ตอนที่ 144-4 ตัดสินแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียวเถอะ สุ่ยฮั่วอี

จำนนรักชายาตัวร้าย

นับรบที่เขานำมาด้วยในครั้งนี้ถือว่าเป็นสุดยอดฝีมือของสกุลหลิวทั้งสิ้นนะ! หากว่าพวกเขาทั้งหมดต้องมาตายอยู่ที่นี่ละก็ สกุลหลิวต้องย่อยยับเป็นแน่!

 

 

‘สุ่ยฮั่วอี ข้าจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า!’

 

 

เดิมทีหลิวอวี๋เซิงต้องการตลบหลังสกุลสุ่ย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายถูกตลบหลังเสียเอง

 

 

ตอนนี้ เขาจึงได้แต่รวบรวมกำลังพลที่เหลืออยู่สู้ตายกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นสักตั้ง! บางทีเขาเพียงคนเดียวอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น แต่เขากับคนทั้งหมดอีกสิบห้าคน จะลองสู้ดูสักตั้ง!

 

 

ในขณะที่หลิวอวี๋เซิงกำลังร่ำร้องถึงซย่าโหวฉิงเทียนอีกครั้งนั่นเอง ในที่สุดชายในชุดสีม่วงก็มาปรากฎตัวต่อหน้าเขา

 

 

ดวงอาทิตย์ สาดส่องลงมา ในช่วงเวลาเที่ยงตรงที่ดวงอาทิตย์ร้อนแรงที่สุด

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนในชุดสีม่วงอ่อนที่หรูหรางดงาม ปักลวดลายดอกไอริสกำลังเบ่งบาน เดินเข้ามาหาเขา ภาพนั้นงดงามราวกับเทพสวรรค์ก็ไม่ปาน

 

 

ริมฝีปากบางกระจับที่แดงระเรื่องราวกับลูกท้อนั้นยักยิ้มขึ้นบางเบา จุดสีแดงที่หว่างคิ้วของเขาแดงราวกับโลหิตซึ่งขับให้เขาดูโดดเด่น ไอสังหารจากร่างของซย่าโหวฉิงเทียนถูกบดบัง หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของเขา อาจคิดว่าเขาคือเทวดาที่ลงมาจากสวรรค์ก็เป็นได้

 

 

แต่หยดเลือดบนนิ้วอันเรียวยาวของเขา ค่อยๆบ่งบอกถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมา

 

 

ด้านหนึ่งที่เป็นหน้าเทวดา อีกด้านคือปีศาจ

 

 

‘ชายหนุ่มผู้นี้มีความขัดแย้งในตัวเองเพียงนี้?’

 

 

“ตั้งค่ายกล!” เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนเดินเข้ามาใกล้ หลิวอวี๋เซิงก็สั่งการเสียงดังฟังชัด นับรบสกุลหลิวทั้งสิบห้าคน ตั้งค่ายกลรูปสามเหลี่ยมสามแท่งทันที

 

 

“โอ้ น่าสนใจเหมือนกันนี่!” ซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มบางๆ ที่เบื้องหลังของเขาคือดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องแสงลงมา เงาผอมสูงที่ทอดลงไปบนพื้น กลายเป็นที่กำบังให้กับร่างของเขาที่อยู่ในเงา ทำให้หลิวอวี๋เซิงมองเห็นใบหน้าของซย่าโหวฉิงเทียนไม่ชัดเจน

 

 

“ประมุขหลิว พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะเป็นพันธมิตร แต่เจ้ากลับตระบัดสัตย์ผิดสัญญา เมื่อครู่ ถือเป็นโทษทัณฑ์ที่เจ้าทรยศข้า หากว่าข้าฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดละก็ สกุลหลิวก็จะต้องสูญสิ้น”

 

 

“หลิวอวี๋เซิง เจ้า…จะเป็นปฏิปักษ์กับข้าจริงหรือ?” น้ำเสียงของซย่าโหวฉิงเทียนชัดเจนกังวาล เหมาะสมกับกับรูปโฉมที่หล่อเหลางดงามราวกับเทพบุตรก็ไม่ปานของเขานัก

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนพูดด้วยจังหวะที่ไม่เชื่องช้าแต่ก็ไม่รวดเร็วจนเกินไป แต่ค่อยๆเน้นย้ำที่ละคำ ซึ่งมันกระแทกลงในหัวใจของหลิวอวี๋เซิงอย่างหนักหน่วงทุกคำ

 

 

‘ต่อสู้กับประมุขแห่งถ้ำจื่อหวิ๋น?’

 

 

‘พวกเขาทั้งสิบห้าคนมีสิทธิ์จะกำชัยชนะได้สักกี่ส่วน?’

 

 

‘เป็นฝ่ายชนะ แต่ต้องสูญเสียทหารทั้งหมดไม่มีเหลือ หรือไม่ก็บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย?’

 

 

ฝ่ามือทั้งสองข้างของหลิวอวี๋เซิงชื้นเหงื่อ เขายังไม่อยากตาย ความสามารถของซย่าโหวฉิงเทียนเขาก็เคยได้ประจักษ์กับตามาแล้ว

 

 

‘แม้ว่าพวกเขาจะใช้ค่ายกล แต่ทว่า พวกเขาจะใช่คู่ต่อสู้ของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นจริงหรือ?’

 

 

วินาทีนั้น หลิวอวี่Jเซิงคิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังมากมาย บรรพชนเฒ่า บุตรสาวของเขา ยังมีหลานชายที่ยังไม่ลืมตาดูโลก…ต่อให้บรรพชนเฒ่ายังอยู่ แต่ลำพังเพียงบรรพชนเฒ่ากับหญิงม่ายชราที่อ่อนแอและเด็กๆเหล่านั้น จะนำพาสกุลหลิวต่อไปได้อย่างไรกัน!

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลิวอวี๋เซิงก็คุกเข่าลงต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียน

 

 

แปะ!

 

 

“ท่านประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น ข้าผิดไปแล้ว! ข้ามันตาบอด! ข้าไม่ควรที่จะหักหลังท่าน! ข้าสำนึกผิดแล้ว! ขอร้องท่านเมตตา กรุณาละเว้นข้าด้วยเถอะ!”

 

 

ในฐานะที่เป็นผู้นำของตระกูล แต่หลิวอ้าวหลานก็ได้แสดงออกถึงอีกด้านหนึ่งของตนเองที่สามารถยืดหยุ่นปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ทุกอย่างได้เป็นอย่างดีออกมา

 

 

หลิวอวี๋เซิงสามารถคาดเดาได้เลยว่า หากตนเองเกิดมีอันเป็นไปอยู่ตรงนี้ สุ่ยฮั่วอีจะต้องรีบส่งสาส์นให้กับสกุลสุ่ยที่อยู่ ณ เมืองเฮ่อให้จัดการสังหารนักรบของสกุลหลิวที่เหลือทันทีอย่างแน่นอน

 

 

สุ่ยฮั่วอีต่ำช้าถึงเพียงนั้น!

 

 

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง” ซย่าโหวฉิงเทียนยื่นมือออกมา ชี้ไปยังจุดสูงสุดและเป็นสถานที่ๆงดงามที่สุดของเมืองลู่

 

 

“เด็ดหัวนักรบของสกุลสุ่ยที่อยู่ในเมืองลู่ทั้งหมด ข้ารับรองว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองลู่ จำไว้ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว!”

 

 

สามารถมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองเฮ่อได้ คือความหวังสูงสุดของหลิวอวี๋เซิงและนักรบของสกุลหลิว

 

 

ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตั้งลองสู้ดูสักตั้ง หากต้องฆ่า พวกเขายินดีที่จะฆ่าคนของสกุลสุ่ยมากกว่า!

 

 

“ดี! ตกลงตามนี้! หลิวอวี๋เซิงกัดฟันลุกขยืนขึ้นมา” แล้วกวักมือเรียกนับรบของสกุลหลิวที่ยังเหลืออยู่

 

 

“ไป พวกเราไปรื้อรังของสกุลสุ่ยกัน!”

 

 

สถานการณ์ตรงหน้าที่กลับตาลปัตร ทำให้ประชาชนที่สังเกตการณ์อยู่โดยรอบถึงกับออกอาการตกตะลึง

 

 

‘แม่เจ้า!’

 

 

‘นี่มิใช่การเข่นฆ่าที่แสนดุเดือดหรอกหรือ?’

 

 

‘เพราะอะไรจู่ๆก็กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?’

 

 

‘ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น ท่านยุแหย่เช่นนี้ได้อย่างไร?’

 

 

กว่าที่สุ่ยฮั่วอีจะค้นพบความผิดปกติ ซย่าโหวฉิงเทียนก็จัดแจงทลายกำแพงของจวนสกุลสุ่ย เพื่อให้นักรบสกุลหลิวบุกเข้าไปโจมตีเสียแล้ว

 

 

“กบฎ! พวกเจ้าเป็นกบฎ”! เดิมทีสุ่ยฮั่วอีเตรียมที่จะรอคอยให้ซย่าโหวฉิงเทียนและหลิวอวี่Jเซิงต่อสู้กันจนบาดเจ็บล้มตาย แล้วเขาค่อยเก็บกวาดส่วนที่เหลือ ที่ไหนได้ อีกฝ่ายกลับหันไปร่วมมือกันหันมาเล่นงานสกุลสุ่ย ต่อหน้าต่อตาเขา

 

 

“ฮึ่ย! น่าไม่อายจริงๆ!”

 

 

“เจ้าคนแซ่หลิว เจ้าช่างต่ำช้ายิ่งนัก!” สุ่ยฮั่วอีพุ่งเข้าไปจะโจมตีหลิอวี๋เซิง แต่กลับถูกซย่าโหวฉงิเทียนขวางเอาไว้ที่กลางทาง

 

 

“หลิวอวี๋เซิง จำเอาไว้ นี่คือโอกาสสุดท้ายที่ข้าจะมอบให้กับเจ้า หากผลงานของเจ้าไม่เป็นที่พอใจสำหรับข้าละก็ เจ้า รวมทั้งสกุลหลิว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดำรงอยู่อีกต่อไป!”

 

 

เสียงของซย่าโหวฉิงเทียนดังไปถึงหูขงหลิวอวี๋เซิง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินเส้นทางที่เลือกนี้ให้สุดทาง

 

 

“เจ้าหนุ่ม ไสหัวไป!” เมื่อได้ยินเสียงร้องโอดครวญดังมาจากออกจากป้อมสกุลสุ่ย สุ่ยฮั่วอีก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาในทันที เขาจึงฟาดฝ่ามือเข้าใส่ซย่าโหวฉิงเทียน

 

 

ต้องรู้ว่า สุ่ยฮั่วอีได้ส่งขุนศึกที่เก่งกาจที่สุดของสกุลสุ่ยไปยังเมืองเฮ่อหมดแล้ว กองกำลังของสกุลสุ่ยที่คงเหลือเอาไว้ที่นี่พร้อมกับลูกหลานสกุลสุ่ยนั้นล้วนแล้วแต่วรยุทธ์ไม่สูงเท่าไหร่นัก

 

 

หากต้องต่อสู้กับกองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสกุลหลิวละก็ ย่อมต้องเสียเปรียบมากอยู่แล้ว

 

 

“บรรพชนเฒ่าลงมือแล้ว!” มีคนร้องขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

 

 

เพียงแต่ว่า ผลลัพธ์ของที่ออกมาทำให้ทุกคนต้องผิดหวังเป็นอย่างาก เพราะซย่าโหวฉิงเทียนกลับพุ่งตัวขึ้นไปรับฝ่ามือของสุ่ยฮั่วอีจังๆ

 

 

วินาทีที่ซย่าโหวฉิงเทียนยืดอกรับฝ่ามือของสุ่ยฮั่วอีนั่นเอง พลังวิเศษที่อกของเขาก็ระเบิดออกมา มันสะท้อนกลับพลังจากฝ่ามือของสุ่ยฮั่วอีจนสุ่ยฮั่วอีเซถลาออกไปไกล

 

 

สุ่ยฮั่วอีเซถลาถอยหลังไปหลายก้าว มือขวาของเขาเริ่มเกิดอาการชา

 

 

‘เจ้าหนุ่มนี่ร้ายกาจยิ่งนัก’

 

 

ในใจของสุ่ยฮั่วอีไม่อาจใช้เพียงแค่คำว่าหวาดกลัวมาบรรยายได้อีกต่อไป

 

 

อาการปวดชาที่ฝ่ามือขวาราวกับกองทัพมดนับร้อยกำลังกัดกินฝ่ามืออย่างไรอย่างนั้น นานมากแล้วที่สุ่ยฮั่วอีไม่ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจเช่นนี้

 

 

“ฟี้ว ——”

 

 

แสงสีม่วงโอบล้อมรอบซย่าโหวฉิงเทียนและสุ่ยฮั่วอีเอาไว้ด้านใน

 

 

“กำแพงแก้ว! ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นคือเทพอาวุโสจริงๆ!” ประชาชนที่รับชมอยู่เบื้องล่างต่างก็เงยหน้าขึ้น แต่ละคนมองมายังซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตานับถือและเลื่อมใส

 

 

มีเพียงเทพอาวุโสเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างกำแพงแก้วได้!

 

 

เทพอาวุโสที่ยังหนุ่มแน่นเช่นนี้ แผ่นดินอู๋โยวไม่เคยมีปรากฎมาก่อน!

 

 

เจ้า เจ้าปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้นะ!

 

 

สุ่ยฮั่วอีได้ยินเสียงลูกหลานสกุลสุ่ยกำลังร้องเรียก ‘บรรพนชาเฒ่า’ ดังแว่วขึ้นมาที่ข้างหูไม่ขาดสาย ลูกหลานของเขา กำลังพบกับหายนะครั้งใหญ่ที่ไม่เคยประสบมาก่อน

 

 

แต่ทว่า ไม่ว่าสุ่ยฮั่วอีจะพยายามตีหรือฟันอย่างไร กำแพงแก้วสีม่วงใสนี้ก็ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย

 

 

คราวนี้ ในที่สุกสุ่ยฮั่วอีก็ได้สติขึ้นมา

 

 

เขาประเมินเจ้าหนุ่มนี่ต่ำเกินไป!

 

 

“เจ้าตายเท่านั้น ข้าถึงจะปล่อยเจ้าออกไป!” ซย่าโหวฉิงเทียนเผชิญหน้ากับสุ่ยฮั่วอี ร่างของซย่าโหวฉิงเทียนโอบล้อมด้วยแสงสีม่วงจางๆมันงดงามสว่างไสวอย่างน่าประหลาด

 

 

เพียงแต่ว่า ของบางอย่างยิ่งสวยสดงดงามมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น