GGS:บทที่ 804 คุกเข่าในบัดดล

 

“สมบัติอีกชิ้นอยู่ที่อีกห้องน่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญมาทางนี้ครับ” ซูจิ้งไม่ได้พูดมากความ

เขาพาคนทั้งหมดไปยังห้องที่อยู่ข้างๆกัน ในห้องนั้นมีของบางอย่างที่มีความกว้างประมาณสองเมตรตั้งอยู่กับพื้น คลุมด้วยผ้าสีดำสนิท ถ้ามองจากรูปทรงตอนนี้แล้วแทบจะดูเหมือนคนซะด้วยซ้ำ ทำให้ทุกคนในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเป็นรูปปั้นมนุษย์

 

ซูจิ้งยกผ้าสีดำออกเล็กน้อย เผยให้เห็นว่าสิ่งที่คลุมอยู่นั้นคือท่อนไม้ท่อนหนึ่ง แต่ด้วยการที่ส่วนที่เผยออกมานั้นมีเพียงนิดเดียวทำให้ทั้งสี่เกิดความสงสัยขึ้นในใจจนต้องค่อยๆกระเถิบเข้าไปดูใกล้ๆทีละก้าวอย่างพร้อมเพรียง

“นี่มัน…ไม้กฤษณา!” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยสายตาที่เป็นประกาย

“แถมยังเป็นไม้กฤษณาคุณภาพดีแถมยังดูสวยกว่าของหนานเซียงซะอีก” โจวเทียนรุยพูดออกมา

“มันเป็นไม้หอมที่ดูสวยงามมากๆ จนไม่คิดว่ามันคือไม้กฤษณาเลยนะ” โจวฮงหยวนเองอดไม่ได้จะพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

“คุณซู ไม่ใช่ว่ามันเป็นงานแกะไม้ทั้งชิ้นหรอกหรอ ดูๆไปมันมีคุณภาพดีกว่างานแกะไม้คุณภาพสูงสุดที่ผลิตในฉินอันซะอีก”ซุนหยูเฮงจ้องมองไปยังไม้ขนาดสองเมตรที่อยู่ตรงหน้าที่ยังอยู่ภายใต้ผ้าสีดำอยู่แล้วถามออกมา

นั่นทำให้ทุกคนต้องตั้งถามคำถามในใจขึ้นมาว่าเป็นไปได้ด้วยหรอ

หวังซือหยา โจวเทียนรุย และโจวฮงหยวน ทั้งสามคนทำได้แต่หันไปมองทางซูจิ้งพร้อมกับความหวังที่ว่าไม่ใช่ให้หลุดออกมาจากปากของเขา เพราะหากว่าใช่จริงมันก็ยากที่จะยอมรับได้

 

ในวงการสะสมวัตถุโบราณนั้นมีสามารถแบ่งคนที่ชอมการเก็บสะสมวัตถุโบราณโดยหลักๆแล้วจะมีอยู่สองกลุ่ม

กลุ่มแรกคือคนที่ชอบเก็บสะสมหยก หรือจะเรียกว่า กลุ่มคลั่งหิน ก็ว่าได้ อีกหนึ่งคือ คนที่ชอบเก็บสะสมไม้กฤษณาโดยคนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า กลุ่มหาเพชรในไม้

ซึ่งในกลุ่มนี้จะมีคำศัพท์เฉพาะกลุ่มที่รู้กันในวงในที่ว่า “ไม้มะฮอกกานีขายเป็นตัน ไม้ลูกแพร์ขายเป็นชั่ง และไม้หอมขายเป็นกรัม”

สำหรับไม้หอมนั้นคนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นไม้ที่สื่อถึงความสง่างามและหรูหรา

แม้แต่ในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็มีความต้องการไม้กฤษณาไม่ด้อยไปกว่ากัน เหตุผลว่ากลิ่นของไม้กฤษณาไม่สามารถที่จะเลียนแบบได้ จึงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก

โดยทั่วไปแล้วมีเพียงไม้กฤษณาที่อายุมากกว่า 10 ปีเท่านั้นถึงจะนำมาขายได้ หรือจะกล่าวอีกในหนึ่งคือยิ่งไม้กฤษณาอายุมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีกลิ่นที่ชวนหลงใหลมากขึ้นไปอีก

ไม้กฤษณาที่อายุตั้งแต่หนึ่งร้อยปีขึ้นไปนี้เรียกได้ว่าหาในตลาดได้ยากยิ่ง ไม้กฤษณาที่ดีที่สุดที่เคยมีออกมาในตลาดนั้นเป็นไม้หอมอินเดียที่รู้จักกันในชื่อ คีแนน โดยมีน้ำหนักตากแห้งอยู่ที่หนึ่งหมื่นหยวนต่อกรัม

 

อย่างไรก็ตามไม้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นมีขนาดใหญ่มากแน่นอนว่าไม้ท่อนนี้ย่อมมีราคาสูงโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว

แต่หากว่ามันเป็นไม้ที่แกะสลักด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่าว่าแต่จะขายเป็นกรัมเลย

ด้วยการที่มันถูกนำมาแกะสลักและยังคงขนาดใหญ่แบบนี้ได้ แม้แต่งานไม้จากฉีหนานก็ยังเทียบไม่ติดแบบนี้ ดีไม่ดีอาจต้องขายเป็นมิลลิกรัมก็ได้

“ฮ่าฮ่า อันนี้คงต้องดูด้วยตาตัวเองแล้วหล่ะนะ”

ซูจิ้งพูดจบเขาก็ได้ดึงผ้าออกไปทั้งหมด เผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของไม้ชิ้นนี้

 

ทุกคนในตอนนี้ต่างจ้องมองอย่างไม่กระพริบ พลางหายใจออกแรงๆแทบจะพร้อมเพรียงกัน

ถ้าพวกเขาเข้าใจไม่ผิดนี่คือรูปแกะสลักไม้ขนาดสองเมตรที่ทำจากไม้หอมทั้งหมด

ในตอนนี้ความรู้สึกของพวกเขาคือตกตะลึงจนลืมหายใจเข้าไปเรียบร้อยแล้ว

พวกเขานั้นไม่จำเป็นต้องยืนยันเลยว่ารูปแกะสลักไม้ชิ้นนี้เป็นไม้กฤษณาจริงหรือเปล่าเพราะทั้งลวดลายและกลิ่นหอมนั้นเป็นสิ่งยืนยัน

เพียงแต่ที่พวกเขาต้องตะลึงหนักกว่าเดิมนี้เป็นเพราะว่าไม้นี้แกะออกมาเป็นรูปทรงพระพุทธที่มีสามหน้าและสี่มือ

สองมือบนนั้นกำหมัดเอาไว้ ส่วนมือล่างมือหนึ่งทำการพนมมือข้างเดียว อีกมือหนึ่งเป็นรูปชูนิ้วโป้งแต่ไปอยู่บริเวณปากเหมือนกำลังใช้ปากกัดนิ้วโป้งอยู่

สายตาของรูปสลักกำลังจ้องมองลงล่างประหนึ่งดังระฆังที่มีลูกตุ้มโผล่ออกมา มีผมชี้ตั้งประดุจเปลวเพลิงประหนึ่งดังมีความโกรธอยู่ในใจไม่จบสิ้น

 

หลังจากที่ทุกคนจ้องมองไปยังรูปแกะสลักนี้ต่างก็รู้สึกได้แม้แต่เสียงหัวใจที่กำลังเต้นอยู่

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นพระพุทธรูปที่ช่วยให้ใจสงบได้บ้างเหมือนกันแต่ไม่เคยรู้สึกสงบได้มากเช่นนี้มาก่อน

ความรู้สึกที่พวกเขาได้รับนั้นเหมือนกับว่าได้รับพรจากรูปสลักพระพุทธรูปนี้แล้วต่อให้เจอภูตผีปีศาจร้ายกาจเพียงใดก็ไม่เกรงกลัวอีกต่อไป

 

ทุกคนในตอนนี้ต่างรู้สึกโง่งมในสิ่งที่เห็นจนนิ่งสนิทเหมือนกับทุกคนได้ตายจากโลกนี้ไปแล้วก็ว่าได้

หลังจากนั้นไม่นาน โจวฮงหยุน เสี่ยวไจ๋ และพระอีกรูปหนึ่งก็ทรุดตัวลงคุกเข่าหน้ารูปแกะสลักพระพุทธนี้อย่างเลื่อมใส

หวังซือหยา โจวเทียนรุย และซุนหยูเฮง ทั้งสามคนต้องตกใจกับการที่พระทั้งสามอยู่ก็ทรุดลงไปคุกเข่าในทันที่เช่นกัน

พวกเขาทั้งหมดนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเพียงรูปแกะสลักจะทำให้เกิดความรู้สึกได้ขนาดนี้ ความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้เหมือนกับพระพุทธเจ้าองค์จริงมายืนอยู่ตรงหน้า

 

“พ่อ รูปสลักพระพุทธเจ้านี่มีปรางแบบนี้ด้วยหรอ” โจวเทียนรุยหลังจากนิ่งเงียบไปนานก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา

“นี่คือพระอจละ(บุดงหมิงหวัง,ฟุโดเมียวโอ,พระผู้ไม่เคลื่อนที่ในขณะที่เกิดอารมณ์โกรธ)”

โจวฮงหยวนตอบออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เขาเองก็ได้เห็นวัตถุสิ่งของของซูจิ้งที่ส่งผลให้จิตใจสงบแบบนี้มาก่อนแล้วนั่นก็คือถาดวางลองถ้วยชาสไตล์ญี่ปุ่น

เมื่อเทียบกันแล้วพระอจละองค์นี้มีผลต่อจิตใจไม่ต่างกันเลย ไม่สิอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

ต่อให้ถาดลองน้ำชาถาดนั้นจะช่วยทำให้จิตใจสงบลงก็จริงแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเกิดความเลื่อมใสและศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาแบบนี้

 

“สิ่งๆนี้ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก” ซุนหยูเฮงที่ได้สติกลับมาถึงกลับกล่าวชมออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ

เพราะว่าเขาเองก็ได้เคยเห็นพระพุทธรูปมามากมายหลากหลายรูปแล้วแต่พระอจละองค์นี้ดีกว่าพระพุทธรูปที่เขาเคยเห็นมาทั้งหมดในชีวิต แม้แต่รูปพระพุทธที่เขาอยากจะแย่งกับโจวฮงหยวนก่อนหน้านี้ซะอีก

 

ผู้อาวุโสของเขาเองก็มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่แล้วไม่มีทางที่จะไม่ชอบของขวัญชิ้นนี้อย่างแน่นอน

“ไม่ไม่ไม่ไม่ พระพุทธรูปนี้องค์นี้ก็ไม่ควรจะขาย นายไม่กลัวจะโดนเรียกว่ามารศาสนากันหรือยังไง” โจวฮงหยุนรีบสวนในทันที

“คุณยืมหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธไปแล้วไม่ใช่หรอ ตอนนี้คุณยังจะปล้นพระพุทธรูปไม้องค์นี้ไปอีก ผมไม่สนคุณอีกแล้วว่าคุณจะว่ายังไง ถามหน่อยเหอะนี่จะแกล้งผมรึยังไงกัน”

ซุนหยูเฮงพูดออกมาโดยสีหน้าเย็นชาอย่างเหลืออด

เขาในตอนนี้เริ่มรู้สึกคุกรุ่นอยู่ในใจ ถ้าจะให้เขาเอาจริงล่ะก็ ไม่ว่าใครในตระกูลโจวก็หยุดเขาไม่ได้

“ผมไม่ได้พูดว่าจะนำพระอจละองค์นี้ไปซักหน่อย ผมไม่มีคุณสมบัติพอที่จะอัญเชิญท่านไปได้หรอก แต่ผมก็ไม่ให้คุณนำท่านไปเหมือกัน” โจวฮงหยวนเอ่ยออกมา

“ถ้าคุณไม่สามารถก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ” ซุนหยูเฮงพูดออกมาด้วยท่าทางฉุนเฉียว

 

ความจริงเรื่องนี้สมควรจะจบด้วยดีแล้วแต่อยู่ๆกลับกลายเป็นศึกทางศาสนาอีกครั้ง

ความจริงก็ไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองจะไม่สามารถห้ามอารมณ์ของตัวเองได้หลังจากที่พวกเขาได้เห็นพุทธาณุภาพของพระอจละองค์นี้ แม้แต่หวังซือหยาและโจวเทียนรุยเองก็อยากอัญเชิญไปประดิษฐานยังบ้านตัวเองเพื่อบูชาเหมือนกันด้วยซ้ำ

 

“อย่าได้มีเรื่องกันเลยครับ” โจวเทียนรุยเองทันทีที่ได้สติก็รีบเข้าห้ามศึกในทันทีก่อนที่จะหันไปถามซุนหยูเฮงว่า “คุณซุน ต่อให้พ่อผมหยุดคุณยังไงก็ตาม หากคุณซูต้องการจะขายพระอจละองค์นี้กับคุณ คุณคิดว่าคุณจะพร้อมซื้อรึเปล่าครับ”

ซุนหยูเฮงเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไป หลังจากนั้นซักพักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

คำถามที่โจวเทียนรุยถามเขานั้นทำให้ความโกรธที่คุกรุ่นในใจหายไปอย่างบัดดล

หากซูจิ้งเสนอราคาพระอจละองค์นี้มาซัก 100 ล้านหยวน เขาเองก็ยินดีจะซื้อโดยไม่ต่อเลยซักคำ

อย่างไรก็ตามเขาเองก่อนหน้านี้ก็ได้แอบประเมินไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดผ้าคลุมแล้วว่าราคาตอนนั้นสมควรจะอยู่ 100 ล้านหยวนซึ่งเขารับได้แน่นอน

แต่พอรู้ว่าเป็นพระอจละแล้ว 100 ล้านหยวนไม่มีทางเป็นแน่

พระอจละที่มีพุทธานุภาพขนาดนี้แถมยังแกะจากไม้กฤษณาอีก

ร้อยล้านหยวน แค่เป็นไม้กฤษณาขนาดใหญ่เท่านี้อย่างเดียวก็ยากที่จะมีคนยอมขายแล้ว

 

ซุนหยูเฮงตอนนี้ก็ได้เพียงนิ่งไปเท่านั้น

เขาเองทำท่าจะพูดแต่ก็เปิดปากไม่ออกกลับปิดสนิทยิ่งกว่าเดิมในทุกๆครั้งที่คิดจะพูดอะไรออกมา

นั่นก็เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นความประณีต รายละเอียด ขนาด วัตถุดิบ และรูปร่าง ต่อให้เขาต้องยกกิจการให้ ดีไม่ดีอาจจะไม่พอด้วยซ้ำ

ไม่กี่ปีก่อนศิลปินคนหนึ่งที่ชื่อเชินเซียงได้แกะสลักไม้กรอบกระจกเล็กๆเป็นรูปทิวทัศน์สไตล์จีนด้วยไม้กฤษณาและนำออกประมูลที่งานประมูลฤดูใบไม้ผลิที่เบ่ยจิงด้วยราคา 5.2 ล้านหยวน และมีการปิดประมูลที่ 20.7 ล้านหยวน

หากเทียบงานนั้นกับพระพุทธรูปไม้พระอจละองค์นี้ที่เป็นไม้ท่อนเดียวกันทั้งหมดและมีขนาดกว่าสองเมตรนี่อีกก็สมควรมีราคามากกว่าหลายเท่า

ไม่ต้องพูดถึงการที่แกะสลักจากไม้กฤษณา เพียงแค่รายละเอียดของพระอจละองค์นี้เองก็แทบจะถือได้ว่าประเมินราคาไม่ได้แล้ว หากมีการประมูลจริงๆล่ะก็ 100 ล้านหยวนหรอ ราคาเปิดประมูลยังไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

หลังจากคิดเรื่องนี้ได้ซุนหยูเฮงก็ได้ทำหน้าน่ามู่ทู่ในทันที

ดูเหมือนว่าเขาเองคงจะกระเหี้ยนกระหือรือมากเกินไปหน่อย

ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนกับเขากำลังหิวมากๆแล้วอยู่ๆมีข้าวหน้าเนื้อวัววางอยู่ตรงหน้าแต่มีกำแพงใสที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้ทำให้กินไม่ได้

ช่างเป็นความรู้สึกที่ทำให้จิตใจยุ่งเหยิงดีจริงๆ

แน่นอนว่าสมบัติชิ้นทีสองนี้ดีที่สุดและเหมาะที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ตอนนี้เขาเองก็เริ่มคิดไม่ตกเกี่ยวกับมูลค่าของมัน

ซุนหยูเฮงเริ่มมีความสงสัยในใจขึ้นมาตามมาด้วยการกร่นด่าทอซูจิ้งในใจว่า

ไอ้ตอนที่บอกว่าจะเอาของที่มีค่าพอๆกับหัวใจพระสูตรและพระพุทธออกมา ทำไมมันต้องใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ด้วย แถมยังเป็นงานแกะสลักไม้กฤษณาซะอีก

 

ถ้าเอารูปแกะสลักองค์เล็กๆ หรืออย่างน้อยไม่ใช่งานแกะจากไม้กฤษณานี่นายจะตายรึไงกัน จะเวอร์วังเพื่อ?