[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 29 ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ของตู้หรูฮุ่ย

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เห็นตู้หรูฮุ่ยเดินออกไปจากตำหนัก สีหน้าของหลี่ซื่อหมินก็ยิ้มสดใส เขาพูดกับตัวเองว่า “อวิ๋นเยี่ยไอ้เจ้านี่ถึงแม้ว่าจะเจ้าเล่ห์ไปหน่อย แต่ก็ไม่เคยทำเป็นเล่นต่อหน้าเรา สถานการณ์ในหลิ่งหนานที่เขาพูดถึง เราจะไม่รู้ได้เช่นไร ช่วงสองสามวันนี้เรื่องที่กังวลมากที่สุดก็คือเรื่องนี้ หากทุกคนล้วนแต่เป็นเศรษฐีกันหมด เรายังจะเป็นฮ่องเต้ที่สูงส่งได้เช่นไร ดูเหมือนว่าจะต้องปิดข่าวของหลิ่งหนานเสียแล้ว”

 

 

หลังจากเข้าใจเหตุการณ์ หลี่ซื่อหมินก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมา เรียกสาวใช้เตรียมอาหารให้ตัวเอง เห็นลิ้นจี่สองสามลูกที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาก็ปอกเปลือกออกลูกหนึ่ง มองดูเนื้อสีขาวราวกับหิมะ ถอนหายใจ กินเข้าไปในปาก ลิ้มรสอย่างระมัดระวัง

 

 

จั่งซุนออกมาจากผ้าม่านด้านหลัง หยิบลิ้นจี่ขึ้นมาปอกเปลือกให้หลี่ซื่อหมินแล้ววางไว้ในจาน มองดูลิ้นจี่สี่ลูกแล้วพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อหลิ่งหนานมีสมบัติมากมายเช่นนี้ เหตุใดราชวงศ์ถึงได้มองข้าม”

 

 

“นี่เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์และจิตใจ สองสิ่งนี้เป็นตัวกำหนดว่าประเทศชาติจะเดินไปได้ไกลเพียงใด เจ้าดูเรื่องที่ฉินอ๋องกับฮั่นอู่ตี้ทำเจ้าก็จะเข้าใจ สองคนนี้พยายามพัฒนาหลิ่งหนานอย่างสุดความสามารถ สู้รบปรบมือมาแล้วหลายครั้ง ถึงได้ทิ้งรากฐานเช่นนี้ไว้ให้คนรุ่นหลัง คิดดูแล้วเราก็ถือว่าได้สืบทอดความเมตตาจากพวกเขา ในตอนนี้ถึงเวลาที่หลิ่งหนานจะต้องเริ่มสร้างผลผลิตแล้ว แผนการของอวิ๋นเยี่ย ก็แค่เร็วกว่ากำหนดเพียงไม่กี่ปี หลังจากที่เราได้กำจัดศัตรูที่ทรงอำนาจทางตอนเหนือไปหมดแล้ว ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่ทำ แต่เราก็จะบุกเบิกที่ดินผืนใหญ่ของเจียงหนานและหลิ่งหนาน ปล่อยให้รกร้างเช่นนั้นไม่ได้”

 

 

ป้อนลิ้นจี่ให้จั่งซุนคำหนึ่ง หลี่ซื่อหมินก็หลับตาลงและฮัมเพลงเบาๆ รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก

 

 

ซินเย่วเดินผ่านพวกขุนนางอีกครั้ง ขันทีเจ็ดแปดคนถือของรางวัลที่ฮองเฮามอบให้นางเดินตามมาทางด้านหลัง อวิ๋นเยี่ยยังไม่เคยได้เสวยสุขกับของพวกนี้แต่นางกลับเสวยสุขคนเดียว

 

 

สวมเสื้อแพรกลับบ้านเกิด ซินเย่วก็เช่นเดียวกัน รถม้าทรงพลังห้าหกคันเต็มไปด้วยข้าวของ แล่นผ่านตลาดตะวันตกอย่างโลดโผน ขุนนางบางคนที่อยากจะเอาใจซินเย่ว เปล่าประกาศให้คนนอกรู้ว่าตระกูลอวิ๋นได้รับของรางวัลจากฮ่องเต้และฮองเฮา นายท่านของตระกูลอวิ๋นตอนนี้อยู่ที่แคว้นหลิ่งหนาน เมื่อเสร็จภารกิจก็จะกลับมา

 

 

จางเลี่ยงได้ยินเช่นนี้ก็เตรียมที่จะเคลื่อนไหวสักหน่อย ปล่อยมันไปเถอะ ไม่เช่นนั้นเมื่ออวิ๋นเยี่ยกลับมา สองตระกูลอาจจะได้สู้รบปรบมือกันอีก เห็นได้ชัดว่าราชวงศ์ไม่ได้สนับสนุนตัวเอง อย่าหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองจะดีกว่า

 

 

เมื่อกลับไปถึงบ้าน ซินเย่วดึงน่ารื่อมู่ที่นอนเพ้อฝันอยู่บนกองอัญมณีขึ้นมา เอาอัญมณีให้นางสองเม็ด ไล่นางไปไกลๆ ตัวเองเริ่มคิดหาวิธีแจกจ่ายอัญมณีที่เหลือ

 

 

สีม่วงเอาไปทำเครื่องประดับให้ท่านย่า ตัวเองชอบอัญมณีสีเหลือง เอาอัญมณีสีเขียวให้น่ารื่อมู่สองเม็ด แม่นั่นชอบสีเขียวที่สุด เอาสีฟ้าให้รุ่นเหนียง ปีหน้าตระกูลฉินก็จะมารับตัวนางแล้ว ไม่มีเครื่องประดับสวยๆ ไม่ได้ ต้ายาโตเป็นสาวแล้ว ยักคิ้วหลิ่วตากับซ่านอิง ดูเหมือนว่าคงจะอยู่บ้านได้อีกไม่นาน แต่ซ่านอิงมีฐานะยากจนเกินไป ตอนนี้ยังติดหนี้ท่านพี่อยู่ตั้งมาก แต่ก็ช่างเถอะ ท่านพี่คงไม่เอาคืน คิดเช่นนี้ก็จัดเตรียมอัญมณีให้ต้ายาสักสองเม็ด

 

 

ที่เหลือก็ให้พวกสาวๆ คนละเม็ด รวมทั้งซือซือและเสี่ยวอู่ ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดครอบครัวของเสี่ยวอู่ดูเหมือนจะลืมว่ามีเสี่ยวอู่อยู่ ไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เข้ามาอยู่ที่บ้านแล้ว ก็ดีเหมือนกัน หญิงฉลาดและหน้าตาดีใครๆ ก็ชอบ ต่อไปน้องชายของท่านพี่คงต้องเพิ่มค่าสินสอดให้ แต่ไม่เป็นไรตระกูลอวิ๋นจ่ายได้

 

 

เมื่อเทียบกับการฆ่าฟันในวันก่อนๆ ที่ผ่านมา ซินเย่วชอบการคิดคำนวณเช่นนี้มากกว่า มองดูอัญมณีหลายสิบเม็ดที่กองอยู่ นางบอกให้สาวใช้ตามพวกผู้หญิงในบ้านมาให้หมด

 

 

ผู้หญิงในห้องเอาแต่เอะอะโวยวายเถียงกันไม่หยุด เสี่ยวยาแอบอยากได้เพิ่มอีกสองเม็ด แต่ถูกซินเย่วตีก้นไปสองที ถึงได้วางอัญมณีลงอย่างน้อยใจแล้วพูดว่า “รอพี่ชายกลับมาข้าจะฟ้องเขา”

 

 

ซินเย่วไม่สนใจนาง ถืออัญมณีสีชมพูเทียบไปมาที่หัวของเสี่ยวตง เด็กผู้หญิงที่มีเครื่องประดับสีชมพูมักเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น

 

 

ท่านย่าหัวเราะดูพวกเด็กๆ เอะอะโวยวาย หลังรู้ข่าวว่าหลานชายปลอดภัย ท่านย่าก็กราบไหว้พระโพธิสัตว์อีกครั้ง ข้าวมื้อเย็นของวันนั้นยังกินเพิ่มอีกถ้วยหนึ่ง ขอแค่หลานชายปลอดภัย นางก็อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อย หากหลานชายเป็นอะไรไป นางคงผิดหวังต่อโลกใบนี้เป็นอย่างมาก คงไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์อีกแล้ว

 

 

คนรับใช้ของจวนอวิ๋นต่างพากันดีอกดีใจ ช่วงเวลาที่ผ่านมาช่างลำบากยากเย็น ใบหน้าของนายท่านทุกคนไม่มีใครยิ้มแย้มแจ่มใส คนที่ซุกซนที่สุดอย่างเสี่ยวยายังมัดฮันฮันเอาไว้ ไม่ให้มันออกไปทำร้ายคนอื่น ตอนนี้ดีขึ้นมามาก ท้องฟ้าสดใส แสงอาทิตย์สอดส่องบ้านที่สวยงามของตระกูลอวิ๋นอีกครั้ง

 

 

ตระกูลอวิ๋นชื่นชมยินดี ตระกูลตู้เศร้าโศกเสียใจ นายท่านกลับมาจากพระราชวังก็ถอนหายใจยาว ตู้หรูฮุ่ยที่คอยหาแพะรับบาปมาตลอดชีวิต ตอนนี้ตัวเองกลับกลายมาเป็นแพะรับบาปเสียเอง แถมเรื่องในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เขาไม่กล้านึกถึงวันข้างหน้าในเมืองฉางอัน สายตาเกลียดชังเหล่านั้น แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว หลี่ซื่อหมินไม่ได้เรียกหาฝางเสวียนหลิงก็แสดงว่าเขาเป็นแพะรับบาปที่เหมาะสมที่สุด ขัดขวางทางรวยก็ราวกับฆ่าพ่อฆ่าแม่ ความแค้นครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่

 

 

โทษอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ เขาอยากจะให้ฮ่องเต้เป็นแพะรับบาป แต่แผนการคล้อยตามแสนสวยงามของฮ่องเต้ได้ผลักเขาเข้าไปแทน จะระมัดระวังมากแค่ไหนก็หนีไม่พ้น คนอย่างอวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่ใครๆ ก็สามารถมองข้ามได้เช่นนั้นหรือ

 

 

มองพระอาทิตย์ที่อยู่นอกหน้าต่าง เขาอยากจะเอาเชือกเส้นยาวไปมัดพระอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าเอาไว้ ให้เวลาหยุดเดิน ถอนหายใจอย่างไร้หนทาง นั่งอยู่ในห้องหนังสือ ในหูจะได้ยินเสียงกลองดังขึ้นเรื่อยๆ ตู้หรูฮุ่ยที่เพียงแค่คืนเดียวก็แก่ขึ้นเป็นอย่างมากบอกให้คนรับใช้เตรียมน้ำล้างหน้าให้ตัวเอง เตรียมตัวไปราชสำนัก ยื่นหัวออกไปก็ถูกตัด หดหัวเข้ามาก็ถูกตัด หลบไม่ได้ ไม่สามารถหลบหนีได้

 

 

ภรรยาของเขาแต่งตัวให้เขาด้วยความกังวลใจ นัยน์ตาเต็มไปด้วยน้ำตา ท่านพี่เล่าให้นางฟังแค่เรื่องความเก่งกาจ รู้ถึงความยากลำบาก นางก็เสียใจแทนสามีที่เป็นขุนนางมาทั้งชีวิต ฮ่องเต้ใจร้าย ตู้หรูฮุ่ยรู้ นางก็รู้…

 

 

ทุกคนในบ้านล้วนแต่พากันมาส่งนายท่านออกไปข้างนอก แม้แต่ตู้เหอที่ดื้อรั้นมาตลอดก็ยังดูเรียบร้อย ทำตามกฎระเบียบยืนส่งพ่อออกไปจากบ้านอยู่ด้านหลังพี่ชาย

 

 

ตู้หรูฮุ่ยมองไปที่คนในบ้าน กระตุ้นจิตวิญญาณและก้าวออกจากประตู เขารู้ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตระกูลตู้จะค่อยๆ สูญหายไป ใครก็ช่วยไม่ได้

 

 

เป็นสมุหนายกมาตั้งหลายปี ยอมตายดีกว่าต้องเสียหน้า ข้า ตู้หรูฮุ่ย ตัดสินใจแล้วตัดสินใจเลย ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องกัดฟันเดินต่อไป ตู้หรูฮุ่ยบอกให้ม้าที่ตัวเองขี่อยู่วิ่งออกไป

 

 

ราชสำนักใหญ่ยังคงเหมือนเดิม กองทัพแต่ละกองทัพมารวมตัวกันตามเส้นทางที่กำหนดไว้ จัดหาอาวุธให้แต่ละฝ่าย เจ้ากรมการคลังดูเหมือนจะถูกบังคับให้กระโดดลงไปในแม่น้ำ กองทัพสามทางรวมเป็นจำนวนสามแสนสามหมื่นคน เตรียมพร้อมที่จะเข้ายึดครองชนเผ่าเซวียเหยียนถัวและเกาชัง หลี่จิ้งขอเสบียงอาหาร โหวจวินจี๋ก็ขอเช่นกัน หลี่จิ้งส่งจดหมายจากแนวหน้าไปถามเขา ตำหนิเขาอย่างแรงว่าเขายักยอกเสบียงอาหารที่ควรให้กองทัพใช่หรือไม่

 

 

จั่งซุนอู๋จี้อยากจะร้องไห้แบบไม่มีน้ำตา ในฐานะเจ้ากรมการคลัง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเตรียมเสบียงอาหารให้เพียงพอในเวลาอันสั้นที่สุด

 

 

พึ่งบอกเหตุผลไป ก็มีขุนนางถามว่าครั้งก่อนที่ยึดครองเเดนเติร์กตะวันตกก็ไม่มีปัญหาอะไรไม่ใช่หรืออย่างไร เหตุใดตอนนี้ถึงมีปัญหา เกิดจากการไร้ความสามารถของเจ้าใช่หรือเปล่า

 

 

จั่งซุนอู๋จี้อยากจะส่งไอ้โง่คนนี้ไปเรียนวิชาภูมิศาสตร์อีกครั้ง ให้เขาดูว่าเเดนเติร์กตะวันตกตั้งอยู่ตรงไหน และชนเผ่าเซวียเหยียนถัวกับชนเผ่าเกาชังตั้งอยู่ตรงไหน ความแตกต่างของทั้งสองแห่งมากกว่าหนึ่งพันไมล์ จำนวนคนมากกว่าครั้งก่อน ระยะทางไกลกว่าครั้งก่อน ความยากลำบากเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว กรมคลังก็มีอยู่แค่นั้น แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้หรอก

 

 

เกิดการดุด่ากันในที่ประชุม ถึงแม้ว่ากรมการคลังจะยังพอมีสิ่งของอยู่บ้าง แต่จะสนใจแค่ผลประโยชน์ตรงหน้าไม่ได้ สนใจแต่การสู้รบปรบมือ หากเกิดภัยพิบัติในประเทศขึ้นมา ใครกล้ารับผิดชอบกันล่ะ หากไม่สนใจประชาชนในประเทศ การล่มสลายของราชวงศ์สุยคือบทเรียนความล้มเหลวของรุ่นก่อนอย่างไรล่ะ

 

 

ตู้หรูฮุ่ยรู้ว่าตัวเองจะต้องออกหน้าแล้ว หลี่ซื่อหมินมองมาที่เขามากกว่าหนึ่งครั้ง ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป ก็มีชายสวมเสื้อคลุมสีม่วงเดินออกไปก่อน เดิมทีคิดว่าเขาคนนี้ก็คงจะโจมตีจั่งซุนอู๋จี้เช่นกัน ใครจะไปคาดคิดว่าเปิดปากพูดก็ทำให้ตู้หรูฮุ่ยตกใจ อดไม่ไหวที่จะกอดหอมเขาสักสองสามที ในโลกนี้ยังมีคนดีเช่นนี้หลงเหลืออยู่ เขาเป็นคนช่วยตระกูลตู้เอาไว้ เบ้าตาของเหล่าตู้แดงไปหมด

 

 

“ฝ่าบาท ข้าวของเหล่านั้นในคลังของประเทศไม่เหมาะนำมาใช้งานจริงๆ กระหม่อมคิดว่าหากพวกกระหม่อมสามัคคีกัน ไม่พูดถึงความลำบากเล็กๆ น้อยๆ กระหม่อมยอมบริจาคเสบียงอาหารด้วยความสมัครใจ เมื่อก่อนเคยได้ยินหลานเถียนเซี่ยนโหวอวิ๋นเยี่ยพูดว่าได้ทรัพย์สมบัติมากมายจากแคว้นหลิ่งหนาน นี่ก็เป็นปีแล้ว คิดว่าน่าจะเก็บสะสมเสบียงได้ไม่น้อย กระหม่อมจึงจะบริจาคเงินทั้งหมด เพื่อช่วยบรรเทากองทัพของประเทศชาติ ไม่เพียงแค่นั้น กระหม่อมสมัครใจออกไปประจำการที่หลิงโจว ไปเป็นกองหลังคอยสนับสนุนกองทัพ หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นด้วย”

 

 

ทุกคำพูดของจางเลี่ยงทำให้ตู้หรูฮุ่ยซาบซึ้ง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่ใจกว้างอย่างจางเลี่ยง ไม่สนใจผลประโยชน์ของตัวเอง แล้วยังทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น

 

 

จั่งซุนอู๋จี้ที่ถูกโจมตีจนอับอายก็พูดขึ้นมาว่า “กระหม่อมก็ได้รับทรัพย์สมบัติจากแคว้นหลิ่งหนานเช่นกัน เพื่อกองทัพของประเทศชาติ กระหม่อมก็ยอมที่จะบริจาค”

 

 

ทั้งสองคนพูดเช่นนี้ ฝางเสวียนหลิงในฐานะสมุหนายกก็ทำได้แค่ยืนขึ้นตอบรับการบริจาค จากนั้นก็ถึงตาของตู้หรูฮุ่ยแล้ว ณ เวลานี้ ตู้หรูฮุ่ยที่ไร้ความกดดันทางจิตใจก็ต้องคล้อยตามไปอย่างแน่นอน เพียงแค่พิจารณาแทนตระกูลแต่ละตระกูล ไม่ปล่อยให้บรรดานายพลที่ไปหลิ่งหนานทำไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาตัดสินใจบริจาคหกส่วน ส่วนที่เหลือจะแบ่งให้กับนายพลประจำตระกูล ต่อไปจะได้มีคนดูแลแต่ละตระกูล แล้วก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีสำหรับราชสำนัก

 

 

หลี่ซื่อหมินมองไปที่ตู้หรูฮุ่ยอยู่นาน จากนั้นก็มองไปยังจางเลี่ยง ตู้หรูฮุ่ยยิ้มแล้วส่ายหน้าให้ฮ่องเต้ บอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไร เขากระโดดเข้าไปเอง

 

 

หลี่ซื่อหมินนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มให้จางเลี่ยง เขาไม่สนใจว่าใครเป็นคนเสนอขึ้นมาก่อน ขอแค่เป้าหมายของตัวเองสำเร็จก็พอ ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ ตัวเองรนหาที่ตายเอง อย่าโทษคนอื่น

 

 

“ในเมื่อทุกท่านเห็นพ้องต้องกัน ปรารถนาดีเราก็ขัดไม่ได้ องครักษ์ของเราบางคนก็อยู่ในหลิ่งหนาน เช่นนั้นก็ทำตามที่ตู้หรูฮุ่ยบอก เราก็บริจาคหกส่วน หลานเถียนเซี่ยนโหวอวิ๋นเยี่ยก็อยู่ที่หลิ่งหนาน สั่งให้เขารับผิดชอบหกส่วน ส่งกลับมาที่ฉางอันโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ช่วยบรรเทาความจำอย่างเป็นเร่งด่วน”

 

 

ตู้หรูฮุ่ยโค้งคำนับแสดงความยินดีกับพฤติกรรมที่ชาญฉลาดของฮ่องเต้ ขุนนางคนอื่นๆ ก็คุกเข่าคำนับตามอย่างงงงวย พึมพำในใจว่านี่ชาญฉลาดแล้วเหรอ สมบัติล้ำค่าในหลิ่งหนานจะบรรจุได้เต็มคลังของประเทศเชียวหรือ