ตอนที่ 82 - 3 พ่อรูปงามดุจผกากลางมวลเมฆ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

ปากประตูร้านวาดภาพเหมือนมีคนกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ทว่าไม่อาจขัดขวางสตรีที่ไม่เข้าแถวแต่มาเลียภาพคลั่งไคล้ฝูงหนึ่งไว้ได้ เหล่าสตรีผอมบางอิ่มเอิบ เสียงหัวเราะราววิหคบดบังประตูอย่างแน่นหนา มีเสียงร้องสอบถามแว่วมาอย่างต่อเนื่องว่า “ถามหน่อยน้องชาย บุคคลในภาพนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ยามนี้คนผู้นี้อยู่ที่ใด มีแซ่มีนามว่าอะไร…” 

 

 

“ไม่รู้ๆ!” เหล่าบุรุษที่เชิญมารักษาความสงบเรียบร้อยกวัดแกว่งไม้กวาดไล่คน พลางร้องว่า “ถอยหน่อย! ถอยหน่อย! จะเข้าแถวก็เข้าแถว หากไม่เข้าแถวก็อย่ามาขวางผู้อื่น!” 

 

 

คนฝูงหนึ่งผลักดันกันไปมา มีสตรีนางหนึ่งที่สวมอาภรณ์รัดรูปร่างคล้ายเป็นผู้ท่องยุทธภพหรือสตรีขายศิลปะข้างถนน พลันตวาดว่า “เพียงแค่ถามที่อยู่ของคนผู้นี้เท่านั้นจะต้องหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้เชียวหรือ? ในเมื่อหลบๆ ซ่อนๆ แล้วเหตุใดต้องแปะภาพเหมือนนี้ไว้หน้าประตูด้วย? ไม่อยากให้รู้ใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะแกะลงมาแล้วถือไปถามคนที่พบเจอในตี้เกอ คงต้องมีคนรู้จักเป็นแน่!” 

 

 

เสียงวาจาของนางยังไม่ทันสิ้นสุดลง คนผู้หนึ่งก็เหินกายขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าแกะไม่สู้ข้าแกะ เจ้าถามไม่สู้ข้าถาม!” ก่อนจะยกมือขึ้นไปแกะรูปถ่ายของกงอิ้นบนประตู 

 

 

พอฟังเสียงแล้วกลับเป็นเสียงบุรุษ 

 

 

จอมยุทธ์หญิงผู้นั้นเดือดดาล ร้องขึ้นเสียงแหลมว่า “ไสหัวไปนะ!” พลันยื่นมือยื้อแย่ง 

 

 

เงาคนพลันกะพริบวูบ คนผู้หนึ่งปรากฏกายหน้ารูปถ่าย มือข้างหนึ่งกดรูปถ่ายไว้ดังพลั่ก แผดเสียงร้องว่า “ไสหัวไปให้หมดเลย!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวแข็งแกร่งเกรียงไกร ต่อสู้กับยุทธภพด้วยความโกรธแค้น 

 

 

เสียง ฟึ่บ! ดังขึ้น มือที่ยื่นออกไปคว้ารูปถ่ายของบุรุษผู้นั้นจับโดนเสื้อชั้นในของจิ่งเหิงปัว เขาชะงักงันไปชั่วครู่ พรวดพราดหันกายแหวกว่ายออกจากฝูงชน สะบัดมือก่อนร้องด่าทอต่อเนื่องว่า “สารเลว! เป็นสตรีจริงด้วย! อ๊าก! ขยะแขยงนัก! ขยะแขยง!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวมีสีหน้าเขียวคล้ำ…อะไรเนี่ย รังเกียจพี่หรือ? บนโลกนี้ยังมีคนรังเกียจพี่ด้วยหรือ? อีกทั้งสิ่งที่รังเกียจยังเป็นสิ่งที่พี่ภูมิใจเป็นที่สุดอีกด้วย? 

 

 

ความรู้สึกตื่นเต้นนี้! 

 

 

ท่วงท่าของจอมยุทธ์หญิงคนนั้นเชื่องช้า กำลังใช้ศีรษะพุ่งมาทางนาง จิ่งเหิงปัวที่อยู่สูงกว่าถีบนางออกไปในเท้าเดียว ร้องว่า “ไสหัวไปเลย!” 

 

 

เหล่าแม่นางที่ล้อมรอบอยู่ข้างรูปถ่ายกรีดร้องพากันแยกย้ายออกไป จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา กล่าวกับชุ่ยเจี่ยและยงเสวี่ยที่ได้ยินความเคลื่อนไหวแล้วรีบเร่งวิ่งมาจากข้างในว่า “นำรูปถ่ายลงมาเก็บไว้ ภายหลังห้ามนำออกมาอีก! อ้อ แล้วผู้ใดกันที่ออกความคิดแย่ๆ ให้เอามาแขวนไว้บนประตูเช่นนี้?” 

 

 

“เจ้านั่นล่ะ!” ชุ่ยเจี่ยเอ่ยตอบอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย มองผู้คนมืดฟ้ามัวดินตรงเบื้องหน้าอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า 

 

 

จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้วขึ้น หันหน้าไปหาเถี่ยซิงเจ๋อที่ยืนปากอ้าตาค้างอยู่ตรงขั้นบันได 

 

 

“เจ้า…เจ้า…” เถี่ยซิงเจ๋อที่เอ่ยวาจาอย่างแคล่วคล่องยิ่งนักก็เริ่มติดอ่างเล็กน้อย 

 

 

“เจ้าทายถูกแล้ว” จิ่งเหิงปัวทัดจอนผมครั้งหนึ่ง ยิ้มแย้มให้เขาอย่างหยาดเยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ผู้สร้างสรรค์โฆษณา เจ้าของร้านวาดภาพเหมือนนามครู่นั้น คือผู้ต่ำต้อยด้อยค่าโฉมสะคราญเช่นข้านี้เอง” 

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น 

 

 

“ข้าช่างโง่เขลายิ่งนัก” เขาตบหน้าผากของตนเองดังแปะ แล้วกล่าวว่า “ควรทายได้ตั้งนานแล้วว่าความคิดบรรเจิดเลิศล้ำเช่นนี้ นอกจากท่านแล้วยังจะมีผู้ใดกระทำได้อีก? ถูกท่านเห็นเรื่องตลกขบขันมาตลอดทางแล้ว” 

 

 

“เจ้าคงไม่ได้เข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จของข้าสินะ” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “แท้จริงแล้วยามนั้นผู้ที่เข้าแถวอยู่ข้างหน้าในพิธีก็เคยเห็นภาพเหมือนนี้” 

 

 

“ช่วงเวลานั้นข้าบังเอิญป่วยไข้ ลาป่วยพักผ่อนอยู่ในจวนจึงไม่ได้เข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลอง หลังจากหายป่วยแล้วยังต้องกลับบ้านเกิดอีก” เถี่ยซิงเจ๋อเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงกับไม่รู้จักเจ้าของภาพเหมือนอัศจรรย์เช่นนี้ยามอยู่ต่อหน้า” 

 

 

“หลอกลวงเจ้าจนละอายใจยิ่งนักแล้ว” จิ่งเหิงปัวโบกมือ กล่าวว่า “ประเดี๋ยวข้าจะวาดให้เจ้าเป็นการชดเชยสักภาพแล้วกัน” 

 

 

“ภาพเหมือนของท่านนี้ล้ำค่าหายากยิ่งนัก แล้วจะมาสิ้นเปลืองกับข้าได้อย่างไร?” เถี่ยซิงเจ๋อรีบเร่งบ่ายเบี่ยง 

 

 

ตอนนั้นก็พลันมีคนประชิดใกล้เข้ามา แล้วเอ่ยว่า “อา คุณชายท่านนี้ เจ้าเองก็ช่างหล่อเหลาคมคายยิ่งนัก ทำความรู้จักกับผู้ต่ำต้อยสักหน่อยได้หรือไม่? ผู้ต่ำต้อยเป็นชาวเผ่าไต้เม่า นามว่าเฟยเทียนเย่าจื่อ มากความสามารถ มากความรู้ วรยุทธ์ล้ำเลิศ หล่อเหลาสง่างาม ยินยอมพร้อมใจเป็นสหายสนิทกับบุรุษรูปโฉมงดงามมากความสามารถทุกท่านทั่วโลกหล้า…ขอเอ่ยถามคุณชายได้หรือไม่ว่าท่านมีนามว่าอะไร…” 

 

 

พลั่ก! 

 

 

เสียงกำปั้นต่อยจมูกดังกังวาน 

 

 

ดวงตาสองข้างของบุรุษที่ชวนคุยชะงักค้าง ลำคอแข็งทื่อ ผ่านไปชั่วครู่ เลือดกำเดาสองข้างก็ค่อยๆ ไหลริน 

 

 

พลั่ก! เขาล้มลงแล้ว 

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อไร้ซึ่งสีหน้า คว้าหมัดกลับคืน 

 

 

“ผู้ต่ำต้อยเถี่ยซิงเจ๋อ” เขาเอ่ยว่า “เถี่ยจากคำว่าเหล็กกล้า ซิงจากวาจาที่ว่าต่อยเจ้าจนเห็นดาวพราวพร่าง แล้วตามด้วยเจ๋อจากวาจาที่ว่าส่งเจ้าไปบึงโคลนเฮยสุ่ย” 

 

 

จิ่งเหิงปัวสำลักดัง “พรวด” จนเกือบจะพุ่งออกมา 

 

 

พ่อหนุ่มคนนี้หล่อจัง! 

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อล้มลงบนพื้นจากการต่อสู้ เขาเกลือกกลิ้งครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นมา ใบหน้าครึ่งซีกเขียวช้ำเสียแล้ว ขับให้เลือดกำเดาสองข้างดูสวยงามเปี่ยมสีสัน เขาคล้ายถูกการลงมือของเถี่ยซิงเจ๋อทำให้ตกใจ พอเถี่ยซิงเจ๋อมองมาถึงได้เร่งรีบเดินอ้อมไปยังหน้าประตู เงยหน้ามองดูตำแหน่งรูปถ่ายของกงอิ้นด้วยความปลาบปลื้มยิ่งนัก เอ่ยเสียงดังว่า “คุณชายเถี่ยท่านนี้ ยามนี้ผู้ต่ำต้อยไม่สนใจจะรู้จักเจ้าแล้ว รูปร่างหน้าตาธรรมดาทว่าอารมณ์รุนแรง สู้คนในภาพเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้เลย อา พ่อรูปงามดุจผกากลางมวลเมฆ ผิวขาวราวหิมะดวงพักตร์งดงาม สูงส่งเหนือมวลธุลี ย่อมเป็นบุรุษหล่อเหลาเลิศล้ำผู้อ่อนโยนบริสุทธิ์ นิสัยสมบูรณ์พร้อมเป็นแน่…” 

 

 

จิ่งเหิงปัวเท้าคางคิดว่าสมบูรณ์แบบเลย ถ้าคนที่เจ้าพบเจอเป็นเขาจริง แบบนั้นเมื่อต่อยเสร็จสิ้นในหมัดเดียว คาดว่าคงส่งเจ้ากลับชาติมาเกิดอย่างสมบูรณ์แบบได้แล้วไม่ใช่เหรอ? 

 

 

รูปถ่ายถูกหยิบไปแล้ว เหลือไว้เพียงกรอบผลึกแก้วที่ปกป้องรูปถ่าย เฟยเทียนเย่าจื่อคนนั้นลูบคลำรูปผลึกแก้วอย่างชื่นอกชื่นใจยิ่งนัก คล้ายยังอยากมองจนพ่อรูปงามสะท้อนเงาออกมา 

 

 

เขาลูบแล้วลูบอีก… 

 

 

ลูบแล้วลูบอีก… 

 

 

จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้วขึ้น…ลูบกรอบผลึกแก้วน่ะไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือเจ้าคนนี้กำลังทำอนาจารแฟนหนุ่มของนาง! 

 

 

หากทำเช่นนี้ได้ก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้อีกแล้ว! 

 

 

นางกำลังคิดจะตะโกนให้คนมาลากพ่อชายรักชายคนนี้ออกไปโยนทิ้ง แต่ต้องชะงักงันในทันที 

 

 

กรอบผลึกแก้วเริ่มแตกสลายโดยพลัน! 

 

 

เพียงถูกเจ้าคนนั้นลูบคลำไม่กี่ครั้ง มันก็กลับแหลกสลายลงภายใต้นิ้วของเขา! 

 

 

แม้ระดับความแข็งของผลึกแก้วจะไม่สู้เพชร แต่หากหวังจะบดขยี้ก็ยังยากมาก จิ่งเหิงปัวมองดูกรอบผลึกแก้วนั้นกลายเป็นควันธุลีใต้เงื้อมมือของเจ้าคนนั้น พลางร่นถอยก้าวหนึ่ง 

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อพบด้วยว่าผิดปกติ ก้าวขึ้นมาปกป้องเบื้องหน้านาง 

 

 

บรรยากาศรอบด้านหนักแน่นขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนหน้านี้ทุกคนมองเห็นเฟยเทียนเย่าจื่อผู้นี้ถูกเถี่ยซิงเจ๋อต่อยจนล้มลงในหมัดเดียว ต่างนึกว่าเขาเพียงระหกระเหินเร่ร่อนในยุทธจักร ผู้ใดจะรู้ว่าพอฝีมือหนึ่งนี้เปิดเผยออกมา ก็พลันรู้ว่าแท้จริงแล้วเขายังเป็นผู้เก่งกล้าดั่งคมในฝัก 

 

 

“ฝีมือของเจ้าไม่ธรรมดาเลยนะ” จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้าออกมาจากข้างหลังเถี่ยซิงเจ๋อ กล่าวว่า “ยอดฝีมือยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเมื่อครู่ถึงล้มลงในหมัดเดียว?” 

 

 

“ใช้วรยุทธ์ทุบตีบุรุษนับว่าเป็นความสามารถอะไรกัน?” เจ้าคนนั้นพ่นลมออกจมูก เอ่ยว่า “ขอเพียงเป็นบุรุษหน้าตางดงามสักหน่อย ข้าก็รู้สึกเสียดายจนไม่กล้าทุบตีแล้ว” 

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินบทสนทนาอันแปลกประหลาดนี้ ก็กะพริบตากล่าวว่า “จะทุบตีต้องทุบตีสตรีหรือ?” 

 

 

“ใช่!” เจ้าคนนั้นเอ่ยอย่างถูกหลักทำนองคลองธรรมขึ้นว่า “ข้าทั้งเกลียด ทั้งริษยาสตรีเป็นที่สุดเลย! เหตุใดพวกนางถึงได้สวมใส่ชุดกระโปรงสองส่วน เกล้ามวยผมงดงาม สวมเครื่องประดับงดงามประณีตทุกสิ่ง อิงแอบแนบชิดบุรุษเคียงคู่สุขสันต์! โดยเฉพาะสตรีเช่นเจ้า!” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยว่า “ไม่ยุติธรรม!” 

 

 

แต่ละคนผุดเผยสีหน้าแปลกประหลาด…คนเสียสติ? 

 

 

“เจ้าแต่งกายเช่นนั้นตามสตรีก็ย่อมได้แล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม กล่าวว่า “วรยุทธ์ของเจ้าสูงส่งขนาดนั้น ไม่มีคนขวางเจ้าได้หรอก” 

 

 

“เดิมทีข้าน่ะควรเป็นสตรี! ข้าน่ะแต่งกายเช่นนั้นมาตั้งแต่เด็ก!” เฟยเทียนเย่าจื่อเอ่ยด้วยเสียงเกลียดชังว่า “ท่านแม่ข้าให้กำเนิดข้าผิด! เกลียดนักหลายปีขนาดนี้พวกเขายังไม่ยอมรับ! ซ้ำยังเอ่ยว่าข้าเป็นคนเสียสติ! ข้าไม่ใช่คนเสียสติ! พวกเขาให้กำเนิดข้าผิดซ้ำยังดูถูกข้า! ข้าจะสังหารพวกเขา ทว่าเจ้าผู้ชราคนหนึ่งขวางเอาไว้ เจ้าผู้ชราเอ่ยว่าแท้จริงแล้วชะตาข้าควรเป็นสตรี เพียงแต่ถูกร่างกายบุรุษครอบครอง หากข้าอยากกลับสู่ร่างสตรีจะต้องทำความดีสั่งสมบุญบารมี…ถุย! เดิมทีข้าควรเป็นสตรี แล้วเหตุใดยังต้องทำความดีสั่งสมบุญบารมีถึงจะเป็นสตรีได้? สิ่งใดเรียกว่าทำความดีสั่งสมบุญบารมี สังหารคนไม่ได้หรือ? หา?” 

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อปกป้องจิ่งเหิงปัวพลางร่นถอยไปก้าวหนึ่ง อวี่ชุนโผล่ออกมาจากกลางฝูงชน ออกคำสั่งให้องครักษ์ขวางอยู่เบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว 

 

 

เดิมทีนึกว่าเป็นเพียงคนเสียสติ ต่อมาจึงพบว่าเป็นคนเสียสติที่มีวรยุทธ์สูงส่ง จากนั้นจึงพบว่าคนผู้นี้เป็นคนเสียสติที่เ**้ยมโหดป่าเถื่อน หวังสังหารแม้กระทั่งบิดามารดาผู้ให้กำเนิดตนเอง ซ้ำยังขับไล่สตรีเพียงนี้ พอจะมองเห็นความอันตราย 

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อคล้ายถูกจี้จุดจนเจ็บปวด สีหน้าค่อยๆ วิกลจริต เถี่ยซิงเจ๋อกับอวี่ชุนจ้องมองเขาอย่างระแวดระวัง 

 

 

แต่จิ่งเหิงปัวเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

 

คนคนนี้เหมือนจะเข้าใจเพศสภาพผิดไปนะ! 

 

 

ตอนเด็กเขาอาจจะถูกเลี้ยงมาแบบเด็กผู้หญิงด้วยเพราะเหตุผลบางอย่าง เวลาผ่านไปนานถึงปรากฏความเข้าใจผิดทางเพศสภาพ นึกว่าตนเองเป็นเด็กผู้หญิงจริง ซ้ำยังเคยชินกับการเป็นเด็กผู้หญิง กว่าพ่อแม่จะพบว่าผิดปกติก็สายเกินไป เขาไม่ยินยอมเป็นผู้ชายอีกแล้ว 

 

 

พ่อแม่ย่อมอยากให้เขาแก้ไขให้ถูกต้อง แต่จิตสำนึกโดยธรรมชาติที่ก่อเป็นรูปร่างจะแข็งขืนฝืนแก้ไขเป็นเรื่องง่ายเสียที่ไหน? เป็นผู้หญิงจนเคยชินแล้ว จากจิตใจถึงร่างกายต่างเป็นนิสัยแบบผู้หญิง เขาจะปรับตัวในฐานะผู้ชายได้อย่างไร? 

 

 

ผ่านไปนานเข้าย่อมมีปัญหาความขัดแย้ง ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานยาวนานทำให้ในใจเกิดความเกลียดชัง ค่อยๆ ทรมาน จาก ‘เด็กผู้หญิงปกติ’ จนกลายเป็น ‘ผู้ชายวิปริต’ 

 

 

กล่าวแล้วคนประเภทนี้ก็น่าสงสารอย่างยิ่ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวพินิจรูปร่างหน้าตาของเจ้าคนนี้ ก่อนถอนหายใจออกมา…ต่อให้ทาชาดแดงปะแป้งร่ำ คงแปลงโฉมเป็นผู้หญิงไม่ได้ 

 

 

แม้เขาจะเอ่ยว่าตนอิจฉาและเกลียดผู้หญิงอย่างเต็มปากเต็มคำ แต่พฤติกรรมกลับไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงมากเท่าไร สายตาประหลาดเล็กน้อยเพียงบางครั้งบางคราว น่าจะท่องยุทธจักรมานานแล้วค่อยๆ ปรับตัวบ้างด้วย 

 

 

“เหตุใด? หา? เพราะเหตุใด?” เฟยเทียนเย่าจื่อฮึกเหิมขึ้นมา พ่นฟองขาวเต็มปาก ประชิดเข้าใกล้ทีละก้าว ร้องออกมาว่า “พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้เป็นสตรี อยากแต่งกายอย่างไรก็แต่งกายอย่างนั้น? อยากอยู่กับบุรุษผู้ใดก็อยู่ด้วยกันได้? แล้วเพราะเหตุใดข้าถึงทำไม่ได้? ข้าเป็นสตรีมานานหลายปีขนาดนั้น เพราะเหตุใดจู่ๆ ข้าก็ไม่ใช่สตรีขึ้นมา? พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงเอ่ยว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่แล้ว!” 

 

 

“หยุดนะ!” อวี่ชุนจ้องมองเขากระโดดขึ้นกระโดดลง ฝีก้าวค่อยๆ ประชิดใกล้ ร้องตวาดลั่น 

 

 

“มีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ข้าหยุด? หา? มีสิทธิ์อะไร!” เจ้าคนที่เสียสติไปแล้วครึ่งหนึ่งนั้นเฉียดเข้ามาประหนึ่งสายลม ทุกคนรอบด้านต่างรู้สึกว่าบรรยากาศผนึกแน่น เบื้องหน้ากะพริบวูบ รอยเงาของเขาพลันหายไป 

 

 

พริบตาต่อมาเขาข้ามผ่านกำแพงมนุษย์ ปรากฏกายตรงเบื้องหน้าของจิ่งเหิงปัวออกไปสามฉื่อ องครักษ์กลุ่มใหญ่หลายกลุ่มต่างกรูเข้ามาหวังจะขวางจิ่งเหิงปัวไว้อีกครั้ง แต่คนผู้นั้นไม่มองด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ 

 

 

สายลมพลันกลายเป็นแผ่นเหล็กพัดเข้ามาอย่างรุนแรง เสียงทึบพลั่กๆ ดังขึ้นหลายเสียง คนที่ยืนดูอยู่ข้างเคียงถูกม้วนขึ้นไปในพริบตา ร้องโหยหวนขณะกระแทกบนกำแพง 

 

 

“ออกไปให้หมด!” แขนเสื้อของเจ้าคนผู้นั้นพัดพลิ้ว ชูสองมือขึ้นฟ้า ร้องว่า “ออกไปให้หมด!” 

 

 

ลมทวนแผดเสียงก้องแล้วดัง เพียะๆ สองครั้ง อวี่ชุนกับเถี่ยซิงเจ๋อที่ขึ้นมาซ้ายขวาสองฝั่งถูกตบกระเด็นไปทั้งคู่ 

 

 

เบื้องหน้าจิ่งเหิงปัวไร้ผู้ใดในทันที 

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อที่อยู่ในสภาพบ้าคลั่งพลันพุ่งเข้ามา