บทที่ 808 ความโกรธของท่านอ๋องเย่

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 808 ความโกรธของท่านอ๋องเย่

“พระสนมเอกพูดคุยกับเจ้า เจ้ากลับไม่สนใจ เจ้ากล้าหาญนัก!”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองที่นั่งข้างกาย จากนั้นกล่าวตรัสว่า”นั่งเถิด”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

จวินเซียวเซียวกล่าวขอบคุณแล้วเดินไปนั่ง แววตาจ้องมองลูกสาวที่อยู่ทางด้านนั้น

ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มรู้สึกตัวได้ว่า พระตำหนักหลังนี้สุดท้ายผู้ที่ชนะเป็นใครแล้ว

จวินเซียวเซียวคล้ายดั่งอ่อนโยน แต่ทว่าสุขุมนุ่มลึกมาก

พระตำหนักหลังขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่มีคน แต่สุดท้ายอย่างไรพระองค์ก็เป็นผู้ชาย

ตอนนี้มีลูกสาวแล้ว อายุเท่านี้นึกถึงท่านพ่อของเธอ ไม่แน่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้อาจจะอิจฉาชื่นชมก็ได้

ลูกสาวของพระองค์เอง ก็จะต้องชื่นชอบทะนุถนอมเป็นอย่างมากขึ้นอย่างแน่นอน แล้วจวินเซียวเซียวจะได้รับการโปรดปราณด้วย

เห็นท่าทางที่เย่อหยิ่งจองหองของจวินซือซือ แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับจวินเซียวเซียว แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่ค่อยเข้าใจคือจวินซือซือเป็นคนอย่างนั้น และจวินเซียวเซียวไม่ใช่คนโง่ เหตุใดถึงได้สมคบคิดเข้ากับจวินซือซือได้?

น่าเสียดายที่เกิดเรื่องกับจวินซือซือเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็ยังจะสามารถสอบถามได้บ้าง

ย้อนกลับไปดู จะสามารถตื่นได้หรือไม่?

เสี่ยวอวิ๋นลงมือรุนแรงเกินไป ตีให้ตายไม่ได้ยังต้องวางยาพิษอีก

จวินซือซือน่าสงสารมากพอแล้ว!

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจ้าตีเฆี่ยนคน เป็นนางก่อนหรือเจ้าก่อนมันไม่สำคัญแล้ว เมื่อคืนพระสนมเอกพูดคุยกับข้าเรื่องนี้ แน่นอนเป็นสาเหตุของจวินซือซือ ข้าก็ไม่ได้ชื่นชอบจวินซือซือสักเท่าไหร่ นางเข้ามาในพระราชวัง ขอร้องพระสนมเอกให้มอบพระราชทานการแต่งงานแก่นาง พระสนมเอกเองก็ลำบากใจ นางเคยแต่งงานมาแล้ว แล้วยังเป็นคนที่ไม่ระมัดระวังกิริยาวาจา ข้าจนปัญญามากเหลือเกิน

แต่ที่นางทำให้คนโมโหที่สุดคือชอบใจเฉินอวิ๋นเจี๋ย ร้องไห้จะตายให้ได้ ข้าก็เลอะเลือนชั่วขณะ ถึงได้ตอบตกลง

คิดไม่ถึงเลยว่านางจะไม่มีวาสนา ก็ถูกพระชายาเย่ตีเสียแล้ว

ข้านึกว่าพระชายาเย่ไม่พอใจที่ข้าพระราชทานราชาภิเษกให้แก่แม่ทัพน้อยเฉินถึงได้ลงมือตีคน ดูเหมือนว่าจะเป็นการเข้าใจผิด”

“ฝ่าบาท เดิมทีก็ไม่ควรเพคะ นางร้องไห้ฝ่าบาทก็ตอบตกลงแล้ว หม่อมฉันรู้สึกทุกข์ใจมาโดยตลอด ถึงจะพูดอย่างไรแม่ทัพน้อยเฉินก็เป็นน้องชายของท่านพี่หญิง แม้ว่าซือซือจะเป็นน้องสาวของหม่อมฉัน แต่ทว่ากลับไม่คู่ควรกับแม่ทัพน้อยเลยเพคะ”

หากจวินเซียวเซียวไม่พูด ฉีเฟยอวิ๋นจะมีความรู้สึกที่สงวนนางไว้ วันนี้กลับกันครึ่งหนึ่งยังไม่มีเลย

“พระชายาเย่ ข้ากับท่านไม่เจอกันเสียนาน ช่วงเย็นนี้อยู่ก่อนเถิด”จวินเซียวเซียวพูดอย่างนั้น คงเห็นว่าตนเองเป็นนายหญิงใหญ่ของพระราชวังแล้วเสียกระมัง

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ที่เรือนมีคนป่วย ยังต้องกลับไป ขอบพระทัยพระสนมเอกเป็นอย่างมาก วันหลังเถิดนะ”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตบลูกสาวที่อยู่ในอ้อมแขนเบาๆ กล่าวตรัสว่า“เรื่องที่เฉินอวิ๋นเจี๋ยพุ่งถลันเข้าวัดฉือหนิง พระชายาเย่ก็เข้าร่วมยุ่งเกี่ยวด้วยหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า“ไม่เพคะ ไปทันแล้ว ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นถูกใครสั่งบงการ คิดไม่ถึงว่าจะมาขวางทางการไปพบฮองเฮาของเฉินอวิ๋นเจี๋ย เนื่องด้วยฮองเฮานั้นขาดสารอาหาร ทุกวันเหน็ดเหนื่อยตรากตรำป่วยหนัก เฉินอวิ๋นเจี๋ยเลยไปเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าคนชั่วเหล่านั้นจะทำร้ายตีคน แล้วยังพยายามรั้งขวางไว้ หม่อมฉันโมโหจนจัดการตีคนเพคะ

เรื่องนี้หม่อมฉันกำลังจะกราบทูลฝ่าบาท เรื่องนี้ท่านอ๋องเย่ได้ทำการตรวจสอบแล้ว กำลังจะเตรียมไต่สวนเพคะ

วัดฉือหนิงเป็นวัดของราชวงศ์ ฮองเฮาเป็นพระมเหสีคนแรกของฝ่าบาท แม้ว่าจะโกนผมเข้าวัดฟังธรรมแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ของเมืองต้าเหลียง เหตุใดถึงได้รับการรังแกเช่นนี้ มันทำให้คนโมโหจริงๆเพคะ

หากไม่ลงโทษตามกฏหมายบ้านเมือง ไม่ปรกติแน่!”

คำที่ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวออกมา ทำให้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ชะงักงัน ตรัสถามว่า“ฮองเฮาป่วยหรือ?”

“เพคะ!”

“ยังต้องเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ ไม่ได้กินดีอยู่ดีหรือ?”

“เพคะ!”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เอาองค์หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนคืนให้จวินเซียวเซียว จากนั้นลุกขึ้นแล้วเดินลงไป

เดินมาถึงตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นแล้วตรัสถามว่า“เจ้าพูดความจริงหรือ?”

“เรื่องนี้ท่านอ๋องเย่สามารถเป็นพยานได้เพคะ ยังมีเฉินอวิ๋นเจี๋ยด้วย หากฝ่าบาทไม่เชื่อ สามารถถามท่านพ่อหม่อมฉันได้ ท่านพ่อก็ทราบเรื่องนี้เพคะ”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้อึมครึมลง ตรัสว่า“คนกลุ่มนี้ควรจะต้องดูแล ฮองเฮาไปถือศีลภาวนา ไม่ได้ไปรับโทษ กินอยู่ไม่ดี และยังต้องเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ กลับกันจริงๆ!”

“เพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นตอบรับ

“อ๋องเย่ เจ้าไปตรวจสอบดูว่าผู้ใดกันที่มันทำผิดต่อกฏเกณฑ์บ้านเมือง!”

“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เตรียมตัวจะหมุนเดินกลับไป เดินไปไม่กี่ก้าวหยุดลงมองฉีเฟยอวิ๋น กล่าวตรัสขึ้นว่า“เจ้าสั่งให้ราชครูจวินไปขอโทษขอขมาเจ้าที่จวนแม่ทัพด้วย มีเรื่องนี้ด้วยหรือ?”

“กราบทูลฝ่าบาท เป็นคำกล่าวตอนเดือดดาลเพคะ แต่ราชครูจวินก็ไม่ได้ไปแต่อย่างใดเพคะ”

“เหตุใดถึงพูดว่าไปมาแล้วล่ะ?”

“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นกัดลิ้นตายก็ไม่ยอมรับหรอก

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองเธอครู่หนึ่ง ตรัสว่า“นานมากแล้วที่เสด็จแม่ไม่เจอพวกเจ้า ไปเยี่ยมเยียนเถิด เสด็จแม่คิดถึงจนกลายเป็นป่วยไข้เสียแล้ว”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสเสร็จแล้วก็ไป ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่กราบทูลลาเสร็จจึงพากันกลับออกมาก่อน

ออกมาแล้วฉีเฟยอวิ๋นมองซ้ายขวา มองเห็นขันทีน้อยผู้หนึ่งที่ไม่ใช่เสี่ยวสวีจื่อ ฉีเฟยอวิ๋นก็เลยแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ทั้งสองมุ่งหน้าไปที่พระตำหนักเฉาเฟิ่ง หนานกงเย่จึงมือของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นมองบริเวณด้านในพระราชวัง ไม่ได้มาหลายเดือน ภายในพระราชวังไม่เหมือนเดิมแล้ว

“ท่านอ๋อง เสด็จแม่สุขภาพแข็งแรงมาโดยตลอด เหตุใดถึงป่วยแล้วล่ะเพคะ?”ฉีเฟยอวิ๋นไม่เชื่อว่าหนานกงเย่ไม่รู้เรื่องเหล่านี้

ท่านอ๋องตวนอยู่เมืองหลวง เหตุใดถึงไม่รู้เรื่องนี้?

“ข้ามอบเรื่องราวแก่อ๋องตวนแล้ว จะรู้ได้อย่างไร?”หนานกงเย่พาฉีเฟยอวิ๋นไปพระตำหนักเฉาเฟิ่ง ด้านหน้าพระตำหนักเฉาเฟิ่งมีขันทีสองคน พบเห็นหนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋นต่างทยอยคุกเข่าลง

หนานกงเย่เดินเข้าไปเลย ไม่ได้สนใจอะไร

ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่ได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงไอแล้ว

ไห่กงกงกล่าวด้วยความกังวลใจว่า“พระพันปี จะดีได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ยาของหมอหลวงหูกินอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น!”

“ข้าไม่ตายหรอก เจ้าดูหน้าเจ้าสิตั้งแต่เช้ายันเย็นนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน เห็นแล้วโมโห”

พระพันปีพยายามลุกขึ้น อิงที่หัวเตียง จัดการกับชุดของตัวเองและมีอาการหอบอยู่บ้าง

“พระพันปี ไม่อย่างนั้นพวกเราอุ้มเสี่ยวซื่อจื่อมากันเถิด เพื่อให้พระพันปีมีความสุขนะพ่ะย่ะค่ะ”ไห่กงกงกล่าวขึ้น

พระพันปีส่ายหน้า หลุบตามองขา กล่าวตรัสขึ้นว่า“วันนี้ข้าสุขภาพไม่ดี อย่าให้พวกเขามาป่วยเลย ให้พวกเขาอยู่ที่จวนอ๋องเย่เถิด ไม่ใช่บอกว่าแม่ทัพฉีมาแล้วหรือ เขาไม่มาเลย?”

“ไม่กี่วันมานี้ราชครูจวินมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่เขาก็ไม่ได้มาด้วย”

ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ยืนมองอยู่อีกด้าน เหล่าบ่าวนางกำนัลต่างทยอยคุกเข่าลงกล่าวว่า“ถวายบังคมเพคะท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่”

พระพันปีชะงักงัน หันศีรษะกลับไปมองด้านหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า“อวิ๋นอวิ๋นถวายบังคมเพคะเสด็จแม่”

“ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่ กลับมากันแล้ว! กระหม่อมถวายบังคมท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ”

“มิเป็นไร”หนานกงเย่สาวเท้าเดินเข้าหาพระพันปี ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามด้วย จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงนั่งลงจับแมะชีพจรของพระพันปี เพื่อตรวจร่างกายให้กับพระพันปี

ตรวจเสร็จฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่ กล่าวว่า“ร่างกายอ่อนแอมาก ขาดสารอาหารเพคะ!”

“อะไรนะ?”ราวกับว่าหนานกงเย่ฟังไม่ชัด ขาดสารอาหาร?

ฉีเฟยอวิ๋นกอบกุมมืออีกข้างของพระพันปี เพื่อตรวจอีกครั้ง มั่นใจแล้วว่าขาดสารอาหาร แต่ก็มีชาตามแขนขาด้วย สภาพจิตใจอ่อนแอไม่มีชีวิตชีวา แต่ไม่ใช่การได้รับพิษ

ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยมือจากพระพันปี กล่าวว่า“เสด็จแม่ หม่อมฉันขอดูตาเสด็จแม่ทีเพคะ”

พระพันปีให้ความร่วมมือดี ฉีเฟยอวิ๋นดูตาแล้วอ้าปากดูด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า“ท่านอ๋อง โรคนี้แปลกประหลาดมาก พูดตามหลักเหตุผลกินอยู่อาศัยในพระราชวังไม่มีทางที่จะขาดสารอาหารได้หรอกเพคะ”

“อืม”

หนานกงเย่มองเหล่านางกำนัลบนพื้น รับสั่งว่า“นอกเหนือจากนางกำนัลสี่คนที่อยู่ข้างกายเสด็จแม่ แม่นมสี่คน ไห่กงกง คนอื่นดูและไม่ดี ทั้งหมดต้องรับบทลงโทษประหารชีวิต”

“ไว้ชีวิตด้วย ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตเถิดเพคะ!”

คนทั้งพระตำหนักเฉาเฟิ่งมีทั้งหมดร้อยกว่าคน ทั้งหมดจัดการให้ตาย

ไห่กงกงสั่นระริกครู่หนึ่ง หนานกงเย่กล่าวว่า“ร่างกายของพระพันปีเจ็บป่วย พวกเจ้าดูแลไม่ดี สมควรแก่การตาย!ไห่กงกง บอกตูไห่เสีย!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ไห่กงกงรีบไปแจ้งกล่าว

ฉีเฟยอวิ๋นมองด้านนอกห้อง เห็นเจ้าอีกาน้อยบินเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นหยิบกระดาษกับพู่กันจีนมา จากนั้นเขียนแล้วผูกใส่ขาเจ้าอีกาน้อย เจ้าอีกาน้อยจึงบินออกไป

อาอวี้รับจดหมายอยู่ด้านนอก แล้วกลับไปเอาหีบยามา

ตูไห่ล้อมรอบพระตำหนักเฉาเฟิ่งอย่างรวดเร็ว คนของพระตำหนักเฉาเฟิ่งทั้งหมดต่างถูกลากไปตัดศีรษะ