[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 30 ใช้กำลังบังคับ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ตู้หรูฮุ่ยขี่ม้าไปด้วยยิ้มไปด้วย คนรับใช้ไม่เข้าใจว่าตอนเช้านายท่านยังร้องไห้อยู่เลย เหตุใดไปราชสำนักกลับมาเขาถึงได้มีความสุขเช่นนี้แล้วล่ะ 

 

 

นี่เป็นเรื่องโชคดีที่สุดในชีวิตของตัวเอง มีคนออกหน้าแทน แล้วยังไม่ต้องขอบคุณ ตัวเองเหลือไว้ให้พวกขุนนางสี่ส่วน ไม่จำเป็นต้องพูด เมื่ออวิ๋นเยี่ยขนสมบัติล้ำค่ากลับมาจากหลิ่งหนาน ทั้งเมืองฉางอันจะต้องรุกเป็นไฟอย่างแน่นอน ข้าเหล่าตู้จะเป็นคนเดียวที่พวกเขาจะต้องขอบคุณ แล้วก็อาจจะมีอวิ๋นเยี่ย ไอ้เจ้าเล่ห์คนนั้น คงไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้เป็นคนดีไปอย่างแน่นอน รู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้ว ตู้หรูฮุ่ยก็พอจะเข้าใจอวิ๋นเยี่ยอยู่บ้าง 

 

 

ที่บ้านมืดครึ้ม ภรรยากำลังเตรียมที่จะอพยพคนในบ้าน ให้พวกเขากลับไปดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจที่บ้านเกิดของตัวเอง ให้มีอนาคตที่ดีขึ้น 

 

 

ทั้งจวนตระกูลตู้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ ได้ยินเหล่าตู้กลับมา ภรรยาก็ออกมาต้อนรับ เห็นสามียิ้มมาแต่ไกล เป็นไปได้ว่าเรื่องราวพลิกผันไปในทางที่ดีแล้วหรือไม่ 

 

 

“ให้พวกเขาไปทำในเรื่องที่ควรทำ อย่าร้องไห้เอะอะน่ารำคาญ หากชอบอยู่ฉางอันก็อยู่ฉางอัน ตระกูลของเราจะไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น จะอยู่เช่นนี้ต่อไป รอผลประโยชน์ที่จะมาจากหลิ่งหนาน มีความสุขสักสองสามวัน ตอนนี้ไปเตรียมอาหารให้ข้า เอาเหล้ามาด้วย กินอิ่มแล้วข้าจะนอนหลับ” 

 

 

ภรรยายิ้มตอบตกลง ดูแล้วตระกูลของตัวเองน่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ไม่รู้ว่าท่านพี่ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน ต้องบำรุงให้มากหน่อย อายุมากแล้ว ไม่ได้นอนทั้งคืน ไม่ดี ถือว่าทำร้ายร่างกาย 

 

 

เหล้าจิบหนึ่ง ข้าวคำหนึ่ง ทั้งร่างกายของตู้หรูฮุ่ยค่อยรู้สึกผ่อนคลายลง ครั้งนี้ฮ่องเต้ทำผิดต่อเขา ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะไม่ได้เป็นไปตามความหวังของฮ่องเต้ แต่ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมาย ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร สำหรับตระกูลตู้นี่เป็นจุดจบที่ดีที่สุด ฮ่องเต้ยังคงติดหนี้บุญคุณเขาอยู่ 

 

 

หลังจากฟังที่ตู้หรูฮุ่ยเล่า ภรรยาของเขาก็หัวเราะจนน้ำตาไหล สองสามีภรรยากลั้นหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ในบ้าน 

 

 

สองสามวันนี้อวิ๋นเยี่ยตระเวนรอบเมืองไม่หยุด มีหลิวฝูลู่ไปเป็นเพื่อนด้วย ทั้งสองคนตระเวนตามถนนทุกเส้น ตรอกซอยทุกตรอกจนเข้าใจแผนผังทั้งเมือง หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยเตรียมตัวพร้อมสรรพ เขาก็จะเริ่มลงมือเลย เพราะหากยังไม่ลงมือ มัวแต่รอให้ฮ่องเต้มีคำสั่ง ตัวเขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้ลงมือแล้ว 

 

 

ไม่ว่าโลกนี้จะมีคนฉลาดสักกี่คน ทั้งๆ ที่รู้ว่าการเข้าไปขุดหาทองคำในป่าเป็นเรื่องที่อันตราย เมื่อเห็นคนอื่นตะโกนเข้าไปในป่าก็ไม่สามารถยับยั้งใจที่กระตือรือร้นของตัวเองได้ สุดท้ายก็ตามกองทัพม้าเข้าไปในป่า 

 

 

องครักษ์ของตระกูลอวิ๋นมาครบหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยมัดกระบอกไม้ไผ่เป็นพวง หาที่ที่ไม่มีคนจุดไฟ ได้ยินเสียงดังลั่น นกบนภูเขาก็บินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที บินขึ้นไปบนภูเขาด้วยความตื่นตระหนก 

 

 

องครักษ์ดึงหูที่กำลังอื้ออึง มองไปยังท่านโหวของตัวเองราวกับมองเทพเจ้า สองสามวันนี้ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเอาถ่านดินประสิวและกำมะถันมาทำของสิ่งนี้ขึ้นมา เมื่อรู้ว่ามันมีประสิทธิภาพถึงเพียงนี้ตอนที่เห็นลำต้นหนาของต้นไม้ใหญ่ถูกระเบิด แต่ละคนก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไป ตัวเองแบกระเบิดอยู่บนหลัง ท่านโหวไปเอาเทพระเบิดมาจากไหน 

 

 

“อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร คนที่พูดออกไปถึงแม้ว่าข้าจะไม่เอาความ แต่ก็จะถูกคนอื่นเอาความได้ ตระกูลของเราไม่ต้องการสิ่งของพวกนี้ สิ่งของพวกนี้เป็นอันตราย ในโลกอนาคตคนที่ตายเพราะสิ่งนี้มีเยอะจนนับไม่ถ้วน หลังจากวันนี้ ก็ลืมมันไปซะ จำไว้ จำไว้ให้ดี” 

 

 

องครักษ์ต่างพากันรีบตอบตกลง นี่เป็นอาวุธวิเศษของเทพเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะต้านทานได้ ครั้งนี้ที่ใช้ได้ก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว หากยังพูดมากอาจจะถูกเทพเจ้าลงโทษเอาได้ ท่านโหวไม่กลัว แต่ตัวเองระวังตัวไว้ดีกว่า 

 

 

ทหารพรานและวีรบุรุษในท้องถิ่นต้องถูกกำจัดจนหมด ไม่เช่นนั้นหลี่อันหลานไม่ต้องคิดที่จะครอบครองดินแดนแห่งนี้เลย อวิ๋นเยี่ยไม่อยากฆ่าคน แต่แค่ต้องการไล่สัตว์ร้ายในป่าและคนพวกนั้นไป 

 

 

ป่าดึกดําบรรพ์ของต้าถังอุดมไปด้วยสัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์ มีสัตว์ป่ามากมายนับไม่ถ้วน มีสัตว์ร้ายอยู่บนภูเขาเกือบทุกลูก หลังจากเสียงระเบิดดินปืนดังขึ้น ก็คงเพียงพอที่จะขับไล่สัตว์ป่าพวกนั้นขึ้นไปอยู่บนภูเขา สัตว์ล้วนแต่เป็นสัตว์อ่อนไหว เสียงฟ้าร้องครั้งก่อนที่อยู่ในถ้ำยังทำให้สัตว์ร้ายต่างพากันตื่นตระหนก ไม่มีเหตุผลที่ระเบิดดินปืนของตัวเองจะเทียบเคียงเสียงฟ้าร้องไม่ได้ 

 

 

เมื่อจัดเตรียมเสร็จสิ้น อวิ๋นเยี่ยก็กลับเข้าไปในเมือง องครักษ์กลุ่มละสองคนเคลื่อนที่ไปตามเส้นโค้งรูปกระเป๋า ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงก็ทำการจุดกระสุนปืนใหญ่ ทำให้สัตว์ร้ายพวกนั้นเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางข้างหน้าที่กำหนดไว้ 

 

 

ยังไม่ทันได้เข้าเมือง ก็มีเสียงฟ้าร้องดังมาจากด้านหลัง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนกำลังจะตก แค่ฟังจากเสียงฟ้าร้องก็รู้แล้วว่าฝนกำลังจะตกหนัก 

 

 

หงเฉิงไม่รู้เรื่องพวกนี้ เขายังคงจมอยู่กับความสุขที่ได้สมบัติล้ำค่า การโจมตีครั้งนี้เป็นการหาสมบัติล้ำค่า ทหารทุกคนล้วนแต่มีพลังและจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่พวกเขาก็ยังคงยิ้มได้ ขอแค่ประสบความสำเร็จก็จะได้รับเงินรางวัลจำนวนมาก ไม่มีการลำเอียง ไม่มีการได้รับสิทธิพิเศษ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกองทัพ ศพสองสามศพบนรถเหม็นหมดแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ คืนนี้จะเผาพวกเขาให้เป็นเถ้าถ่านแล้วเอาไปด้วย ตายแล้วก็ไม่มีอะไร ชีวิตหนึ่งจะได้เงินสามร้อยเหรียญ คิดอย่างไรก็ไม่ขาดทุน คนที่อายุห้าสิบกว่าแล้ว ตายไปก็ไม่ถือว่าเร็วเกินไป ทิ้งเงินไว้ให้ภรรยาและลูกๆ เป็นเรื่องสำคัญกว่า 

 

 

ในเมืองมีหอนางโลมใหญ่อยู่โรงหนึ่ง เดิมทีก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ แต่ตั้งแต่ทหารพวกนี้มา มันก็เริ่มใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ โสเภณีจากทั่วประเทศต่างพากันมาทำมาหากินที่เมืองเล็กๆ อย่างยงโจว ดังนั้นอาคารหรูหราที่ใหญ่โตที่สุดในเมืองก็คืออาคารที่เรียกว่าชุ่ยเฟิ่งโหลว 

 

 

หลังจากผ่านการฆ่าฟันพวกทหารก็ต้องการที่ที่ปลอบประโลมร่างกายและจิตใจ ไม่มีใครจิตวิปริตเหมือนหลิวจิ้นเป่า ชอบฆ่าคน ถูกมีดบาดเข้าที่เนื้อเป็นใครก็ต้องกรีดร้อง ฆ่าคนเยอะเกินไปอาจจะกลายเป็นบ้าได้ หากไม่มีหอนางโลม พวกเขาก็คงจะทำเรื่องผิดศีลธรรมทุกอย่าง 

 

 

หงเฉิงไม่อนุญาตให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ฆ่าคนได้ ปล้นทรัพย์ได้ ข้าก็ทำเรื่องเช่นนี้มาตลอด แต่จะมีการข่มขืนเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีแม้แต่กฎระเบียบข้อนี้ กองทัพนี้คงจะไม่ใช้กองทัพทหารอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นกองทัพสัตว์ร้ายทันที 

 

 

ไอ้คนที่ข่มขืนภรรยาของฮ่องเต้ครั้งก่อน ตอนนี้ทำได้แค่เฝ้าดูคนอื่นหยอกล้อเล่นกับโสเภณี ตัวเองได้สูญเสียความสามารถบางอย่างไป เมื่อรองเท้าหนังของหงเฉิงเหยียบอยู่ด้านบน ไข่ที่เป็นเหล็กก็แบนลีบลงไป หลังจากเหยียบตรงเป้ากางเกงไปแล้วตั้งสิบกว่าคนก็ไม่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นในกองทัพอีกเลย สักครั้งเดียวก็ไม่มี พอเห็นสาวสวยต่างชนเผ่า เพื่อความปลอดภัยของสหาย พวกทหารเลือกจะถือดาบออกมาก่อนเป็นอันดับแรก ยิ่งสวยก็ยิ่งตายเร็ว 

 

 

หลังจากกองทัพเข้ามาในเมือง นอกจากคนที่คุ้มกันเงินทองและเสบียงอาหาร คนอื่นๆ ต่างพากันแยกย้าย เป้าหมายหลักก็คือผู้หญิงที่โบกผ้าเช็ดหน้าพวกนั้น 

 

 

หงเฉิงยิ้มและหันหน้าไปพูดกับพวกทหารที่เหลืออยู่ว่า “กลับไปนับให้เสร็จเรียบร้อย เราก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน เหลาเป่าจือบอกแล้วว่าจะเหลือคนดีๆ ไว้ให้เรา” 

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์ที่มีหนวดเคราหัวเราะขึ้นอย่างน่าประหลาด รีบขับรถม้าเข้าไปในค่าย มีคลังเก็บของขนาดใหญ่อยู่ใต้ค่าย ตอนนี้มีความกังวลอยู่ว่าของจะมากเกินจนเก็บไม่พอ หงเฉิงเขียนจดหมายถึงฝ่าบาท แต่กลับไม่ได้รับจดหมายตอบกลับ มันทำให้เขาลำบาก คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาควบคุมยากขึ้นทุกวัน ออกมาปีกว่าแล้ว คนที่หาเงินก็หาพอแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือกลับบ้าน เปลี่ยนคนอีกกลุ่มหนึ่งมา ที่นี่เป็นคลังสมบัติธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของต้าถัง หากหมดลงแล้วก็แค่มาเอาใหม่ที่นี่ 

 

 

เมื่อเข้ามาในคลังเก็บของ หงเฉิงก็โมโหจนควบคุมไม่ได้ ในคลังเก็บของมีคนอยู่ได้อย่างไร เอามือไพล่หลังเพลิดเพลินกับการชื่นชมสมบัติล้ำค่า เห็นของที่มีค่าแล้วยังกล้าหยิบมาใส่กระเป๋าอีกต่างหาก 

 

 

ใครช่างกล้าบังอาจ? ไม่รู้ว่าทำเช่นนี้จะถูกถลกหนังหรอกหรือ เห็นไอ้เจ้านั่นเอาไข่มุกขนาดเท่าไข่ไก่ใส่ในแขนเสื้อ หงเฉิงก็ชักมีดออกมาทันที เขาตัดสินใจที่จะฆ่าเจ้านั่นซะ หากไม่ได้ฆ่าเขาสามวันสามคืน อย่ามาเรียกข้าว่าหงเฉิง 

 

 

ในคลังเก็บสมบัตินั้นมืดมาก คนอื่นๆ พากันยิ้มรอดูเรื่องสนุก พี่หงจะต้องให้พวกเขาได้เห็นฉากนองเลือดอย่างแน่นอน แต่ฉากตรงหน้าทำให้ลูกกะตาของพวกเขาแทบจะถลนออกมาแทน 

 

 

พี่หงก้าวไปสองก้าวด้วยความโมโห ทันใดนั้นก็วางมีดลงบนชั้นวางสมบัติ หาไข่มุกสีดำที่กลมและใหญ่กว่าอันนั้นออกมายื่นให้ชายคนนั้น ชายคนดังกล่าวก็พยักหน้าและเอามันใส่ในแขนเสื้ออีกครั้ง พูดอะไรบางอย่างกับหงเฉิง ทันใดนั้นพี่หงก็เงยหน้าหัวเราะ สั่นสะเทือนจนฝุ่นที่อยู่บนชั้นวางตกลงมากระจัดกระจาย 

 

 

ชายคนนั้นเตะพี่หงทีหนึ่ง แต่พี่หงก็ไม่สนใจ จับไหล่ของชายคนนั้นแล้วพูดอะไรก็ไม่รู้ พูดถึงเรื่องตื่นเต้นแล้วยังกอดกันอีกทีหนึ่ง 

 

 

ชายสองคนเดินออกมาจากคลังที่มืดมิด อวิ๋นเยี่ยตัวบวมไปหมด ทั้งร่างกายของเขาเต็มไปสมบัติล้ำค่า แล้วยังเอาแต่บ่นว่าทำไมตัวเองไม่เอาถุงผ้ามาด้วย 

 

 

“คารวะท่านโหว” พวกทหารต่างก็รู้จักอวิ๋นเยี่ย รู้ว่าครั้งนี้ที่พวกเขาร่ำรวยก็เพราะว่าพึ่งใบบุญของท่านโหวท่านนี้ เข้าใจทันทีว่าทำไมพี่หงถึงได้มีท่าทีเช่นนั้น 

 

 

“ลำบากพวกเจ้าแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก ทุกคนต่างก็หากิจการให้ครอบครัวได้ หากใครที่อยากจะรับตำแหน่งขุนนางก็มาสมัครที่นี่ได้ สืบทอดได้สามรุ่น ตำแหน่งไม่ใหญ่โตมาก ตั้งแต่นายพันอวี้อู่ระดับแปด สืบทอดรุ่นหนึ่งลดลงหนึ่งระดับ แต่ว่าไม่มีที่ดีๆ ให้พวกเจ้าประจำตำแหน่งที่อื่นนะ มีแต่ที่หลิ่งหนาน หากอยากทำก็มาสมัคร ข้าจะส่งต่อให้พวกเจ้า อนุญาตหรือไม่ต้องรอคำสั่งจากฝ่าบาทอีกที แต่เพื่อพวกเจ้า ข้าได้เขียนฎีกาไปแล้ว คราวนี้จดหมายตอบกลับของฝ่าบาทกำลังเดินทางมา ไม่เกินสองสามวันก็คงถึง โอกาสดีดีกำลังจะตกลงมาจากท้องฟ้า กลุ่มนักฆ่าผู้โชคดี” 

 

 

“ท่านโหว ท่านบอกว่าพวกที่ไม่รู้จักตัวหนังสืออย่างพวกข้าก็เป็นขุนนางได้หรือ” ชายร่างท้วมถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความระมัดระวัง 

 

 

“พวกเจ้าไม่ทำแล้วใครจะทำ ไม่รู้จักตัวหนังสือก็เป็นคนของต้าถังเช่นกัน พวกเจ้ากวาดล้างอาณาเขตใหญ่โตเช่นนี้ได้แล้ว ก็ต้องมีคนบริหารจัดการ ไม่สามารถส่งขุนนางในราชสำนักมาที่หลิ่งหนานได้ หรือจะให้ฝ่าบาทเชิญพวกชนเผ่ากลุ่มน้อยพวกนั้นมาจัดการดีล่ะ ในเมื่อกวาดล้างได้แล้วก็กลายเป็นดินแดนของต้าถัง ตอนนี้ที่ดินในกวนจงไม่เพียงพอที่จัดแบ่งแล้ว พวกเจ้าคลอดลูกอย่างกับเลี้ยงหมู ใครๆ ก็มีลูกตั้งสามสี่คน คนหนึ่งแปดสิบไร่ ที่นาอีกยี่สิบไร่ คลอดลูกคนหนึ่งก็พันไร่ จะเท่ากับคนที่เป็นโหวอย่างข้าอยู่แล้ว ฝ่าบาทจะเอาที่ดินเยอะแยะขนาดนั้นมาจากไหน ที่ดินในกวนจงเยอะก็จริง แบ่งให้ข้าแบ่งให้เจ้า ยังจะเหลืออยู่อีกได้อย่างไร 

 

 

ดินแดนที่นี่อุดมสมบูรณ์ ปลูกข้าวได้ปีละสามครั้ง เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ พวกเจ้าก็เห็นมาเป็นปีแล้ว ดีหรือไม่ก็คิดเอาเอง”