็แล้วกันนะครับ คุณซูช่างดีกับผมจริงๆ บอกเลยว่าถ้าได้คบหาคุณเป็นสหายได้ถือว่าไม่เสียหลายแล้ว”

 

ด้วยเหตุนี้เรื่องสงครามศาสนาย่อมๆจึงได้คลี่คลายลง โจวฮงหยวน โจวเทียนรุย และเสี่ยวไจ๋ ได้กลับไปยังวัดพร้อมกับหัวใจพระสูตรและพระพุทธฉบับสมบูรณ์ที่สุดที่ซูจิ้งยอมให้ไป ส่วนซุนหยูเองก็ได้จากไปพร้อมกับฉบับไม่สมบูรณ์ หวังซือหยาเองยังอยู่กับซูจิ้งพร้อมพูดว่า “อาจิ้ง ฉบับที่ซุนหยูเฮงได้ไปน่ะ ฉันคิดว่าอย่างน้อยๆก็ควรมีค่าไม่ต่ำกว่า 6 ล้านหยวนนะ ที่นายเรียกแค่สามล้านหยวนนี่เป็นพระหวังผลทางธุรกิจอย่างนั้นหรอ?”

 

“ไม่เอาอ่ะ ฉันขี้เกียจอธิบายเรื่องนี้ ทำไปแล้วก็ปล่อยๆไปเหอะน่า” ซูจิ้งยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเป็นท่าทาง บ่งบอกว่าเขาจะไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก

“อ่ะ ก็ได้ฉันจะไม่ยุ่งกับนายเรื่องนี้แล้วกัน” หวังซือหยาพูดออกมา

“ฉันก็ได้แต่หวังว่าซุนหยูเฮงจะได้ร่วมงานกับเราล่ะนะ เพราะว่าธุรกิจของเขาหากร่วมมือกับเราแน่นอนว่าจะช่วยไม่ให้เราต้องไปเสียเวลาอย่างการผลิตวัตถุดิบพวกนั้นอีกต่อไป ฉันก็คิดว่าฝีมือด้านธุรกิจการเกษตรของเขาไม่เลวเลย แถมตอนนี้เขาเองก็ดูเหมือนจะถูกใจพี่ซื่อหยาอยู่นี่นา พี่คิดว่าไงหล่ะครับ คุณพี่สาวซือหยา” ซูจิ้งพูดพลางหันหน้าไปทำตาปริบกับซือหยาพร้อมรอยยิ้มอันกวนโอ้ยและชั่วร้ายหน่อยๆ

 

“ไม่ต้องเลย ฉันไม่สนเขาหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องธุรกิจล่ะก็ ฉันก็ไม่คิดจะไปหาเขาหรอกนะ”

หวังซือหยาเองได้จ้องไปยังซูจิ้งสักพักก่อนจะนึกอะไรได้บางอย่างแล้วพูดออกมาว่า “เอ้อมีอีกเรื่อง วันเกิดของพ่อฉันจะมาถึงแล้ว ฉันต้องไปร่วมงาน ตอนที่พ่อรู้ว่าฉันจะมาพ่อฝากมาบอกว่า ถ้าอยากไปร่วมงานก็ไปได้แต่ไม่ต้องมีอะไรติดไม้ติดมีไปหรอกนะ”

“ห้ะ ถ้าฉันไม่เอาของขวัญแล้วฉันจะได้ชื่อว่าเจ้าแห่งของขวัญได้ยังไงกันล่ะนั่น” ซูจิ้งยิ้มออกมา

หวังซือหยาเองก็ได้แต่หัวเราะร่าออกมาก่อนที่จะพูดต่อว่า “ที่เขาพูดนะหมายถึงว่านายเป็นไอ้บ้าของขวัญต่างหากล่ะ นายไม่เคยรู้สึกปวดใจบ้างเลยรึไงเนี่ย อย่าบอกนะว่านายคิดว่าเป็นคำชมจริงๆน่ะ ไม่ละอายเลยรึไงห้ะ หรือว่านายเมาไปแล้วเนี่ย”

 

“เอาน่า ยังไงก็ถ้าจะกลับเมืองหลวงก็โทรบอกกันหน่อยแล้วกัน ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ไปรึเปล่าแต่เรื่องของขวัญนี่ยังไงก็ขาดไม่ได้แน่นอน แต่ก็จะลองหาของพื้นๆที่สุดเท่าที่ฉันจะเจอฝากไปให้แล้วกันนะ” ซูจิ้งพูดออกมา

 

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้คุยกันต่อเรื่องบริษัทของซือหยาอีกนิดหน่อยก่อนที่ซือหยาจะขับรถออกไป

ซูจิ้งเองในตอนนี้เขาได้ใช้ความคิดในจิตสำนึกคุยกับฉิงหยุนว่า “ฉิงหยุน เธอคำนวนรึยังว่าค่าการใช้ประโยชน์ฯที่ได้จากการขายพระสูตรเล่มนั้นไป 3 ล้านหยวนนี่ได้เท่าไหร่”

ฉิงหยุนได้ตอบกลับมาว่า “ได้ทำการคำนวนแล้ว ค่าการใช้ประโยชน์ที่เพิ่มจากพระสูตรเล่มนั้นอยู่ที่ 1 หน่วย”

ซูจิ้งตกตะลึงไปเล็กน้อย เขาได้ถามต่อเพราะเขาคิดว่าได้ยินผิดไป “เท่าไหร่นะ แน่ใจนะว่าเป็นการคำนวนเฉพาะเงินที่ได้จากเล่มที่ขายไป 3 ล้านหยวนนั่นเล่มเดียว”

ฉิงหยวนตอบกลับมาว่า “การที่ขายไปแล้วได้เงินมา 3 ล้านหยวนแล้วคำนวนเป็นค่าการใช้ประโยชน์ฯได้ 1 หน่วย ไม่ผิดอย่างแน่นอน”

ซูจิ้งรู้สึกโง่งมขึ้นมาทันใด ดูเหมือนว่าวิธีการขายขยะห้วงเวลาฯจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับเขาเลยเพราะว่า 3 ล้านหยวนสามารถคำนวนค่าการใช้ประโยชน์ฯได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ดูเหมือนว่าวิธีที่สุดสำหรับการที่เขาจะเพิ่มค่าใช้ประโยชน์ฯได้คือการทำให้เกิดประโยชน์สินะเนี่ย