ตอนที่ 82 - 2 พ่อรูปงามดุจผกากลางมวลเมฆ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

แสงอาทิตย์ผ่านพ้นไปอีกหลายวัน 

 

 

หลายวันมานี้จิ่งเหิงปัวมักใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คล้ายว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่บางอย่าง นางรื้อค้นใต้เตียงบ่อยครั้ง หยิบของสิ่งหนึ่งมามองดูแล้ววางคืนกลับไป 

 

 

หลายวันมานี้นางอยากไปจิ้งถิงแต่ถูกขวางไว้เสมอ นางไม่อยากหายตัวเข้าไปเช่นกัน กงอิ้นลำบากอยู่แล้ว นางไม่อยากทำให้เขาลำบากใจอีก บางครั้งนางก็จะเรียกอาซั่นมาพบเพื่อเรียนรู้ศาสตร์การแปลงโฉมของนาง เวลาส่วนใหญ่ก็นั่งหมดอาลัยตายอยาก นางคิดอยู่ว่าจะหาเหตุผลสักข้อเพื่อลองออกจากวังดู แต่ยังไม่ทันได้เดินพ้นประตูตำหนัก จื่อหรุ่ยก็พลันมาบอกว่าเถี่ยซิงเจ๋อมาน้อมถวายบังคมราชินี 

 

 

หมู่นี้เถี่ยซิงเจ๋อเข้าวังบ่อยครั้ง บางครั้งบางคราวเขาจะมาเยี่ยมเยียนนางเช่นกัน การไปมาหาสู่ของเขากับจิ่งเหิงปัวได้รับการอนุญาตจากกงอิ้นเป็นกรณีพิเศษ ทุกผู้คนต่างมองเห็นหนทางแห่งความสุขสันต์ 

 

 

ทุกคนก็ชื่นชอบเถี่ยซิงเจ๋อเช่นกัน เขาบุคลิกดีนิสัยเปิดเผย ใจกว้างจริงใจ เก่งในการเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น ยามอยู่กับจิ่งเหิงปัวนั้นรักษามารยาทระมัดระวังยิ่งนัก และไม่เอ่ยถึงเรื่องราวการเมืองในราชสำนัก ส่วนใหญ่จะสนทนาเรื่องสัพเพเหระหรือไม่ก็เรื่องเล่าลือในตลาด ทุกคนต่างชอบฟัง พอเขามา นางกำนัลในตำหนักของจิ่งเหิงปัวจะคอยส่งชาส่งน้ำ ท่าทางดูขยันขันแข็งกันเป็นพิเศษ 

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินว่าเขามาก็ดีใจเช่นกัน คนคนนี้นับเป็นเพื่อนต่างเพศคนแรกหลังจากนางมาถึงต้าฮวง เหยียลี่ว์ฉีคือศัตรูครึ่งร่าง อีชีเรียกภรรยาเต็มปากชื่นชอบล้อเล่น ไม่มีใครให้ความรู้สึกไว้ใจได้เสมือนเถี่ยซิงเจ๋อ 

 

 

“วันนี้บุ่มบ่ามมาขอเข้าเฝ้าราชินีด้วยเพราะในตลาดตี้เกอมีของแปลกใหม่ จึงทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จไปทอดพระเนตรโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ” พอเถี่ยซิงเจ๋อได้เอ่ยปากก็ชวนจิ่งเหิงปัวออกไปเที่ยวเล่นแล้ว 

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ่งถูกอกถูกใจเป็นอย่างมาก วันนี้นางมีธุระเช่นกัน เมื่อส่งยงเสวี่ยกับชุ่ยเจี่ยออกไปแล้ว ก็กำลังคิดจะลองออกไปดูอยู่เลย 

 

 

“เตรียมรถม้า! ออกไปเดินตลาด!” 

 

 

รถม้าออกจากจิ้งถิง 

 

 

เงาสีขาวร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าหน้าต่างห้องหนังสือของจิ้งถิง จ้องมองรถม้าราชินีจากไป 

 

 

“นายท่าน” เหมิงหู่ปรากฏกายข้างหลังเขาอย่างเงียบเชียบ เอ่ยว่า “ช่วงนี้ไม่เหมาะสมหากราชินีจะทรงเสด็จออกนอกวัง…” 

 

 

เขานิ่งเงียบ ลมหายใจกระทบกระดาษหน้าต่างอย่างเงียบสงบ แผ่วเบาและละเอียด 

 

 

“หากต้องคุมขังนางชั่วชีวิตถึงจะแลกความสงบสุขมาได้” ผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงเอ่ยสืบต่อว่า “เช่นนั้นข้าก็ยอมมอบความอิสระแสนอันตรายแก่นาง” 

 

 

เหมิงหู่ถอยลงไปอย่างเงียบเชียบ เดินไปยังข้างประตู ได้ยินเขาเอ่ยเสียงแผ่วเบาอีกว่า “ข้าคิดว่านางเองก็หวังเช่นนี้ด้วย” 

 

 

… 

 

 

“ฝ่าบาท ออกนอกประตูวังแล้ว กระหม่อมคงเรียกพระองค์ได้ตามใจชอบแล้วสินะ” เถี่ยซิงเจ๋อเดินไปยังหน้ารถม้าของจิ่งเหิงปัว รับนางลงจากรถ ก่อนเงยหน้าขึ้นหัวเราะ 

 

 

“แน่นอนๆ เรียกข้าว่าเสี่ยวจิ่งได้เลย ข้าจะเรียกเจ้าว่าอาเจ๋อแล้วกัน” จิ่งเหิงปัวชะโงกศีรษะออกมาอย่างกระตือรือร้น สะบัดม่านโปร่งบนหมวกออก มองดูรอบด้านแล้วกล่าวว่า “เจ้าพาข้ามาสถานที่แห่งใดกัน…เอ๊ะ ที่นี่ก็ดูคุ้นตานัก” 

 

 

“ที่นี่คือถนนหมิงฉวี ถัดเข้าไปอีกสักหน่อยคือตรอกซีเกอเพคะ” จื่อหรุ่ยที่เดินตามหลังนางเอ่ยแนะนำขึ้น สีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย 

 

 

จิ่งเหิงปัวเข้าใจในทันที ปรบมือตนเองแล้วกล่าวว่า “ตรอกซีเกอน่ะเป็นสถานที่เจ็บปวดของเจ้า บาดแผลเพิ่งหายได้ไม่นาน หากรู้สึกว่าไม่สบายใจก็จงรออยู่บนรถม้าอย่าได้ลงมา” 

 

 

“ไม่เป็นไร ผ่านไปแล้วเพคะ” จื่อหรุ่ยผลิแย้มรอยยิ้มอ่อนโยน ยืนอยู่ข้างกายจิ่งเหิงปัว 

 

 

ราชินีก็เป็นเช่นนี้ ดูคล้ายไร้ระเบียบวินัยทำตนตามใจชอบ ทว่าแท้จริงแล้วกลับละเอียดรอบคอบเอาใจใส่ การที่ได้ติดตามนาง จื่อหรุ่ยก็รู้สึกว่าตนเองช่างโชคดียิ่งนัก 

 

 

“พอเอ่ยขึ้นมาแล้วบาดแผลของเจ้าก็หายดีรวดเร็วยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวนึกถึงเรื่องนี้ แล้วกล่าวว่า “ยาของในวังไม่เลวเลย” 

 

 

“เรื่องนี้ฝ่าบาททรงไม่ทราบว่า ด้วยเพราะยาที่เถี่ยซื่อจื่อมอบให้หม่อมฉัน บาดแผลบนลิ้นของหม่อมฉันนี้ถึงได้สมานอย่างรวดเร็วยิ่งนักเพคะ” ซย่าจื่อหรุ่ยเอ่ยขอบคุณเถี่ยซิงเจ๋อด้วยรอยยิ้มแพรวพราว เถี่ยซิงเจ๋อโบกมือไม่หยุด หัวเราะด้วยเสียงร่าเริงแล้วเอ่ยว่า “เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ขุนนางหญิงซย่าก็ได้ขอบคุณไปแล้ว เหตุใดต้องขอบคุณอีกเล่า” 

 

 

ซย่าจื่อหรุ่ยก้มหน้าลงเล็กน้อย แก้มทั้งสองข้างคล้ายมีสีแดงอ่อน 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูสองคนนี้ แล้วคิดว่าจื่อหรุ่ยคงไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ต่อซื่อจื่อท่านนี้หรอกมั้ง? สองคนยืนอยู่ด้วยกัน นับได้ว่าเป็นคู่สร้างคู่สมอย่างแท้จริง แม้เถี่ยซิงเจ๋อจะเป็นองค์ประกันแต่ฐานะไม่ได้ต่ำต้อย อีกทั้งเขากับกงอิ้นก็มีความสนิทสนมกันอยู่ ความเป็นไปได้ที่จะกลับชนเผ่าอย่างปลอดภัยในภายภาคหน้าสูงเป็นอย่างมาก หากจื่อหรุ่ยแต่งงานกับเขา ประการแรกเขาก็สามารถเป็นที่พึ่งพิงที่ดีสำหรับจื่อหรุ่ยได้ อีกประการหนึ่ง ในอนาคเถี่ยซิงเจ๋ออาจจะกลับเผ่าเฉินเถี่ยสืบทอดตำแหน่งผู้นำชนเผ่า หากก่อเกิดความสัมพันธ์แนบแน่นกับนางและกงอิ้นด้วยเหตุนี้ได้ เท่ากับพวกนางมีพันธมิตรที่ไว้ใจได้เพิ่มมาคนหนึ่งเช่นกัน 

 

 

จิ่งเหิงปัวมักจะรู้สึกว่าท่ามกลางการเมืองในราชสำนักที่ผสานกันเหนียวแน่น ความช่วยเหลือที่ตนเองมอบให้กงอิ้นได้มีจำกัด หากทำให้ขุนนางหญิงข้างกายตนเองกลายเป็นฮูหยินของเถี่ยซิงเจ๋อได้ นับว่าช่วยเขามัดเถี่ยซิงเจ๋อไว้บนรถม้าศึกฝ่ายตนเองอย่างแน่นหนายิ่งขึ้น 

 

 

น่าเสียดายที่เถี่ยซิงเจ๋อมีคู่หมั้นอยู่แล้ว อีกทั้งเหมือนว่าหากไม่ใช่หญิงนางนั้นเขาคงจะไม่สมรสด้วย เพียงแต่ดูจากสายตาที่เถี่ยซิงเจ๋อมองซย่าจื่อหรุ่ยคนั้นล้ายมีความแตกต่างเล็กน้อยเพียงนั้นเช่นกัน ในใจจิ่งเหิงปัวเกิดความสงสัยขึ้นมา ตั้งใจหยั่งเชิง กล่าวขึ้นว่า “นี่ๆ ข้าว่านะจื่อหรุ่ย บาดแผลของเจ้ายังไม่หายดีหรอก ยามที่เอ่ยวาจาดูเหมือนยังจะไม่ชัดเจนอยู่บ้าง” นางกล่าวพลางผลักซย่าจื่อหรุ่ยไปทางเถี่ยซิงเจ๋อ แล้วกล่าวต่อไปว่า “ให้อาเจ๋อดูให้เจ้าอีกดีกว่า?” 

 

 

“ยังไม่หายดีหรือ” ท่าทางของเถี่ยซิงเจ๋อจริงจังขึ้นมาโดยพลัน ก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าจะนำยามาให้เจ้าอีกสักห่อ?” 

 

 

จื่อหรุ่ยถูกจิ่งเหิงปัวผลักเพียงครั้ง สาวน้อยก็มีความรู้สึกไว จนเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาโดยพลัน ยามเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งนั้นใบหน้าก็แดงซ่านไปหมดแล้ว เสียงแผ่วเบาลงเช่นกัน เอ่ยขึ้นว่า “จริงๆ แล้ว…ก็ดีขึ้นอยู่บ้าง…” 

 

 

นางไม่อยากเอ่ยว่าจิ่งเหิงปัวโกหกอย่างโจ่งแจ้ง และไม่อยากแสร้งว่าบาดแผลยังไม่หายดีจริง พอเอ่ยได้ครึ่งหนึ่งก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง คราวนี้แม้แต่ลำคอยังแดงก่ำไปด้วย 

 

 

พอเห็นนางหน้าแดง เถี่ยซิงเจ๋อผู้เฉลียวฉลาดคนนั้นก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาเช่นกัน เขาก้าวถอยอย่างกระดากอายเล็กน้อย มองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งแล้วมองจื่อหรุ่ยปราดหนึ่ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวลูบคางยิ้มแย้ม 

 

 

“แม่นางจิ่ง” เถี่ยซิงเจ๋อคล้ายต้านทานแววตาชั่วร้ายของนางไม่ไหว เร่งรีบเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา ชี้ไปยังกำแพงข้างหน้าแล้วเอ่ยว่า “ท่านดูรูปภาพนั้น” 

 

 

พอจิ่งเหิงปัวเชิดสายตาขึ้นมอง นางก็พลันชะงักงัน 

 

 

บนกำแพงที่ปากทางเข้าตรอกข้างหน้ามีภาพสูงครึ่งตัวคนติดอยู่ภาพหนึ่ง รูปแบบการวาดงดงามประณีต วาดทิวทัศน์ร่มไม้ทอดยาวเหยียดและท้องฟ้าสีครามสูงส่งห่างไกล ทว่าตำแหน่งกึ่งกลางภาพกลับเว้นว่างไว้ เพียงวาดเค้าโครงออกมารำไร ทำให้คนรู้สึกว่าภาพนี้ยังวาดไม่เสร็จสิ้น 

 

 

ที่ด้านข้างของภาพมีลายมืองดงามเขียนไว้ว่า ‘สง่างามยืนยาว ชั่วครู่คราวล่มแคว้น’ 

 

 

อีกทั้งข้างล่างของภาพนี้ก็มีสายฟ้าแลบที่ทาด้วยสีแดง ชี้ไปยังที่ซึ่งลึกเข้าไปในตรอก 

 

 

มีคนเดินผ่านหน้าภาพนี้อย่างไปมา ประหลาดใจจนต้องหยุดฝีเท้าลงด้วยเพราะการเว้นว่างไว้ของภาพนี้ ชะโงกศีรษะมองเข้าไปข้างในก่อนจะเดินเข้าไป 

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆๆ ออกมา นางหัวเราะจนเถี่ยซิงเจ๋อรู้สึกประหลาดใจ เอ่ยขึ้นว่า “อะไรหรือ แม่นางจิ่งก็รู้สึกว่าภาพนี้น่าขำขันอย่างนั้นหรือ?” เขาส่ายหน้า แล้วเอ่ยว่า “ยามที่ท่านเห็นภาพครึ่งหนึ่งนี้ท่านอาจจะรู้สึกว่าแปลกประหลาด ทว่าผู้ต่ำต้อยแนะนำให้ท่านเดินตามเข้าไปสักช่วงหนึ่ง ยามนั้นคงได้เห็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมแล้ว” 

 

 

“ถูกต้องยิ่งนักๆ จะต้องเดินตามเข้าไปสักช่วงหนึ่ง” จิ่งเหิงปัวพยักหน้าติดๆ กัน 

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อมองนางอย่างประหลาดใจ ก่อนพานางเดินตามทิศทางหัวลูกศรสายฟ้าแลบเข้าไป ก็ได้เห็นภาพอีกภาพหนึ่งที่ปากตรอกถัดไปดั่งคาดการณ์ งดงามประณีตยิ่งกว่าภาพก่อนหน้านี้ คราวนี้ท้องฟ้าสีครามเช่นเดิมและทิวทัศน์เงาดอกไม้กลับมีศาลาอาคารบางส่วนเพิ่มเข้ามา มองออกว่าคล้ายเป็นคฤหาสน์มหึมาแห่งหนึ่งหรือที่เอ่ยว่าพระราชวัง 

 

 

ข้างล่างภาพนั้นมีคนกำลังพิจารณา ทายว่าสิ่งที่เว้นว่างไว้คือสิ่งใดกันแน่ และมีคนเดินตามไปเลยโดยไม่คิดด้วยซ้ำ 

 

 

“แม่นางจิ่งโปรดตามข้ามา” เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้มด้วยความลึกลับปานมอบของขวัญล้ำค่า เดินนำทางอยู่ข้างหน้า 

 

 

จิ่งเหิงปัวกัดฟันกลั้นหัวเราะ ก่อนเดินตามเขาไป 

 

 

ที่ปากตรอกถัดมามีคนมากยิ่งขึ้น พากันชี้ไม้ชี้มือไปยังภาพนั้น และมีบางคนที่มุดลอดใต้ภาพไป เอ่ยอย่างร้อนรนว่า “ได้ยินมาว่าวันนี้เปิดกิจการ เร่งรีบไปเข้าแถวเร็ว! หากชักช้าประเดี๋ยวตามไม่ทัน!” 

 

 

“นายท่านเอ่ยแล้วว่าต้องเป็นสามอันดับแรก อย่าให้ผู้ชราข้ารับใช้ใกล้ชิดนั่นแย่งอยู่ข้างหน้าเชียวนะ!” 

 

 

บนภาพคราวนี้มีเงาดอกไม้พุ่มหนา ท้องฟ้าสีครามดุจชำระล้าง ศาลาประณีตงดงาม อาคารใหญ่โต จุดสิ้นสุดสันหลังคาทอดยาวเหยียดปรากฏสิ่งปลูกสร้างกระเบื้องดำกำแพงขาวเรียบง่ายบริสุทธิ์ เคร่งขรึมเรียบหรูงดงาม มีบรรยากาศแห่งความตระหง่านในตนเอง 

 

 

มีคนกระซิบกระซาบกันใต้ภาพว่า “ทิวทัศน์นี้ดูคุ้นตานัก…” 

 

 

“ทิวทัศน์นี้ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าคุ้นเคยหรือไม่?” เถี่ยซิงเจ๋อประชิดใกล้จิ่งเหิงปัว เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า “ทรงทายออกหรือไม่” 

 

 

จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองท่าทางลำพองใจปานมอบของขวัญล้ำค่าของเถี่ยซิงเจ๋อคราหนึ่ง กลั้นหัวเราะจนเจ็บท้อง 

 

 

นางเสแสร้งแกล้งครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “คล้ายคุ้นตาอยู่บ้าง…” ก่อนจะปรบมือครั้งหนึ่งกะทันหัน ร้องว่า “อ๋อ ที่นี่คือจิ้งถิงใช่หรือไม่?” 

 

 

“เบาเสียงหน่อย!” เถี่ยซิงเจ๋อเอ่ยว่า “ข้าทายว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของคนในวัง ทว่าฝีมือนี้ไม่เบายิ่งนัก เกรงว่าจะเจอปัญหา” 

 

 

“โอ้?” จิ่งเหิงปัวกะพริบตา 

 

 

“ท่านดูต่อไปย่อมรู้แล้ว” เถี่ยซิงเจ๋อยังคงเอ่ยวาจากำกวม 

 

 

“โอ้” จิ่งเหิงปัวหันหน้ามา ซุกซ่อนรอยยิ้มชั่วร้ายอย่างสุดชีวิต จื่อหรุ่ยส่ายหน้าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก 

 

 

ที่ปากตรอกถัดไปอีกมีภาพอีกภาพหนึ่งอย่างที่คิดไว้ คราวนี้ห้องหนังสือกระเบื้องดำกำแพงขาวของจิ้งถิงมีหน้าต่างลายฉลุบานหนึ่งเพิ่มขึ้นมาด้วย ที่กลางหน้าต่างคล้ายมีเงาคนเลือนราง ทว่าเงาคนมัวสลัวไร้รูปร่าง มองเห็นได้เพียงเค้าโครงงดงามประณีตพร่าเลือน ยิ่งพาให้คนติดตามมากขึ้น 

 

 

ฝีมือของจิตรกรท่านนี้ก็สูงกว่าหลายท่านก่อนหน้าระดับหนึ่ง วาดท่วงท่าเงาพร่าเลือนของบุคคลได้พลิ้วไหว คราวนี้ข้างล่างภาพกลับมีสตรีสวมผ้าคลุมหน้าเพิ่มขึ้นมามากมายหลายนาง 

 

 

ฮ่าๆๆ เคลิ้มล่ะสิ จิ่งเหิงปัวหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ 

 

 

“ภาพนี้ไม่เลวแฮะ!” ดวงตาของนางสว่างไสว ภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่โฆษณาพิเศษของตนเองมีผลทำให้คนติดตามได้จริง ร้องขึ้นว่า “ไปดูภาพถัดไปกัน!” 

 

 

ที่ปากตรอกถัดมายิ่งมีคนมากขึ้น มองเห็นคนที่เข้าแถวเลยออกมาจากตรอกได้อย่างรำไร บนกำแพงมีภาพภาพหนึ่งแปะอยู่ คราวนี้นับว่าครบครันแล้ว เงาดอกไม้พุ่มหนา ศาลาอาคาร กระเบื้องครามกำแพงขาว หอหลังเล็กหน้าต่างลายฉลุ ชายชุดขาวยืนเดียวดายเผชิญสายลมกลางหน้าต่าง สูงสง่าพลิ้วไหว สูงศักดิ์โดดเดี่ยว แม้จะไม่ได้ลงรายละเอียดใบหน้า ทว่าบุคลิกที่สง่างามรอบกายก็ดั่งทะลุออกมาจากกระดาษ 

 

 

คราวนี้จิ่งเหิงปัวหัวเราะไม่ออกแล้ว ด้วยเพราะนางได้ยินสตรีนางหนึ่งกำลังสั่งสาวใช้ด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ไปเข้าแถว ได้วาดหรือไม่ได้วาดไม่เป็นไร จะต้องถามให้แน่ชัดว่าบุรุษในภาพนั้นคือผู้ใด!” 

 

 

ถามน้องสาวแกสิ! 

 

 

“ติดตามค้นหาตลอดทาง สุดท้ายก็ได้เห็นโฉมหน้าทั้งภาพแล้ว ความคิดอัศจรรย์พันลึกของร้านวาดภาพเหมือนร้านนี้ก็พาให้คนอุทานอย่างตื่นตะลึง” เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้มหน้าบาน เอ่ยว่า “ใช้ภาพที่เว้นว่างไว้อย่างต่อเนื่องและภาพที่วาดเสริมอย่างต่อเนื่องทำให้คนไล่ตาม ไม่รู้ว่าได้ผลกว่าการเร่ขายสินค้าข้างถนนมากเพียงใด! ควรให้พวกเถ้าแก่ในจัตุรัสกลางเมืองเหล่านั้นมาเรียนรู้สักหน่อยเสียจริง!” 

 

 

“ธรรมดาๆ แหละ” จิ่งเหิงปัวโบกมืออย่างลำพองใจ 

 

 

“ทว่าภาพที่อัศจรรย์ที่สุดยังไม่ใช่ภาพนี้ ข้าเห็นภาพตรงปากประตูร้านวาดภาพเหมือนนั้นถึงจะเรียกได้ว่าน่าตะลึงพรึงเพริดอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่า…” เถี่ยซิงเจ๋อพลันยิ้มแย้มอย่างลึกลับยิ่งนัก เอ่ยว่า “หวังว่าร้านวาดภาพเหมือนร้านนี้คงไม่ถูกประกาศปิดร้านอย่างรวดเร็วหรอกนะ” 

 

 

“โอ้?” จิ่งเหิงปัวรู้แล้วยังแกล้งถามว่า “เพราะเหตุใดกัน” 

 

 

“ท่านมองดูก็ย่อมรู้แล้ว” เถี่ยซิงเจ๋อชี้ไปข้างหน้า เอ่ยว่า “ใบหน้าของบุคคลในภาพนั้นได้เปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงอยู่ที่นั่น” 

 

 

เขายิ้มออกมาอย่างลึกลับ ทว่าจิ่งเหิงปัวยิ้มอย่างลึกลับยิ่งกว่า นางเดินไปข้างหน้าตามกลุ่มคนที่ไหลหลั่งเข้าไปยาวเหยียด เดินอยู่ไกลพอควรกว่าจะถึงปากประตูร้านวาดภาพเหมือน คนกลุ่มใหญ่เข้าแถวตลอดทาง สนทนาเกี่ยวกับสภาพอากาศและสุขภาพร่างกายของนายท่านจวนตนเสียงดังลั่น ข้างหน้าสุดมีหลายคนนั่งอยู่บนม้านั่งขนาดเล็ก ท่าทางเซื่องซึม มองโดยละเอียดจะเห็นว่าบนเส้นผมยังมีน้ำค้างเกาะอยู่ จิ่งเหิงปัวคิดอย่างตื่นตกใจว่า…นี่คงไม่ได้มาเข้าแถวล่วงหน้ากันทั้งคืนหรอกมั้ง? ไอ้เวรเอ๊ย นี่มันบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าสาวกแอปเปิลตอนงานเปิดตัวสินค้าอีกไม่ใช่เหรอ? 

 

 

“นี่คือร้านวาดภาพเหมือนซึ่งเปิดใหม่นามว่า ‘ครู่นั้น’ ” เถี่ยซิงเจ๋อแนะนำนางว่า “ช่วงก่อนหน้านี้ภาพเหล่านั้นติดอยู่ตรงนั้นแล้วพาให้คนสงสัยใคร่รู้ เพียงแต่ไม่ได้เปิดกิจการเลย พอประกาศว่าวันนี้จะเปิดกิจการจึงมีคนย้ายม้านั่งมานั่งรอตั้งแต่หนึ่งวันก่อนหน้า ด้วยเพราะร้านวาดภาพเหมือนร้านนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก เอ่ยกันว่าทุกวันขายภาพเหมือนมากที่สุดเพียงสามภาพ ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะปิดร้านได้ตลอดเวลา หลายปีมานี้ข้าอยู่ตี้เกอ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินร้านค้าที่ไม่อยากค้าขาย ซ้ำยังเอ่ยว่าปิดร้านได้ตลอดเช่นนี้มาก่อนเลย ท่านดูคนที่นี่สิ ครึ่งหนึ่งคือมาเข้าแถวรอวาดภาพ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นมาชมความมหัศจรรย์ เพียงแต่อยากรู้ว่าหากค้าขายดีขนาดนี้ ร้านนี้จะขายเพียงสามภาพจริงหรือ? ปิดร้านได้ตลอดเวลาจริงหรือ?” 

 

 

“แน่นอนว่าขายเพียงสามภาพ แน่นอนว่าปิดร้านได้ตลอดเวลา” จิ่งเหิงปัวบ่นพึมพำว่า “ใช้กับเสี่ยวอิ้นอิ้นเยอะเกินไปหน่อย ตอนนี้มีกระดาษอัดภาพเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว เล่นใหญ่หน่อย ตักตวงเงินก้อนใหญ่เต็มที่ ความจริงตลาดที่ข้าอยากบุกเบิกคือตลาดผู้หญิงนะ…” 

 

 

“แม่นางจิ่งท่านเอ่ยว่าอะไรหรือ?” เสียงคนจอแจวุ่นวายดุจตลาดสด ทำให้เถี่ยซิงเจ๋อฟังไม่ชัดเจน 

 

 

แต่จิ่งเหิงปัวไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน นางเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน แววตาแวววาว