หลังจากได้ยินคำของเฉินฉางเซิง สวีโหย่วหรงก็นั่งตะลึงอยู่ข้างหน้าต่างไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
ทั้งสองฝ่าความเป็นตายร่วมกันมาในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล ยืนอยู่เคียงข้างกันหันหลังชนกัน ปัดเป่าหิมะออกไป จึงรับรู้ความรู้สึกของกันและกันมานานแล้ว เพียงแต่นางไม่รู้ว่าเขาเป็นนักพรตน้อยจากเมืองซีหนิง ดันนั้นเมื่อออกจากสวนโจว นางก็ได้แต่คะนึงถึงคำสัญญาที่นางได้ให้แก่เขาและเตรียมที่จะจบการหมั้นหมาย แต่แล้วพระราชวังหลีก็ประกาศให้โลกรู้ว่าสระกระบี่ปรากฏขึ้นอีกครั้งและผู้คนมากมายก็ได้เห็นกระบี่ในนั้น หลังจากเปรียบเทียบดูแล้วนางก็ยืนยันได้ในที่สุดว่าเขาก็คือเขา และเข้าใจว่าโชคชะตานั้นล้อเล่นกับหัวใจของผู้คน อีกทั้งยังเล่นตลกกับนาง
แต่นี่สำคัญด้วยหรือ ตราบใดที่เขาคือเขา นางย่อมรู้ความปรารถนาของตัวเองดี บนสะพานหน่ายเหอและตอนที่นั่งกินเนื้อซี่โครง นางรอให้เขาพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเขาไม่เอ่ยออกมา แต่ตอนนี้ ดึกดื่นเพียงนี้ เขากลับปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับข้างหน้าต่างของนาง พูดคำที่ไม่คาดคิดออกมา
ก็ดี มันเหมาะกับวิถีกระบี่ของเขาอย่างแท้จริง
เช่นเดียวกับวิถีดาบของหวังผ้อ ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง
เขาได้ใช้คำพูดแทงทะลุหน้าต่างตรงหน้านางเข้ามา และนำนางกลับไปยังถนนเสินในสุสานโจว
สวีโหย่วหรงยืนขึ้นและมองไปยังร่างของเขาผ่านหน้าต่าง จากนั้นก็ยื่นมือออกไปเปิดหน้าต่าง
เกล็ดหิมะปลิวเข้ามาสายลม ร่วงลงบนใบหน้านางพร้อมกับความเย็น
“ตี้หลง[1]เผาไหม้รุนแรงเกินไป ห้องนี้ก็ออกจะร้อนไปสักหน่อย”
นางมองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าวราวกับว่าจะอธิบายว่า เหตุใดนางจึงเปิดหน้าต่างออก แต่นางไม่สังเกตว่าคำอธิบายนี้ออกจะน่ารักไปหน่อย
เฉินฉางเซิงมองหน้านาง ไม่ทันสังเกตเห็นความวิตกของนางที่กล่าวคำอธิบายซึ่งออกจะน่ารักเช่นนี้ออกมา เขาแค่รู้สึกว่านางน่ารักมาก
“ข้ายืนอยู่ข้างนอก ก็รู้สึกว่าร้อนเล็กน้อย” เขากล่าวอย่างซื่อตรง
ตอนนี้ก็กลางเหมันต์แล้ว ในยามดึกดื่นเที่ยงคืน อากาศจึงหนาวเย็น มีเกล็ดหิมะโปรยปรายไปทั่ว
“ยืนมานานเพียงไรแล้ว” สวีโหย่วหรงถามครั้นเห็นหิมะบนร่างเขา
เฉินฉางเซิงใคร่ครวญถึงคำถามแล้วส่ายหน้า “ข้าลืมไปแล้ว”
สวีโหย่วหรงซัก “ทำไมไม่เข้ามา”
เฉินฉางเซิงตอบ “กลัวจะรบกวนการพักผ่อนของเจ้าแล้วก็… ซวงเอ๋อร์ก็อยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ เกรงว่านางจะเห็นเราแล้วไปพูดอะไร”
สวีโหย่วหรงถาม “แล้วตอนนี้เจ้าอยากจะเข้ามาหรือไม่”
เฉินฉางเซิงตอบ “ไม่ต้อง ข้ามา… เพราะมีบางอย่างอยากมอบให้เจ้า”
กล่าวแล้วก็ถอดกำไลลูกปัดบนข้อมือ บรรจงวางลงในมือ แล้วยื่นมือเข้าไปในหน้าต่าง “มีทั้งหมดสิบเม็ด หยิบไปห้า”
อันที่จริงเขาลืมไปนานแล้วว่าไม่มีข้อตกลงระหว่างพวกเขาในการแบ่งสมบัติจากสุสานโจว เขาเพียงคิดว่าเป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสมเพราะพวกเขาค้นพบสุสานโจวด้วยกัน ทุกอย่างที่พวกเขาพบในสุสานโจวก็ควรจะแบ่งอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาดาบสองท่อนหรือลูกปัดหินทั้งสิบนี้
“นี่…” เสียงสงสัยของสวีโหย่วหรงหยุดลงในทันทีและเงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง “นี่คือสิ่งที่….อยู่รอบสุสานโจวกระนั้นหรือ”
หากนี่เป็นยอดฝีมือคนอื่น แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่จากนิกายหลวงอย่างราชันย์แห่งหลิงไห่ ก็คงไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติจากสิ่งที่ดูเหมือนกับลูกปัดหินธรรมดานี้ เพราะลูกปัดหินเหล่านี้มิได้แผ่ไอพลังปราณออกมา กระนั้นก็ตาม นางได้เริ่มศึกษาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ตั้งแต่อายุได้สิบขวบ และได้เห็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในสวนโจวกับตาตัวเอง ดังนั้นนางจึงสามารถสัมผัสได้ว่าลูกปัดเหล่านี้มีอะไรบางอย่างที่ต่างไป
“ใช่แล้ว” เฉินฉางเซิงมองกลับไปที่นางและกล่าว “สวนโจวไม่ได้หายไป หากอยากกลับเข้าไปดู ข้าสามารถนำเจ้าเข้าไปได้”
เขาไม่ได้บอกว่า “เข้าไปในสวนโจว” ตรงๆ แต่กลับถามว่านางต้องการกลับไปหรือไม่ นั่นเป็นเพราะว่าสำหรับเขาและนางแล้ว สวนโจวเป็นสิ่งที่สำคัญมากเหลือเกิน
เมื่อได้ยินว่าสวนโจวไม่ได้พังทลายและเขาสามารถเข้าไปได้ สวีโหย่วหรงก็ตกตะลึง
แต่สิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงก็คือลูกปัดหินบนฝ่ามือของเขา
นางถามอย่างจริงจัง “เจ้าคิดจะมอบให้ข้าจริงหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบอย่างจริงจัง “หากไม่มีเจ้า ข้าคงตายไปแล้ว แล้วข้าจะสามารถหาสุสานโจวพบได้อย่างไร อย่าว่าแต่สระกระบี่เลย”
สวีโหย่วหรงคิดดู จากนั้นก็รับลูกปัดหินไปห้าเม็ดและรีบเก็บเข้าไปในวังถง
นางรู้สึกว่าคำพูดของเฉินฉางเซิงนั้นมีเหตุผล ดังนั้นนางจึงรับมันไว้อย่างสงบราวกับสายลมอ่อนเมฆจาง ถูกต้องเหมาะสม สัตย์ซื่อเที่ยงธรรม
สิ่งที่เฉินฉางเซิงรักและชื่นชมที่สุดเกี่ยวกับนางก็คือลักษณะนิสัยเช่นนี้
“เช่นนั้นข้าไปละ”
เข้ามาในตำหนักในคืนหิมะโปรย หน้าต่างถูกเปิด ได้เห็นนาง และได้มอบลูกปัดหินแก่นาง ทุกอย่างที่เขาต้องการก็ทำเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ก็เป็นธรรมดาที่ต้องกลับไป นี่เรียกว่ามาอย่างหาญกล้า กลับไปอย่างปีติ นี่คือสิ่งที่ปราชญ์เมธีว่าไว้… แต่เขาเป็นแค่เด็กหนุ่ม ไม่ใช่ปราชญ์เมธี แม้ว่าเขาบอกว่าจะไป แต่เท้ากลับไม่ขยับ
สวีโหย่วหรงกล่าว “กลับมาก่อน”
เฉินฉางเซิงรับคำแต่เท้าของเขาก็ไม่ได้ขยับ เขายังคงไม่ทำอะไรนอกจากมองนาง
นางหันไปเล็กน้อยราวกับว่าต้องการจะหลบสายตาเขา ทว่าความจริงแล้วนางยื่นกายออกมานอกหน้าต่าง
ยิ่งนางเข้าใกล้เท่าไร เขาก็ยิ่งประหม่าเท่านั้น
นางยืดแขนปัดหิมะออกจากไหล่ของเขา เฉกที่นางเคยปัดใบไม้บนไหล่ของเขาที่ถนนเสิน
ช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ใจเย็นยิ่งนัก คุ้นเคยยิ่งนัก สงบยิ่งนัก
กระดาษหน้าต่างได้ทะลุไปนานแล้ว แม้แต่หน้าต่างก็ถูกเปิดแล้ว แต่เขาก็ยังต้องการการยืนยันครั้งสุดท้าย
การปัดหิมะนี้คือการยืนยันนั้น
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าเส้นลมปราณที่บาดเจ็บนั้นได้รับการรักษาและทั่วร่างก็เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เมื่อเขามองนาง ดวงตาก็ส่องประกาย
สวีโหย่วหรงไม่ได้มองเขาที่ดวงตา แต่มองไปที่หิมะยามราตรี รู้สึกใบหน้าร้อนผะผ่าว นางกระซิบแผ่วเบา “พรุ่งนี้ข้าอยากไปเยี่ยมชมสำนักฝึกหลวง”
เฉินฉางเซิงไม่ลังเลอีกต่อไป หันกลับและเดินเข้าไปในความมืดของราตรีหิมะโปรยปราย
เขามั่นใจมากว่าเขาจะต้องนอนหลับได้อย่างแน่นอนในครั้งนี้
…
เฉินฉางเซิงตื่นนอนตอนยามห้า ใช้เวลาห้าลมหายใจปรับสภาพจิตใจ จากนั้นก็ลืมตาขึ้น หลังจากล้างหน้าบ้วนปากสวมใส่เสื้อผ้า ก็ไปวิ่งรอบทะเลสาบ
หากมีใครมานั่งคำนวณจะพบว่าเขานอนหลับไม่ถึงสองชั่วยาม แปลกนักที่เขาเปี่ยมไปด้วยพลัง ไม่มีถุงดำที่ปกติจะมองเห็นได้ใต้ดวงตาของถังซานสือลิ่ว เท้าก็เหมือนจะลอยไปตามสายลม
เมื่อเวลาผ่านไป นักเรียนก็เริ่มมาวิ่งไปตามริมทะเลสาบจำนวนมากขึ้น ทว่าไม่มีใครวิ่งเร็วไปกว่าเขา บางคนถึงขนาดโดนเขาวิ่งแซงไปเป็นรอบ เมื่อนักเรียนเหล่านั้นมองเห็นเขา พวกเขาก็รีบคำนับ
ไม่ว่าเขาจะอายุน้อยเพียงใด อย่างไรก็คือเจ้าสำนัก ยิ่งได้รับการยืนยันเมื่อคืนนี้ว่าเป็นผู้สืบทอดของใต้เท้าสังฆราช ดังนั้นพวกนักเรียนจึงยิ่งมีสัมมาคารวะมากกว่าปกติ
ส่วนตัวเขานั้นกลับไม่เห็นความแตกต่าง เขาทักทายตอบกลับไปอย่างใจเย็น ถึงขนาดมีความอดทนกว่าปกติ
ที่โรงอาหารขนาดเล็กตรงข้ามทะเลสาบ อาหารเช้าที่ถูกจัดเตรียมไว้ก็คือโจ๊กลูกเดือยทอง แต่เขาไม่อาจบอกได้ว่ามันต่างไปจากโจ๊กลูกเดือยธรรมดาตรงไหน แม้แต่ยามที่เซวียนหยวนผ้อนำกระบี่มหาสมุทรขุนเขาจากกองไม้ฟืนและอวดมันตรงหน้าเขา พูดเรื่องการฝึกฝนเมื่อคืนนี้ว่าเขาสามารถดึงดูดฟ้าร้องฟ้าผ่าได้สำเร็จ เฉินฉางเซิงก็ไม่อาจเห็นความแตกต่างของกระบี่มหาสมุทรขุนเขาเมื่อเทียบกับตอนที่มันออกมาจากสระกระบี่ในสวนโจวตอนแรก
พูดง่ายๆ ก็คือเขาออกจะเหม่อลอย มักมองไปทางวังหลวงอยู่เป็นระยะๆ
“เจ้าไม่ได้ป่วยใช่ไหม” ถังซานสือลิ่วถามพลางอ้าปากหาว
เฉินฉางเซิงได้สติกลับมาก็เห็นถุงดำใต้ตาทั้งสองของถังซานสือลิ่ว จึงตอบกลับไปว่า “ข้าคิดว่าเจ้าต่างหากที่ป่วย”
ถังซานสือลิ่วคิดอย่างโกรธเคือง หากมิใช่เพราะข้าจับตาดูอาการป่วยของเจ้าที่หายหัวไปดึกดื่นค่อนคืน แต่ดันเหนื่อยเกินจนเผลอหลับไปกลางหิมะ ก็ไม่มีทางที่ข้าจะอ่อนแรงถึงเพียงนี้หรอก
สาเหตุที่เฉินฉางเซิงมองไปทางวังหลวงนั้นก็เพราะเมื่อคืนนางบอกว่านางต้องการจะมาและเขาก็กำลังรอนาง
แน่นอนเขาอยากเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสวีโหย่วหรงให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะสหายของเขา
ถังซานสือลิ่วนั้นเป็นสหายที่เขาไว้ใจที่สุดเสมอมา แต่สวีโหย่วหรงได้บอกว่านางไม่ต้องการให้เขาบอกกับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงต้องปิดบังเอาไว้
หลังอาหารเช้า เขาก็ล้างหน้าแปรงฟันอีกครั้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และยืนคอยอยู่ข้างหน้าต่าง
เป็นเพราะปกติเขาก็รักสะอาดอยู่แล้วจึงไม่เป็นที่สะดุดตาของคนในสำนักฝึกหลวงแต่อย่างใด
หลังจากรออยู่ระยะเวลาหนึ่งก็ได้ยินเสียงร้องของนกกระเรียนจากระยะไกล
เขาตามเสียงร้องของนกกระเรียนไป ไม่นานนักก็เห็นนกกระเรียนขาวอยู่ลึกเข้าไปในป่าฤดูหนาว รวมถึงนางที่นั่งอยู่บนกระเรียน
สวีโหย่วหรงยังคงใส่เสื้อนวมตัวใหญ่จากเมื่อวาน แต่หาได้ทำให้นางดูบ้านนอก กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน
อาจเป็นเพราะนางไม่อยากให้คนอื่นเห็น จึงใช้วิชาลับของสถานศึกษาหนานซีทำให้หน้าตานางดูธรรมดามากขึ้น เหมือนกับที่นางเคยทำในสวนโจว
เมื่อเห็นหน้าตาที่ธรรมดาของนาง เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกผิดหวัง แต่กลับรู้สึกใกล้ชิดกับนางยิ่งขึ้น
บางทีความใกล้ชิดนี้ที่ทำให้เขาค้นพบความต้องการที่จะพูดคุยกับนางอย่างสบายๆ เฉกเช่นที่ทำในสวนโจว
เขามองดูชุดนวมใหญ่หนาที่ทำให้นางดูน่ารัก และหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็รวบรวมความกล้าพูดออกไป
“กลิ่นเนื้อซี่โครงแรงมาก อยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่หรือไม่ บางทีเจ้าอาจใส่ของข้าก่อนและข้าจะช่วยซักให้เจ้า”
สวีโหย่วหรงจ้องมองเขาตะลึงงัน จากนั้นนางก็ทั้งโกรธทั้งอายอย่างแท้จริง เริ่มหันกลับและเดินไปทางกระเรียนขาว
เฉินฉางเซิงได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นช่างน่าขัน เขารีบตามนางไปและทำไม้ทำมือส่งสัญญาณให้กับกระเรียนขาว
กระเรียนขาวเป็นเพื่อนเก่าของเขา มันบินไปพร้อมกับส่งเสียงร้องโดยไม่รอสวีโหย่วหรง
สวีโหย่วหรงยืนอยู่กลางหิมะ ตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง
นับตั้งแต่สองปีก่อน นางก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมกระเรียนขาวถึงได้สนิทสนมกับเฉินฉางเซิงและปฏิบัติกับเขาด้วยดี
“ตอนนั้นเจ้าทำอะไรกับมัน”
นางมองดูเฉินฉางเซิงและถาม “ทำไมมันถึงได้เชื่อฟังเจ้านัก”
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนพูดเรื่องวัยเด็ก
“ข้าเคยบอกไปแล้วในจดหมายที่เราส่งถึงกันตอนยังเด็ก เจ้าแค่ลืมมันไป” เมื่อเฉินฉางเซิงคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อตระหนักเกิดอะไรขึ้น ความไม่สบายนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นความหงุดหงิด “ข้าพูดผิดไปเมื่อครู่ อย่าได้ถือสา แค่คิดถึงคำที่ถังถังเคยพูด”
‘คำ’ ที่ว่านั้นก็คือตอนที่ถังซานสือลิ่วเรียกเขาว่าหมู
…
กระเรียนขาวจากไปไม่หวนกลับ ป่าฤดูหนาวไร้ผู้คนเดินเล่นอย่างเสรี
เกล็ดหิมะลอยลงมาช้าๆ เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเดินผ่านป่าอันสันโดษของสำนักฝึกหลวงภายใต้ร่มคันหนึ่ง
“ข้า เจ๋อซิ่ว กับคนอื่นล้วนพักที่นี่” เฉินฉางเซิงนำนางไปชายป่า ชี้ไปยังบ้านที่อยู่ใกล้ๆ
เขากล่าวพลางนึกได้ว่านางเคยมายังสำนักฝึกหลวงในคืนนั้น และอาจได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้าม เขาอธิบาย “อย่าได้เข้าใจผิด วันนั้นถังถังยืนกรานจะลากข้ากับซูม่ออวี่ไป ซูม่ออวี่เป็นส่วนหนึ่งของสำนักจวนราชวังหลี อันดับสามสิบสามบนประกาศชิงอวิ๋น ดังนั้นเจ้าอาจจะได้ยินเรื่องของเขามาก่อน ในตอนนี้เขาก็อยู่กับพวกเรา”
คำพูดของเขามีสองประเด็น เขาพูดอย่างเป็นธรรมชาติ และคำพูดก็แฝงไว้ด้วยความภาคภูมิของวัยหนุ่ม ประหนึ่งกำลังอวดโอ่ความสำเร็จให้นางฟัง
ทันใดนั้นเสียงก็ดังมาจากป่าฤดูหนาว
“ว่าแล้วเชียวว่าเจ้ามีเรื่องบางอย่างซ่อนไว้! มิน่าเล่าเจ้าถึงไม่จับมือสาวเมื่อนางอยู่ในอ้อมอกของเจ้าในคืนนั้น ที่แท้… เจ้าก็มีคนรักอยู่แล้ว!”
เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น กองหิมะก็พลันระเบิดออกและถังซานสือลิ่วก็โผล่ออกมา
…
[1] ตี้หลง (地龙) ในที่นี้หมายถึงระบบทำความร้อนแบบโบราณที่ส่งลมร้อนผ่านพื้นห้องโดยเตาเผาจะอยู่ภายนอกห้อง