พอจัดการกับอันซวี่กรุ๊ปแล้ว ทำให้หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือลดความยุ่งยากลงไปได้ไม่น้อย พร้อมกันนั้นยังเป็นการตัดไม้ข่มนามให้คนอื่นเห็นอีกด้วย ให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่จะข่มเหงกันได้ง่ายๆ!
เรื่องน่ายินดีแบบนี้ย่อมต้องไปฉลองกันสักหน่อย เซียวจิ่งสือโทรหาหลินหว่าน น่าเสียดายที่ตอนนั้นหลินหว่านกำลังเข้ากล้องอยู่ มือถือปิดเสียง จึงไม่รู้ว่าเซียวจิ่งสือโทรหาเธอ
เซียวจิ่งสือมองดูมือถือที่ถูกตัดสายไปโดยอัตโนมัติแล้วก็พอจะรู้ว่าตอนนี้หลินหว่านไม่สะดวกรับโทรศัพท์ งั้นก็ช่างเถอะ รออีกเดี๋ยวค่อยโทรหาเธอ ถึงยังไงก็ไม่รีบอยู่แล้ว
……
ต่อเมื่อหลินหว่านถ่ายเสร็จเตรียมจะออกมาแล้ว จึงเห็นว่ามือถือมีสายที่ไม่ได้รับจากเซียวจิ่งสือ เธอมองดูเวลาแล้วเห็นว่าผ่านไปตั้งสองสามชั่วโมงแล้ว ตอนนั้นเธอกำลังเข้ากล้อง…
ทำไมถึงโทรหาเธอตอนนี้นะ? ดูท่าคงไม่ใช่เรื่องด่วนกระมัง ไม่อย่างนั้นเขาคงติดต่อผู้จัดการของเธอหรือไม่ก็มาหาเธอแล้ว
ถึงแม้จะคิดอย่างนั้น แต่มือไม่ได้ชักช้าเลย หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเธอเดินออกไปพลางโทรกลับหาเซียวจิ่งสือ
ปลายสายมีคนรับอย่างรวดเร็ว เหมือนกับรอเฝ้าอยู่หน้าโทรศัพท์รอเธอโทรหาอย่างนั้น
“เป็นไงบ้าง คุณเสร็จธุระแล้วใช่ไหม? ผมมีข่าวดีจะบอกคุณ”
ปลายสายพอมีคนรับยังไม่รอให้หลินหว่านพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงของเซียวจิ่งสือดังขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว แม้จะคุยกันทางโทรศัพท์แต่หลินหว่านยังรู้สึกได้ถึงความยินดีปรีดาของเซียวจิ่งสือ ในหัวของเธอผุดภาพเขากำลังยิ้มหน้าบานท่าทางเริงรื่นชื่นใจ
หลินหว่านก็ถูกบรรยากาศความรื่นเริงของเขาทำให้พลอยดีใจไปด้วย อมยิ้มแล้วถามเขาว่า “ทำไมหรือคะ เกิดอะไรขึ้นถึงกับทำให้คุณดีใจขนาดนี้?”
“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ ซะด้วยสิ อันซวี่กรุ๊ปอยู่ในกำมือของผมแล้วจนได้ เป็นไง น่าดีใจไหมเล่า? ไม่ทราบว่าคุณหลินจะกรุณาให้เกียรติมาร่วมฉลองกับผมสักหน่อยจะได้ไหมครับ?” ขณะพูดน้ำเสียงยังเผยถึงความฮึกเหิมได้ใจ เหมือนเด็กที่รอการให้รางวัลอย่างนั้น
พอเห็นเขาเป็นแบบนี้ หลินหว่านก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ทำไมคะ ท่านประธานเซียวผู้ยิ่งใหญ่ขาดคนทานข้าวด้วยหรือคะ? ท่านแค่กวักมือเรียก ต้องมีคนเป็นฝูงมาเสนอตัวแน่ค่ะ”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะได้โอกาสนี้นี่ ถึงพวกเขาจะดียังไงก็ไม่ใช่หลินหว่าน”
ไม่มีคำพูดหรูหราอลังการ และไม่มีคำหวานปานน้ำผึ้ง และยิ่งไม่มีคำสาบานชั่วฟ้าดินสลาย แต่มีแค่ประโยคที่แสนจะธรรมดาคำหนึ่ง ที่ทำให้หลินหว่านซาบซึ้งใจได้ถึงเพียงนี้ เธอรู้สึกว่า นี่คงเป็นคำบอกรักที่ไพเราะน่าฟังที่สุดในโลกแล้วกระมัง! เพิ่งนึกว่าจะพูดอะไรอีกดีนะ เงยหน้าขึ้นก็เห็นว่ามีคนโบกมือเรียกเธออยู่ ทำไงได้ แค่นาทีเดียวอารมณ์หวานที่กำลังก่อตัวขึ้นก็แตกกระจายสลายตัวไปหมด
“ได้ค่ะ ฉันทราบแล้ว เดี๋ยวคุณส่งที่อยู่มานะคะ ทางนี้ฉันยังมีธุระต้องจัดการอีกนิดหน่อย พอเสร็จแล้วจะไปที่นั่นเลย คุณไม่ต้องมารับฉันนะคะ”
เดิมทีเซียวจิ่งสือยังจะรอให้หลินหว่านชมเขาสักหลายคำ ผลปรากฏว่าคิดไม่ถึงจะมีคนมาขัดจังหวะซะได้ เสียอารมณ์จริงๆ แต่ว่า…พอนึกว่าอีกเดี๋ยวจะออกไปทานข้าวกับหลินหว่าน…เฮ่ย ช่างเถอะๆ รีบไปดูก่อนดีกว่าว่าจะทานอะไรดี!
……
หลินหว่านวางสายไปแล้ว ก็เดินเข้าไปหาคนคนนั้น “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหาฉันมีธุระอะไรหรือคะ?”
“เอ่อ ซุปตาร์หลิน ทำตัวห่างเหินกันไปทำไม ผมมาชวนคุณคุยเล่นบ้างไม่ได้รึไง?”
“ถ้าจะคุยเล่นก็ขอตัวค่ะ ผู้กำกับ ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรฉันก็ขอตัวก่อนค่ะ ฉันยังมีเรื่องอื่นต้องทำนะคะ!”
คนคนนั้นทำไมจะฟังไม่ออกถึงน้ำเสียงแข็งกระด้างปานนี้ของหลินหว่าน แต่ยังได้แต่ข่มความโกรธของตัวเองไว้ ใครใช้ให้ตอนนี้เขาด้อยกว่าคนอื่นกันเล่า
“เอ้อ…คืออย่างนี้ เมื่อก่อนผมทำเรื่องผิดต่อคุณเซียวจิ่งสือไว้ ผมมาคิดดูแล้วรู้สึกไม่ดี ก็เลย…หวังว่าพวกคุณจะไม่ถือสากับความผิดของคนตัวเล็กๆ อย่างผม”
“หึ ขอโทษเหรอ? เอากองไว้เถอะ ฉันไม่ยอมรับหรอก!”
“ซุปตาร์หลิน คุณทำแบบนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา มีเพื่อนมากขึ้นจะได้มีลู่ทางเพิ่มขึ้นไม่ดีหรือไง?”
“เพื่อนเหรอ? อย่างคุณเนี่ยนะ ฉันไม่ขอมีเลยจะดีกว่า ถ้าเพื่อนฉันเป็นอย่างคุณกันหมด ฉันอยู่ไปจะมีความหมายอะไร?”
พูดจบพอดีมือถือมีสัญญาณข้อความเข้า คลิ้กดู เป็นข้อความจากเซียวจิ่งสือบอกสถานที่ทานข้าวกับเธอ หลินหว่านยกมุมปากยิ้มน้อยๆ จากนั้นไม่รอให้คนคนนั้นพูดอะไรอีก เธอหมุนตัวเดินตรงไปทางรถที่จอดอยู่
ทิ้งไว้เพียงแค่เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นเป็นจังหวะ…
หลินหว่านไม่ได้เสียอารมณ์ไปกับเรื่องเล็กน้อยที่แทรกเข้ามานี้เลย เหมือนกับเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทั้งสองทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุขแล้วกลับบ้านด้วยกัน
ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่กระทบหลินหว่าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ถือสา พอกลับถึงบ้านเรื่องแรกที่ทำก็คือเขียนบทความขนาดยาวฉบับหนึ่งโพสต์ขึ้นเน็ต โดยเล่าอย่างละเอียดว่าผู้กำกับคนนั้นเมื่อก่อนเหยียบย่ำเซียวจิ่งสือไว้อย่างไร รวมทั้งวันนี้ที่เขามาหาเธอด้วย
ชั่วขณะนั้นเสียงก่นด่าประณามดังไปทั่วเน็ต
……
อันที่จริงไม่ใช่แค่ผู้กำกับคนนั้นที่มาขอคืนดีด้วย ถึงยังไงนี่ก็เป็นยุคข่าวสารสังคมออนไลน์ ข่าวที่อันซวี่กรุ๊ปพ่ายแพ้หมดรูปได้แพร่สะพัดไปทั่วอย่างรวดเร็ว
พวกผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทเซียวจิ่งสือต่างพากันจับตาดูเขาทุกความเคลื่อนไหว จู่ๆ ก็เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่รู้
ตอนที่เพิ่งได้ยินเสียงเล่าลือ พวกเขายังไม่คิดจะทำอะไร เข้าใจว่าคงไม่น่าจะทำให้เกิดเรื่องอะไรใหญ่โตขึ้นได้ แต่นึกไม่ถึงว่าเซียวจิ่งสือจะสามารถขนาดนี้
บริษัทที่เดิมทีกำลังจะล้มละลายไม่เพียงไม่ล้ม ยังฟื้นฟูกิจการกลับมาอย่างดี แถมยังดีกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะเสียอีก พวกเขาต่างก็แอบนึกเสียดายอยู่ลึกๆ
ตอนนี้เซียวจิ่งสือมีหน้ามีตาเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้ พวกเขาจึงได้แต่นึกแค้นใจอยู่ และมีบางคนเริ่มจะอดรนทนไม่ไหวคิดจะก่อคลื่นใต้น้ำ
กล่าวกันว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์ที่คงอยู่ตลอดกาล แน่นอนว่าที่ไหนมีผลประโยชน์ก็ย่อมจะหันไปทางนั้น
ผู้ถือหุ้นหลายรายรวมตัวกัน ร่วมกันปรึกษาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ สุดท้ายทุกคนลงมติว่าจะไปคุยรายละเอียดกับเซียวจิ่งสือ ถึงยังไงบริษัทของเขาเพิ่งจะฟื้นตัวขึ้นมา ยังต้องการกำลังคน พวกเขาไม่เชื่อว่าเซียวจิ่งสือจะกล้าไล่พวกเขาออก
พูดแล้วก็ต้องทำ หลายคนนั้นพากันมาหาเซียวจิ่งสือ “จิ่งสือ ตอนนี้คุณแกร่งกล้าขนาดนี้แล้ว พวกเราไม่คิดเลยว่าคุณจะมีความสามารถขนาดนี้ เมื่อก่อนพวกเราทำผิดที่เอาใจออกห่าง ตอนนี้พวกเรารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว บริษัทคุณกำลังฟื้นตัวคงต้องการกำลังคนกระมัง? เอาอย่างนี้นะ พวกเราจะรีบกลับมาช่วยคุณก็แล้วกัน”
“ใช่แล้ว พวกเรารู้ว่าเมื่อก่อนทำผิดต่อคุณไว้ แต่พวกเราก็มีความจำเป็น ยังต้องเลี้ยงดูครอบครัวอีก พวกเราจึงต้องทำลงไปแบบนั้น”
หนึ่งในนั้นแสดงความคิดของตัวเองออกมาอย่างเปิดอก ส่วนคนอื่นๆ ยังพากันออกตัวกับเซียวจิ่งสือถึงความจำเป็นบังคับสารพัดที่ต้องทำลงไป จุดประสงค์ก็มีเพียงแค่หนึ่งเดียว นั่นคือพวกเขาอยากจะกลับมาบริษัทอีกครั้ง