ตอนที่ 1102 - ลูกหลานเทพเจ้า

The Divine Nine Dragon Cauldron

ศิษย์น้องสาวหยิบสร้อยหยกออกมาโดยไม่พูดอะไรมันเป็นสร้อยส่งข้อความที่ราชาเขตกลางทิ้งเอาไว้ ฮั่นเสวียนรับมันและฟังดู มันมีคำสั่งของราชาเขตกลางอยู่ในข้อความ
  ศิษย์น้องสามถูกส่งมาขวางฮั่นเสวียนและพานางกลับสำนัก
  “ข้าเองก็ไม่อยากสู้กับดินแดนพรสวรรค์เช่นกันข้ากลับสำนักจะดีกว่า…”
  ฮั่นเสวียนเหยียดตัวและหาวราวเพียงแค่อยากจะบ่มเพาะพลังอย่างสงบ
  แต่นางก็รู้สึกเวียนหัวและโบกมือตัวเองหน้าดวงตา
  “อะไรกันทำไมข้ามองมือไม่ชัด? ทำไมจู่ ๆ ข้าถึงเหนื่อยล่ะ?”
  “เพราะอาหารของเจ้าถูกวางยาที่ทำให้อสูรเนรมิตรหลับได้ยังไงล่ะ!แน่นอนว่าข้าเป็นคนวางยา…”   ศิษย์น้องสามตอบ
  ฮั่นเสวียนมิอาจใช้พลังได้พลังนางสลายไปอย่างรวดเร็ว สติของนางหลุดลอยสู่ความเวิ้งว้าง แต่นางก็ยังฝืนถาม
  “หมายความว่าเจ้าจะ…พาข้ากลับเมืองหลวงแบบนี้รึ?”
  นางรู้ดีว่านี่คือคำสั่งของราชาเขตกลางนางเคยถูกบันทึกว่าหนีออกจากเมืองหลวง อาจารย์นางอาจบอกศิษย์น้องสามให้ทำแบบนี้กับนาง
  “ไม่หรอกข้าจะพาเจ้าไปที่อื่น”
  ศิษย์น้องสามลุกขึ้นยืนแม้นางจะตัวเล็กน่ารัก นางก็คว้าตัวฮั่นเสวียนแบกบนไหล่ได้อย่างง่ายดาย
  ในความสับสนนางได้ยินเสียงของศิษย์น้องสามพูดอย่างเย็นชา
  “ถึงเวลาจัดการให้จบสักทีพี่ซือหยู!”
  ซือหยู?ซือหยูคือผู้ใดกัน? แต่นางก็มิอาจฝืนตัวไม่ให้หลับในอำนาจของยาได้  ศิษย์น้องสามขว้างลูกสนไปข้างหน้าลูกสนได้กระชากมิติออกและพานางเดินทางไปด้วยความเร็วสูง
  …..
  ท่ามกลางทะเลเมฆาจ้าวผาบั่นภูตินั่งสมาธิหันหน้าเข้าหาเขตกลาง
  เขาเบิกตาโพลงเขาทำลายเสี้ยวพลังมิติตรงหน้าด้วยมือเดียว
  บางอย่างในมิติถูกขัดขวางการเดินทางพลังมหาศาลได้ไหลออกมาจากรอยแยกมิติ
  “จ้าวผาบั่นภูติรึ?เจ้ารอข้าอยู่หรือ?”
  ผู้สวมชุดอันยิ่งใหญ่ก้าวออกมาจากรอยแยกมิติเขาคือราชาเขตกลางผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง!
  จ้าวผาบั่นภูติพยักหน้า
  “ถูกแล้วข้าสัญญาคนผู้หนึ่งไว้ว่าจะต้องถ่วงเวลาเจ้าเก้าวัน”
  นั่นคือสัญญาระหว่างเขากับซือหยูเขาต้องหยุดราชาเขตกลางเก้าวัน เพียงเท่านั้นก็พอ
  มิเช่นนั้นซือหยูจะถูกราชาเขตกลางสังหารถ้ามันเกิดขึ้น ทุกอย่างที่จ้าวผาบั่นภูติทำจะสูญเปล่า
  ราชาเขตกลางสีหน้านิ่งเฉย
  “ดูสิไม่คิดเลยว่ามดปลวกจะทำให้ราชาเงามาต่อสู้แทนได้ ข้าประเมินมันต่ำไป”
  ราชาเขตกลางนำมือไพล่หลัง
  “ข้าจะจ่ายให้เจ้าเป็นสองเท่า…”
  เขาพูดอย่างเย็นชา
  “หลีกทางให้ข้าซะ”
  ในฐานะที่เป็นราชาในตำนานคนที่สิบพลังของจ้าวผาบั่นภูตินั้นเป็นความลับอยู่เสมอ ไม่มีใครรู้ว่าเขาปรากฏครั้งแรกที่ใด เขามีที่มาจากไหน ราวกับว่าเขาอุบัติขึ้นมาในคืนเดียวด้วยพลังอันมิอาจหยุดยั้ง เขาได้ปกครองสำนักมืดในทวีป จากนั้นจึงก่อตั้งผาบั่นภูติขึ้นมา
  นอกจากจะเป็นความจำเป็นราชาเขตกลางจะไม่มีวันประมือกับเขา มันไม่มีค่าใดนอกจากการเสียเวลา
  “เขาเสนอสิ่งที่เจ้าให้ไม่ได้ถ้าเจ้าไม่อยากสู้กับข้า เจ้าต้องอยู่ตรงนี้เก้าวัน ถึงตอนนั้นเจ้าจะเป็นอิสระ”
  จ้าวผาบั่นภูติพูดอย่างนุ่มนวลแต่ชุดดำของเขากำลังโบกสะบัดตามแรงของพลัง
  ราชาเขตกลางเงียบกริบถ้าหากซือหยูสัญญาว่าจะให้หม้อเก้ามังกรกับจ้าวผา มันก็คงจะเป็นสิ่งที่เขาให้ไม่ได้จริง ๆ
  “จะอย่างไรเจ้าก็ต้องหยุดข้าให้ได้หรือ?”
  แรงกดดันเอ่อล้นออกมาจากราชาเขตกลางในไม่กี่วินาที เมฆาบนท้องนภาได้กลายเป็นสีทองสว่างราวกับมีวีรบุรุษลงมาจากสวรรค์
  แต่จ้าวผาบั่นภูติยังคงยืนนิ่งเขาปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมาเช่นกัน เขาอัญเชิญเมฆาทมิฬที่ร้องคำรามลั่นนภาออกมา ราวกับว่าวิบัติสวรรค์กำลังจะเกิดขึ้น เมฆวายุและเมฆาสีทองกำลังจะเข้าห้ำหั่นกัน
  “ถ้าเจ้าไม่ฟังคำเตือนข้า…”
  คนในระยะเห็นท้องนภาแบ่งแยกเป็นสองครึ่งหนึ่งมืดครึ้ม อีกครึ่งเป็นสีทองกระจ่าง
  ทันทีที่ทั้งสองหยุดพูดคุยกันท้องนภาทั้งสองก็เข้าปะทะกัน
  ทั้งจ้าวผาและราชาเขตกลางมิได้ขยับตัวจากจุดที่ลอยอยู่เลย
  ราวกับทั้งสองมิได้ขยับตัวแต่แท้จริงแล้วทั้งสองได้ซัดกระบวนท่าใส่กันหลายร้อยครั้งในเสี้ยววินาที!
  โลหิตทมิฬไหลออกมาจากมุมปากจ้าวผา
  ราชาเขตกลางตัวสั่นเล็กน้อยเขาแปลกใจ
  “อะไรกัน!ใครจะไปคิดว่าราชาเงามีพลังถึงเพียงนี้?”
  จ้าวผาเช็ดโลหิตที่มุมปากและหัวเราะเบาๆ  “เกรงว่าไม่มีใครรู้เช่นกันว่าราชาเขตกลางได้เข้าใกล้ความเป็นเทพไปแล้ว เจ้าคือคนที่ปกปิดพลังเอาไว้มากที่สุด มากกว่าที่ราชาเขตคนอื่นทำ!”
  “ถ้าเจ้ารู้แล้วใยยังไม่หลีกทาง? เจ้าไม่มีวันชนะข้า…”
  ราชาเขตกลางพูดอย่างไร้ความรู้สึก
  จ้าวผาส่ายหน้า
  “ไม่มีพ่อค้าหน้าไหนยอมขาดทุนในการลงทุนหรอกนะ!สู้กับเจ้า…ตัวข้าก็มากพอแล้ว”
  เขายิ้มอย่างขมขื่น…ในใจ
  ‘เจ้าหนูถ่วงเวลาเก้าวันเห็นจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว อย่างมากคงได้สักหกวัน ส่วนอีกสามวัน เจ้าต้องปกป้องตัวเองแล้ว!’
  ….
  ในซากตำหนักโลหิตซือหยูลืมตาและถอนหายใจยอมแพ้
  แม้จะมีน้ำผึ้งร้อยบุพผาและพลังเร่งเวลาเขาก็เติบโตในภาษาอสูรและเก้ามังกรอสูรน้อยกว่าที่คาด
  แต่เขากำลังถูกขวางด้วยพลังที่มองไม่เห็น
  ซือหยูเงยหน้ามองนภาดวงตาของคนนอกเห็นเพียงฟ้าครามกระจ่างใส แต่สำหรับเขา มันคือวายุเมฆาอันมืดมิดที่ไร้แสงสาดส่อง
  วิบัติสวรรค์ได้กลายเป็นเมฆาพร้อมที่จะปลดปล่อยพลังออกมาทุกเมื่อ
  วิบัติสวรรค์กำลังหยุดลงในขั้นสุดท้ายของการก่อตัว
  ซือหยูปัดฝุ่นบนชุดและลุกขึ้นยืนมองเขาเก็บคุกเทวะห้าธาตุและประตูชีวาล่องด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
  “เข้ามา!เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
  ราวกับคำพูดของเขาได้ท้าทายวิบัติสวรรค์
  เมฆครึ้มเดือดพล่านราวกับเกลียวคลื่น
  ท้องนภาในระยะหลายหมื่นลี้ร้องคำรามด้วยความคลั่งแค้น
  ตู้ม!
  สายฟ้ากระชากสวรรค์ลงมาสู่ผืนธรณีฉีกผืนดินจนแบกแย่ง พื้นสั่นจากแรงปะทะอันรุนแรง
  ซากตำหนักโลหิตเบื้องล่างแหลกสลายเป็นฝุ่นควันป่าขังภูติที่ปกคลุมพื้นที่หลายล้านลี้จมสู่ความวิปโยคไปกับทุกชีวิตในผืนป่า
  หุบเขาเก่าแก่แบ่งแยกออกจากันในเสียงสายฟ้าคำราม ภูเขาหลายล้านลูกและแม่น้ำหลายสายได้กลายเป็นสิ่งที่ไร้บรรยากาศของชีวิต
  ณที่แห่งหนึ่ง สตรีชุดขาวเดินอยู่ที่ขอบเมฆา นางมีกระบี่เล่มยาวบนแผ่นหลัง นางราวกับมือกระบี่จากต่างโลก
  แม้เสียงคำรามของสายฟ้าจะดังลั่นชีวิตนับล้านจะดับสูญ เครื่องนุ่งห่มของนางกลับไม่ได้รับผลกระทบ
  ดวงตาสดใสของนางมองทะลวงผ่านได้หนึ่งล้านลี้นางมองและพุ่งทะยานไปหาซือหยู
  “วิบัติแห่งสามสิบเก้ามีคนในจิวโจวที่สามารถผ่านวิบัติเช่นนี้ได้รึ? เขาคือลูกหลานของเทพเจ้ารึ?”
  นางหยุดเดินนางไม่คิดจะรบกวนเขา
  วิบัติสวรรค์สามสิบเก้าจะเกิดขึ้นเฉพาะกับยอดฝีมือที่มีพลังขัดต่อกฎเกณฑ์ของสวรรค์ซึ่งคนเหล่านั้นมักจะเป็นลูกหลานของเทพ
  “วิบัติสามสิบเก้าแบ่งเป็นแบบแกร่งและแบบเบาวิบัติครั้งนี้จะเป็นเช่นใดกัน”
  ณตำหนักโลหิต
  ซือหยูไม่รู้ตัวเลยว่าหลายล้านลี้ไกลออกไปจะมีตัวตนที่น่ากลัวสังเกตเขาอยู่ในความเงียบ
  ในเวลาเดียวกันภายในเมฆาเดือดพล่าน สายฟ้าดำสนิทราวกับน้ำหมึกค่อย ๆ ซัดลงมา
  มันไม่เหมือนกับสายฟ้าอื่นสายฟ้าดำสนิทสายนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันมิได้มีรูปลักษณ์ดั่งสายฟ้าแต่เป็นขนวิหค มันเป็นขนนกทมิฬ
  ซือหยูไม่เคยเห็นสายฟ้าดำสนิทเช่นนี้มาก่อนไม่ต้องพูดถึงสายฟ้าที่รูปร่างเป็นขนนก
  ล้านลี้ไกลออกไปสตรีในชุดขาวตกตะลึง
  “ยอดฝีมือคนนั้นกำลังจะเจอวิบัติสวรรค์สินะยังเป็นวิบัติสวรรค์อันดับหนึ่งอีกด้วย…วิบัติขนวิหคสายฟ้า”
  วิบัติสวรรค์สามสิบเก้าเป็นแบ่งเก้าระดับตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงเก้า ยิ่งอันดับสูงเท่าใด พลังก็ยิ่งมากเท่านั้น
  แม้จะเป็นระดับต่ำสุดอย่างระดับหนึ่งผู้ที่สามารถรอดชีวิตก็มีอยู่น้อยนิด มันคือสิ่งที่ใช้ขัดขวางลูกหลานเหล่าเทพได้เป็นอย่างดี
  มันเกิดขึ้นเพื่อขัดขวางมิได้เทพถือกำเนิดขึ้น
  หากชี้แนะลูกหลานเทพและสอนสั่งด้วยตัวเองต่อให้เป็นยอดฝีมือทั่วไป คนผู้นั้นก็ย่อมเป็นเทพได้โดยง่ายไม่ใช่หรือ?   แม้จะมิได้รับการสอนสั่งโดยตรงลูกหลานของเทพก็ย่อมมีทรัพยากรมหาศาล ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังมีสายโลหิตเทพจากบรรพบุรุษอีก
  ถ้าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปลูกหลานเทพทั้งหมดจะได้กลายเป็นเทพ และยอดฝวีมือทั่วไปก็จะสูญเสียโอกาสที่ได้ขึ้นเป็นเทพไปตลอดกาล
  นี่คือเหตุผลที่ลูกหลานของเทพจะต้องผ่านวิบัติสามสิบเก้าไปหากมุ่งมั่นจะเข้าสู่ความเป็นเทพ
  ดังนั้นจึงมีเพียงลูกหลานเทพที่สำเร็จขั้นสูงสุดของเซียนที่กำลังจะหมดอายุขัยเท่านั้นที่คิดจะกลายเป็นเทพมันคือการต่อสู้จนตัวตายครั้งสุดท้ายของพวกเขา เพื่อให้บรรลุการเป็นเทพ
  “ก็แค่วิบัติระดับแรกจะต้องเป็นลูกหลานเทพที่กำลังจะตายเป็นแน่ แก่เฒ่าทั้งยังอ่อนแอ ไม่มีหวังจะได้ผ่านจุดสุดยอดของเซียน”   สตรีชุดขาวกล่าวสรุป
  วิบัติระดับแรกสื่อให้เห็นว่าเขาไม่เป็นภัยและวิบัติระดับแรกก็มากพอที่จะสะบั้นเส้นทางสู่การเป็นเทพของเขา!
  “ใยลูกหลานเทพต้องเลือกผ่านวิบัติในจิวโจวเลบ่า?เขาไม่กลัวจะทำร้ายดวงวิญญาณในจิวโจวหรือ?”
  นางไม่พอใจนักลำแสงกระบี่สองสายพุ่งออกจากดวงตาของนาง แล่นผ่านระยะหลายล้านลี้ในคราเดียว
  ไม่ว่าแสงกระบี่จะผ่านไปที่ใดมันจะบันทึกสิ่งที่แล่นผ่านเอาไว้ในรัศมี
  เมื่อลำแสงกลับสู่ลูกตาของนางมันได้บอกรายละเอียดทุกอย่างในระยะล้านลี้กับนาง
  การใช้พลังกระบี่เช่นนี้ไม่มีสองรองใคร
  แต่นางก็ต้องอ้าปากค้างเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสีหน้าสงบนิ่งของนางละลายหายไป
  “อะไรกัน?ทำไมถึงเป็นชายอายุยี่สิบที่กำลังจะผ่านวิบัตินี้เล่า? เดี๋ยวสิ เขาเป็นแค่ภูติระดับเก้ารึ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
  วิบัติสามสิบเก้าจะเกิดขึ้นเฉพาะกับลูกหลานเทพยอดฝีมือธรรมดาย่อมไม่เคยพบเจอกับวิบัติชนิดนี้
  และมันก็จะเกิดขึ้นเมื่อเซียนกำลังจะทะลวงพลังเป็นเทพเท่านั้น
  สิ่งที่นางได้เห็นนั้นไม่เหมือนกับความรู้ที่นางมีเลย
  เขาเป็นมนุษย์ธรรมดายิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นแค่ภูติระดับเก้า
  สวรรค์รู้สึกว่าต้องกำจัดคนผู้นี้จนต้องใช้วิบัติสามสิบเก้า!
  “เขาเป็นใครกัน?ภูติอายุยี่สิบปีมิได้หายากในทวีป แล้วใยเบื้องบนจึงนับเขาเป็นภัยจนต้องกำจัดทิ้งไปจากโลกด้วย?”
  นางครุ่นคิดอย่างหนัก
  วิบัติระดับแรกหากใช้กับเซียนที่กำลังจะตาย นั่นก็แสดงว่าเบื้องบนไม่เห็นเซียนผู้นั้นเป็นภัย
  แต่ในเวลานี้มันมิได้ใช้กับเซียนหรืออสูรเนรมิตรหรือแม้แต่จ้าวเทวะ แต่มันเกิดขึ้นกับภูติระดับเก้า!
  เบื้องบนมองชายหนุ่มผู้นี้ยิ่งใหญ่ปานใด?นางเดาได้จากวิบัติที่เกิดขึ้นกับเขา
  สตรีชุดขาวจ้องมองไม่วางตา
  เหนือตำหนักโลหิตซือหยูจ้องมองสายฟ้าดำสนิทรูปขนนกอย่างเคร่งเครียด เขาขนลุกไปทั้งตัว สัญชาตญาณบอกว่ามันมีภัยถึงชีวิต
  “…วิบัติครั้งนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
  ซือหยูเหลือบมองระยะรอบกายล้านลี้ที่ไร้ซึ่งชีวิตและละสายตามามองสายฟ้าพร้อมกับขนลุกซู่เขามิอาจขจัดความรู้สึกที่คิดว่าบางที แค่บางที…อาจมีอะไรผิดแปลกไป