ตอนที่ 82 - 1 พ่อรูปงามดุจผกากลางมวลเมฆ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

“ข้ามีของสิ่งหนึ่งจะให้พี่ดู” แม่หนูน้อยเอ่ยวาจาอย่างตรงไปตรงมา

 

 

“ได้สิ ในที่สุดเจ้าก็ปักผ้าได้แล้วใช่หรือไม่” จิ่งเหิงปัวเดินตามนางไปอย่างดีอกดีใจ แต่สุดท้ายแล้วยงเสวี่ยกลับเดินออกจากประตูตำหนัก

 

 

“เจ้าพาข้ามาทำอะไรที่นี่” ผ่านไปเค่อหนึ่งจิ่งเหิงปัวก็จ้องมองสิ่งปลูกสร้างเบื้องหน้าอย่างไม่เข้าใจ ที่นี่ก็เป็นวังบรรทมเดิมของราชินีไม่ใช่หรือ?

 

 

แต่เดิมวังบรรทมของราชินีไกลจากจิ้งถิงของกงอิ้นมาก นางทอดทิ้งวังบรรทมแห่งนี้แล้วย้ายไปข้างเรือนกงอิ้น ตอนนี้เมื่อมองดูตำหนักสูงใหญ่แห่งนี้แล้วก็ไม่ค่อยเข้ากันกับตำหนักทางนั้นเท่าไรนัก

 

 

“ตามข้ามา” ยงเสวี่ยจูงมือของนางเดินเข้าประตูไป

 

 

วังบรรทมของราชินีย่อมมีกฎระเบียบของตนเอง นอกจากรูปแบบของลานกว้างและวังบรรทมจะใหญ่โตกว่าสถานที่ซึ่งจิ่งเหิงปัวอาศัยอยู่ในตอนนี้เล็กน้อยแล้ว การจัดวางส่วนอื่นก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

 

 

วังบรรทมว่างเปล่าไม่มีคนพักอาศัย ชาววังที่พรมน้ำกวาดพื้นเป็นกิจวัตรทุกวันยามนี้ยังมาไม่ถึง

 

 

ยงเสวี่ยพาจิ่งเหิงปัวตรงไปยังห้องบรรทมอย่างชำนาญเส้นทาง จนกระทั่งหยุดลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งภายในห้อง

 

 

ตอนนี้จิ่งเหิงปัวกลับไม่ถามอะไรออกมาอีก นางกอดอกมองดูว่ายงเสวี่ยจะเล่นลูกไม้อะไรด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ปกติเด็กหญิงตัวน้อยมักจะเงียบขรึมไม่ค่อยพูด นางคงไม่ทำเรื่องอะไรที่ไร้ความหมายอย่างแน่นอน

 

 

จากนั้นนางก็เบิกตากว้าง

 

 

ยงเสวี่ยปีนขึ้นไปบนโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะยื่นมือออกมาดึงลิ้นชักออกแล้วหยิบหวีเล่มหนึ่งออกมา หวีเป็นสีดำบริสุทธิ์หายาก มันวาวเกลี้ยงเกลา รูปร่างโค้งเว้า เห็นรอยเสียดสีรำไร เพียงมองก็รู้ว่าผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน

 

 

จากนั้นยงเสวี่ยมองดูคันฉ่องทองแดงบนโต๊ะเครื่องแป้ง คันฉ่องทองแดงมีลวดลายประดับทั้งสองข้าง ปกติแล้วจะใช้วัสดุไม้หลายชนิดแกะสลักเป็นลวดลาย ลวดลายประดับของคันฉ่องทองแดงบานนี้ดูท่าทางธรรมดายิ่งนัก แต่ละข้างมีหงส์หนึ่งตัว ขนหางสามเส้นของหงส์แต่ละตัวกวัดแกว่งสู่ภายในทั้งซ้ายทั้งขวา ล้อมรอบคันฉ่องทองแดงไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูรูปทรงของหวีนั้นแล้วมองดูร่องรอยสามรอยบนขนหางแกะสลัก ในใจกระตุกวูบ

 

 

ยงเสวี่ยหยิบหวีขึ้น ก่อนพาดหวีไปทางขนหางหงส์ หวีฝังเข้าสู่กลางร่องรอยขนหางพอดี

 

 

ยงเสวี่ยฝังเข้าไปแต่ละข้างทั้งซ้ายทั้งขวาสามครั้ง

 

 

แกร๊ก เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา

 

 

เอ๊ะ บนผนังไม่มีความเคลื่อนไหวนะ

 

 

ยงเสวี่ยถอนหายใจ ก่อนจะคว้าแขนเสื้อของนางไว้แล้วชี้ไปบนเตียง

 

 

จิ่งเหิงปัวกะพริบตา เอ๊ะ บนเตียงก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเหมือนกันนะ

 

 

ยงเสวี่ยถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะขึ้นยืนบนแท่นเหยียบ พลิกที่นอนแพรบนเตียงออกดังฟึ่บ

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นไม้พื้นของเตียงค่อยๆ เปิดออกดุจประตูใหญ่อย่างตื่นตะลึง

 

 

ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เพียงแค่ไม้พื้นเตียง

 

 

หลังจากไม้พื้นเตียงพลิกออกก็ไม่ได้ปรากฏเป็นอุโมงค์ประหนึ่งที่นางจินตนาการไว้ แต่กลับปรากฏเป็นพื้นใต้เตียง ในขณะเดียวกันนั้น พื้นห้องก็เริ่มแยกออกด้วย จิ่งเหิงปัวก้มหน้าปากอ้าตาค้าง มองเห็นเส้นเส้นหนึ่งค่อยๆ แยกออกจากฝ่าเท้าตนเอง เสมือนร่องลึกมหึมาที่แตกร้าวจากฝ่าเท้าตนเองด้วยแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว…

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะยงเสวี่ยจูงนางไปอีกฝั่งอย่างรวดเร็วด้วยเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้นางคงจะทิ่มลงไปใต้ดินด้วยท่วงท่าเหยียดอ้าขากว้าง

 

 

ยงเสวี่ยจูงนางเข้าใกล้โต๊ะเครื่องแป้ง พื้นใต้โต๊ะเครื่องแป้งกลับคงที่ ในยามปกติคงมองไม่ออก แต่ตอนนี้พื้นทั่วห้องกำลังแยกออก จิ่งเหิงปัวถึงได้พบว่าพื้นข้างใต้บริเวณเครื่องเรือนทุกชิ้นที่มีอยู่ไม่มากภายในห้องนั้นคงที่ทั้งหมด รับรองได้ว่าหลังจากทั่วพื้นเปิดออก ข้าวของเครื่องนอนจะไม่ร่วงหล่นลงไปในพื้นที่นั้น

 

 

ขณะนี้ จุดสิ้นสุดของบันไดที่อยู่เบื้องหน้าพวกนางเป็นประตูใต้ดินมหึมาบานหนึ่ง สัญลักษณ์หงส์ทองกางปีกสองข้างทะยานฟ้า รอบด้านมีเปลวไฟลุกโชนลอยล่อง ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชนมีแผนภาพรูปร่างแปลกประหลาดจำนวนสิบสี่ภาพ จิ่งเหิงปัวคิดอยู่ชั่วครู่ ก็พบว่าเป็นแผนที่ของหกแคว้นแปดชนเผ่า

 

 

“นี่เป็นฝีมือของผู้ใดกัน…” นางพึมพำด้วยความตื่นตะลึงว่า “พื้นทั้งวังบรรทมเป็นประตูใหญ่บานหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็นึกไม่ถึงว่าบนโลกใบนี้ยังมีประตูอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ด้วย ต้องสร้างให้โอ่อ่าทรงพลังขนาดนี้เชียวหรือ…”

 

 

บันไดทั้งยาวทั้งกว้างแถวหนึ่งมุ่งตรงสู่ใต้ดิน จิ่งเหิงปัวมองดูบันไดนั้นแล้วนึกถึงบันไดกับดักพลิกพื้นในนิยายปล้นสุสานขึ้นมาอย่างง่ายดายยิ่ง ตอนนี้เองยงเสวี่ยก็กลับจูงมือของนางเดินลงไปดังตึกตักแล้ว

 

 

“นี่ๆ ระวังกับดัก…” จิ่งเหิงปัวยังตะโกนไม่สิ้นเสียง ร่างก็ถูกยงเสวี่ยจูงมุ่งสู่ข้างล่างไปในทันที

 

 

ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะตนเอง กล่าวกันว่าผู้โง่เขลาจะไร้ความหวาดกลัว

 

 

ยงเสวี่ยจูงนางยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ นางมองดูจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวมองดูนาง

 

 

“เปิดประตูสิ” จิ่งเหิงปัวรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเร่งเร้านางขึ้น

 

 

สุดท้ายแล้วยงเสวี่ยก็ส่ายหน้าออกมา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “ข้ารู้เพียงวิธีมาถึงที่นี่ แต่ไม่รู้วิธีการเปิดประตู”

 

 

จิ่งเหิงปัวตะลึงงัน เงยหน้ามองประตูใหญ่เบื้องหน้า ร้อยละเจ็ดสิบของประตูทั้งบานเป็นทองคำ ที่ซึ่งมีสีสันทั้งหมดประดับด้วยอัญมณี ส่วนประกอบทองคำอัญมณีน่าตื่นตะลึง หรูหรารุ่งโรจน์ ต่อให้ย้ายไปยังตำหนักหลวงของตำหนักอวี้จ้าวก็ไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย

 

 

แท้จริงแล้ว ตำหนักอวี้จ้าวไม่ได้หรูหราฟุ่มเฟือย กล่าวกันว่าเริ่มตั้งแต่ห้ารัชสมัยก่อนหน้า ตำหนักอวี้จ้าวได้ละทิ้งรูปแบบการตกแต่งประดับอัญมณีงดงามสะกดผู้คนในกาลก่อนกลายเป็นรูปแบบเคร่งขรึมเรียบง่าย รูปแบบเช่นนี้เจริญรุ่งเรืองในเงื้อมมือของกงอิ้นผู้โปรดปรานความเรียบง่ายบริสุทธิ์ ตอนนี้นอกจากวังบรรทมของจิ่งเหิงปัวเองแล้ว สถานที่อื่นในตำหนักอวี้จ้าวก็พบเห็นทองคำอัญมณีมากมายได้ยากยิ่ง

 

 

รูปแบบการตกแต่งเช่นนี้พิสูจน์ได้ว่าประตูบานนี้ หรือแม้แต่สิ่งปลูกสร้างใต้ดินทั้งหลังนี้ไม่ใช่ฝีมือของราชสำนักช่วงห้ารัชสมัย

 

 

จิ่งเหิงปัวพบว่าการแกะสลักทั้งหมดบนบานประตูนั้นเป็นการแกะสลักนูนออกมา นางลองหยั่งเชิงยกมือออกไปผลักดูสักหน่อย ก่อนพบว่าเคลื่อนไหวได้ทั้งหมดดั่งคาดการณ์

 

 

หรือว่าต้องรวบรวมแผนที่ของหกแคว้นแปดชนเผ่า ง่ายดายขนาดนี้เชียวเหรอ?

 

 

“ยงเสวี่ย ช่วยหน่อย” นางลองหยั่งเชิงให้ยงเสวี่ยประคองนางไว้ เคลื่อนย้ายภาพสัญลักษณ์สองแคว้นที่ใกล้ตนเองมากที่สุดตามลำดับของหกแคว้นแปดชนเผ่าในความทรงจำ

 

 

เพิ่งเคลื่อนย้ายเสร็จ ก็พลันได้ยินว่าบนศีรษะมีเสียงดัง ปัง!

 

 

จิ่งเหิงปัวตะโกนว่า “แย่แล้ว!” ไม่ทันที่นางได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ คว้ายงเสวี่ยไว้แล้วหายตัวไป

 

 

พลั่ก! ชั้นวางกระถางต้นไม้ชิ้นหนึ่งที่ลอยอยู่บนศีรษะร่วงหล่นลงมา กระแทกลงตรงที่ซึ่งนางยืนอยู่เมื่อครู่อย่างรุนแรงพอดี ถ้าไม่ใช่เพราะนางหายตัวได้ว่องไว ตอนนี้ศีรษะก็คงจะแตกกระจายเสียแล้ว

 

 

“แบบนี้ก็ได้หรือ?” จิ่งเหิงปัวปากอ้าตาค้างอีกครั้ง…เครื่องเรือนภายในห้องล้วนเป็นอาวุธลับกับดัก?

 

 

ก่อนหน้านี้นางแค่ตื่นตะลึงและประหลาดใจกับการออกแบบเช่นนี้ พื้นทั่วทั้งห้องเป็นประตูใหญ่ ซ้ำยังตั้งใจทำให้ตำแหน่งของเครื่องเรือนคงเดิม คล้ายมีความรู้สึกไม่กลัวเสียเวลาหรือกระทำเกินความจำเป็น ตอนนี้กลับรู้สึกว่าผู้ออกแบบกับดักต้องมีอุปนิสัยพิเศษอย่างยิ่งแน่นอน ดุเดือดเลือดพล่านตามใจตน กระทำเกินความคาดหมาย เมื่อเริ่มกับดัก ไม่ว่าใครก็ตามจะต้องป้องกันกับดักที่พุ่งออกมาจากภายในประตูก่อน ใครจะไปนึกถึงเครื่องเรือนบนศีรษะกัน?

 

 

ไม่รู้ว่าทำไม จิ่งเหิงปัวยังรู้สึกว่าผู้ออกแบบกับดักนี้เหมือนจะเป็นผู้หญิง เหมือนว่ามีเพียงผู้หญิงเท่านั้นถึงจะนึกได้ว่าต้องใช้เครื่องเรือนเป็นส่วนประกอบ

 

 

นางแอบยินดีอยู่ในใจว่าโชคดีที่สิ่งที่ตนเองเคลื่อนย้ายไม่ใช่ภาพสัญลักษณ์ของหกแคว้น มิฉะนั้นสิ่งที่ร่วงลงมาอาจจะเป็นเตียง?

 

 

“แบบนี้ไม่ได้” จิ่งเหิงปัวลูบคางใคร่ครวญ กล่าวว่า “ไม่ใช่เรียงตามแผนที่ปัจจุบัน”

 

 

ถึงบอกว่าคงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นอย่างไรเล่า

 

 

ถ้าบอกว่าตามแผนที่แต่ก่อน แบบนั้นคงซับซ้อนแล้ว หกแคว้นแปดชนเผ่าสู้รบวุ่นวายไม่หยุดหย่อน แย่งชิงแหล่งทรัพยากรและอาณาบริเวณอย่างต่อเนื่อง แทบทุกสองสามสมัยจะปรากฏการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต แผนที่การเปลี่ยนแปลงอาณาเขตในประวัติศาสตร์ต้าฮวงมีมากพอกับหนังสือหนาเล่มหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าควรใช้ของสมัยไหน?

 

 

แผนที่ที่จิ่งเหิงปัวจำได้มีจำกัด ซ้ำยังเพราะกงอิ้นบังคับให้นางท่อง ส่วนใหญ่เป็นแผนที่ปัจจุบันและแผนที่ยามสถาปนาแคว้น

 

 

นางมองดูประตูใหญ่และรูปแบบสิ่งปลูกสร้างรอบด้าน ประตูใหม่มากไม่เหมือนผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน แต่ถ้าใช้งานน้อยอาจจะใหม่มากเช่นกัน ส่วนรูปแบบอาจจะเป็นของก่อนหน้าห้ารัชสมัยหรือสมัยอื่นก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

 

 

สุดท้ายนางก็ปรบมือครั้งหนึ่ง แล้วร้องว่า “มาพนันกัน!”

 

 

นึกถึงแผนที่สมัยจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นตามความทรงจำ นางก็เคลื่อนย้ายรูปภาพอย่างระมัดระวังอีกครั้ง เคลื่อนย้ายไปพลางถามยงเสวี่ยอย่างตึงเครียดไม่หยุดหย่อนว่า “บนศีรษะเป็นอย่างไร บนศีรษะเป็นอย่างไร หากพบสิ่งผิดปกติก็รีบบอกให้ข้าหายตัวนะ…”

 

 

คลิก! เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อรวบรวมแผนที่ยามสถาปนาแคว้นเสร็จสิ้น ก็ไม่มีเครื่องเรือนร่วงหล่นมาดั่งคาดการณ์ จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบานแล้วร้องว่า “เสร็จแล้ว…เอ๊ะ? ทำไมประตูไม่เปิด?”

 

 

นางมองดูประตูใหญ่ที่ยังคงไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงเศษเสี้ยวอย่างไม่เข้าใจ ไม่มีเครื่องเรือนร่วงหล่น แต่ประตูไม่ได้เปิดออก นี่หมายความว่าอะไร?

 

 

“หรือว่าจะขาดขั้นตอนใดไป” นางถามยงเสวี่ย

 

 

ยงเสวี่ยกะพริบตา กำลังพยายามหวนรำลึก

 

 

นางพลันเริ่มเคลื่อนฝีเท้าค่อยๆ เดินรอบหนึ่งตามวงโคจรของห้องเดิม เดินไปพลางเงยหน้ามองไปพลาง เปรียบเทียบตำแหน่งเครื่องเรือนเหนือศีรษะ

 

 

นางเดินไปยังตำแหน่งข้างเตียงก่อน ยืนอยู่ชั่วครู่ แล้วเดินไปยังตำแหน่งห้องลองเสื้อผ้าของนาง ยืนอยู่ชั่วครู่ จากนั้นออกมาจากห้องเล็กห้องนั้น ยืนอยู่กึ่งกลางห้องชั่วครู่ สุดท้ายก็เดินไปยังตำแหน่งหนึ่งใต้โต๊ะเครื่องแป้ง

 

 

การกระทำทั้งหมดนั้นดั่งเดินเตร่ในห้องตามใจชอบ

 

 

ทว่าสุดท้ายยามนางหยุดลงใต้โต๊ะเครื่องแป้ง ฝีเท้าก็พลันจมลงไปข้างใต้ ในเวลาเดียวกันจิ่งเหิงปัวก็ได้ยินเสียง แกร๊ก ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาเสียงหนึ่ง

 

 

นางหันหน้ากลับมา ร้องขึ้นยินดีว่า “สำเร็จแล้ว!”

 

 

พอประตูเปิดออก ก็ไม่ใช่ความมืดมิดเหมือนที่จินตนาการไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวกับยงเสวี่ยยืนอยู่ตรงปากประตู เงยหน้าเพียงครั้ง ก่อนชะงักงันเสียแล้ว