ถังซานสือลิ่วมีหิมะปกคลุมอยู่ทั่วกาย ใบหน้าขาวซีด ถุงดำใต้ตาคล้ำก่ำกว่าปกติวิสัย ดูซีดเซียวจนถึงขีดสุด ช่วงสองวันมานี้เพื่อหาความลับของเฉินฉางเซิง เขาเค้นสมองใช้ความคิดไม่กินไม่นอน และแล้วหลังจากที่ทุ่มเทมากมาย ถึงขนาดใช้ของวิเศษจากตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยไปสองชิ้น ก็สามารถปกปิดไอปราณในร่างและจับเฉินฉางเซิงได้คาหนังคาเขา
“ฮ่าๆๆ!” เสียงหัวเราะของเขาดังก้องทั่วป่า จากนั้นเขาก็เดินมาหาเฉินฉางเซิง เสียงหัวเราะหายไปในทันทีและตำหนิอย่างรุนแรง “นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ พอมีความรักก็ลืมเพื่อน ทำไมเจ้าต้องพูดจาให้ร้ายข้าด้วย จะทำให้เจ้าดูบริสุทธิ์สูงส่งขึ้นหรืออย่างไร ตอนที่ข้าซ่อนอยู่ในหิมะเมื่อครู่ ข้าได้ยินเจ้าพูดชื่อข้าหลายรอบ แต่ไม่มีรอบไหนเลยที่เป็นเรื่องดี!”
“เอ๊ะ ร่มนั่นดูแปลกๆ” ถังซานสือลิ่วมองไล่จากร่มลงมายังคนทั้งคู่ รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง เขาหัวเราะและกล่าว “เรื่องการหมั้นยังไม่ทันจะเรียบร้อยดี เจ้าก็มีอารมณ์มาเดินเล่นใต้ร่มกลางหิมะ! เจ้าน่าจะรู้ว่านางหงส์นั่นค่อนข้างจะถือศักดิ์ศรี หากนางรู้ว่าเจ้าพบสาวน้อยละก็คง…”
เขากำลังเตรียมที่จะข่มขู่เฉินฉางเซิงว่าไม่ยุติธรรม สายตาเขาก็มองไปเห็นสาวน้อยใต้ร่มคันนั้น ทำให้เขาต้องหยุดไปโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ เขารู้สึกว่าสาวน้อยผู้นี้ดูคุ้นตา แม้ว่าเขาจะมั่นใจอย่างมากว่าไม่เคยพบนางมาก่อน
ไพรสณฑ์อันเต็มไปด้วยหิมะกลายเป็นเงียบงันผิดปกติ ยิ่งถังซานสือลิ่วจ้องมองสาวน้อยมากเท่าไร สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นเท่านั้น
สาวน้อยผู้นี้อายุอานามราวสิบห้าสิบหกปี แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่ความงามของเริ่มแย้มบาน ใบหน้าของนางงดงามชดช้อย ทว่าไม่ได้โดดเด่นแต่อย่างใด เสื้อนวมที่นางสวมก็ดูดาดๆ ธรรมดา แต่ก็ทำมาจากแพรไหมสิบสามเส้นที่แพงที่สุด สองคิ้วเรียวโก่งดังใบหลิว เห็นได้ชัดว่าเขียนคิ้วด้วยดินสอหอมเจ็ดลี้ และหากคิดไม่ผิด ปิ่นปักผมที่ปักอยู่บนมวยผมของนางอย่างง่ายๆ นั้นมีราคาแพงกว่าราคาของเสื้อผ้ารองเท้าที่เฉินฉางเซิงเคยสวมใส่มาทั้งชีวิตรวมกันเสียอีก แน่นอนว่าที่กระตุ้นความสนใจของเขามากที่สุดนั้นก็คือดวงตาของนาง แม้แต่ในตอนที่ถูกหยอกล้อ ดวงตาคู่นั้นก็ยังสงบนิ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่ดวงตาของเด็กสาวทั่วไป
เขาว่าจะหยอกล้อเรื่องรสนิยมของเฉินฉางเซิง ทว่าตอนนี้ตระหนักว่าสาวน้อยผู้นี้ไม่มีเรื่องให้ตำหนิติติง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิริยาหรือรสนิยม
แน่นอนว่ากิริยาและรสนิยมของสาวน้อยผู้นี้ รวมไปถึงความมั่งคั่งเกินจะกล่าวนั้นซ่อนอยู่ใต้รายละเอียดเล็กน้อย มีแต่ทายาทตระกูลสูงส่งที่มีความมั่งคั่งเหลือจะกล่าวอย่างเขาเท่านั้นที่จะมองออก
ไม่ว่าอย่างไร นักพรตน้อยจากชนบทแบบเฉินฉางเซิงคงไม่อาจมองเห็นรายละเอียดพวกนี้ได้ ไม่ต่างจากไก่ได้พลอย วานรได้แก้ว หารู้คุณค่าไม่
แม่สาวผู้นี้เป็นใครกัน ถังซานสือลิ่วคิดแล้วคิดอีกถึงบรรดาเครือญาติห่างๆ ของตนรวมถึงบรรดาคุณหนูจากตระกูลสูงส่งในต้าลู่ แต่ก็ไม่พบคำตอบ เขารู้สึกไม่สบายใจและเป็นกังวลอย่างรุนแรง ไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงไปรู้จักกับสตรีชั้นสูงได้อย่างไร และเป็นห่วงว่าเฉินฉางเซิงอาจจะถูกหลอก
ถังซานสือลิ่วมองดูนางด้วยสีหน้าเย็นชาและถาม “ข้าขอถามแม่นาง… อึก!”
ยังมิทันกล่าวจบ เขาก็พลันสะอึกขึ้นมา
เขามองไปที่สาวน้อยผู้นั้น ใบหน้าตกตะลึงอย่างที่สุด มือกุมท้องเอาไว้ราวกับว่าเขากำลังสำลัก เขาคิดไปถึงตอนที่อยู่ในกองหิมะ ได้ยินเสียงนกกระเรียนร้อง และได้ยินเฉินฉางเซิงอธิบายเรื่องในคืนนั้น ดังนั้นเขาจึงคิดถึงความเป็นไปได้ที่เขาปฏิเสธไปเมื่อคืนก่อนด้วยการล้อเลียนและมั่นใจอย่างมาก
“ท่าน….” เขามองนาง อ้าปากค้างอยู่นานแต่ก็ไม่อาจพูดต่อให้จบประโยค จึงหันไปหาเฉินฉางเซิงและถาม “ใคร”
เฉินฉางเซิงพยักหน้า
ถังซานสือลิ่วตัวแข็งทื่อ หันมาทางสวีโหย่วหรงอีกครั้ง ดวงตาเปี่ยมความตกใจ
ในตอนนี้ เฉินฉางเซิงก็ตกตะลึงเช่นกัน เกินกว่าที่เขาจะคาดคิดได้ว่าเจ้าหมอนี่จะทุ่มเทมากมายเพียงนี้เพื่อสืบความลับของเขา
เขาเป็นกังวลเรื่องอารมณ์ของสวีโหย่วหรงอยู่บ้าง จึงหันไปมองนางและอธิบาย “คนผู้นี้….”
“ถังถัง เรียกข้าว่า… อึก… ถังซานสือลิ่วก็ได้”
ถังซานสือลิ่วครองสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วเกินความคาดหมาย แนะนำตัวกับสวีโหย่วหรงได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าจะมีการสะดุดระหว่างประโยคอยู่บ้าง
เขายังคงสะอึกระหว่างพูดราวกับว่าเขากำลังสำลักอะไรสักอย่าง
สวีโหย่วหรงรู้ว่านายน้อยของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยเป็นเพื่อนสนิทของเฉินฉางเซิง เป็นผู้คุมกฏคนปัจจุบันของสำนักฝึกหลวงและยังเป็น… เถ้าแก่คนใหม่ของหอเฉิงหู
ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “น้อมพบเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์”
สวีโหย่วหรงตอบกลับด้วยเสียงเบา “ไม่ต้องมากมารยาทเช่นนั้นก็ได้”
ถังซานสือลิ่วตอบ “ว่ากันว่าในยามที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พักในเมืองจิงตู จะชอบมาทานกุ้งมังกรครามที่หอเฉิงหูใช่หรือไม่”
สวีโหย่วหรงมองเขาโดยไม่เอ่ยอะไร ดวงเนตรนางคลี่ยิ้มดังหนึ่งเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ดังที่คาด ถังซานสือลิ่วกล่าวต่อไป “เดี๋ยวจ้าจะส่งคน…อึก…ให้นำกุ้งมังกรครามไปส่งที่จวนขุนพลเทพ เมื่อท่านกลับไปยังยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะ… อึก…ให้หอ…อึก…เฉิงหูส่งไปให้ท่านทางทะเล ทั้งปีสี่ฤดูไม่มีขาด ข้า… อึก… รับประกัน”
สวีโหย่วหรงตอบ “รบกวนคุณชายถังแล้ว”
ถังซานสือลิ่วโบกมือ “เราเป็นเหมือน… อึก… ครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้อง… อึก… เกรงใจ”
เขาดูเป็นธรรมชาติ ปลอดโปร่งโล่งใจ พูดอย่างหาญกล้า แต่กระนั้นก็ยังสะอึกไม่หยุดตลอดเวลาที่พูด
อันที่จริงแล้ว นี่เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยกย่อง แม้ว่าเขาจะสะอึกไม่หยุดแต่ก็ยังสามารถที่จะสงบจิตใจทำการสนทนาได้
ทางด้านเฉินฉางเซิงที่มองอยู่ก็คิดขึ้นว่า นี่คงเป็นประโยชน์ของการมีหนังหน้าหนากระมัง
สวีโหย่วหรงกล่าว “ไว้คุยกันใหม่คราวหลัง”
ถังซานสือลิ่วหุบยิ้มและกล่าว “ตามแต่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ประสงค์”
เฉินฉางเซิงยกร่มขึ้นเหนือศีรษะสวีโหย่วหรง จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มเดินไปยังส่วนอื่นของป่า
เมื่อเขาเดินผ่านถังซานสือลิ่ว ทั้งสองก็สบตากันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความกังวลนับไม่ถ้วน
“อย่าบอกเรื่องนี้กับคนอื่น”
“วางใจ ข้าเป็นใคร”
เมื่อเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเดินไปหลายสิบจั้งท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ถังซานสือลิ่วก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม พลางยิ้มและโบกมือให้ เขาทำท่าทางบอกลา รอยยิ้มและการโบกมือนั้นเป็นไปอย่างละเมียด แสดงถึงมารยาทและประสบการณ์ที่สั่งสมมาของคุณชายจากตระกูลผู้ดีอย่างชัดเจน
สวีโหย่วหรงกระซิบ “เพื่อนของเจ้าช่างเป็นคนล้ำยิ่งนัก”
เฉินฉางเซิงคิด คำนี้มาจากที่ใดกัน หรือจะเป็นล้ำ จากล้ำลึกสุดหยั่ง
ครั้นถังซานสือลิ่วมองทั้งสองคนเดินหายเข้าไปในป่าจนลับตาแล้ว เขาถึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมา
เขาเดินไปที่ต้นไม้อย่างยากลำบาก ใช้มือเท้าต้นไม้เพื่อพยุงตัว จากนั้นก็เริ่มสะอึกไม่หยุด ถี่ขึ้นกว่าตอนพูดเสียอีก
หลังจากนั้น เขาก็สงบสติได้ในที่สุดและความรู้สึกตกใจก็บรรเทาลง
เขาส่งเสียงร้องประหลาด กอดต้นไม้เอาไว้ จากนั้นก็เริ่มบ่นเกี่ยวกับเฉินฉางเซิงกับตนเอง
ในตอนนั้นเองที่เซวียนหยวนผ้อเสร็จจากการฝึกวิชาในตอนเช้าและเดินออกมาจากส่วนลึกของป่า บังเอิญมาเห็นสภาพบ้าคลั่งของถังซานสือลิ่วที่กอดรัดต้นไม้อยู่ก็รู้สึกประหลาดใจ
“เจ้าไม่ได้บอกข้าอยู่ตลอดหรือว่าการทุบตีต้นไม้นั้นเป็นการกระทำแบบเด็กๆ แล้ววันนี้เจ้ามาทำอะไรกับต้นไม้”
ถังซานสือลิ่วยังคงกอดต้นไม้ต่อไปไม่ยอมปล่อย เขาสะอื้น “ข้าเพิ่งจะทำตัวเองขายหน้าไปวันนี้ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
อันที่จริงเฉินฉางเซิงนั้นไม่อาจเข้าใจได้ว่านาม “สวีโหย่วหรง” นั้นมีความหมายเช่นใดต่อชายหนุ่มใต้ฟ้านี้ แม้ว่าด้วยมิตรภาพกับเฉินฉางเซิงและสัญญาหมั้นหมาย ถังซานสือลิ่วจึงไม่ได้หลงใหลสวีโหย่วหรงเฉกเช่นชายหนุ่มส่วนใหญ่ในโลกหล้าอย่างโอรสของราชามาร แต่อย่างไรนางก็ยังเป็นสวีโหย่วหรง!
แล้วเขาทำอะไรลงไป ช่างน่าอับอายนัก เขาซุกตัวอยู่ใต้หิมะเพื่อแอบฟังทั้งสองคุยกัน แล้วก็ยังพูดนินทานาง เช้านี้เขายังไม่มีเวลาไปล้างหน้าแปรงฟันเลย แล้วถุงดำใต้ตาที่ใหญ่เบ้อเริ่มนั่นอีก ทั้งชีวิตไม่เคยอับอายถึงเพียงนี้มาก่อนและอยากจะกอดต้นไม้เอาไว้ไปตลอดชีวิต
ทันใดนั้นถังซานสือลิ่วก็หันมามองไปที่เซวียนหยวนผ้อและกล่าว “พวกเขาเพิ่งพบกันครั้งแรกเมื่อวาน แล้ววันนี้มาเดินเล่นด้วยกันได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากท่าทีแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะจงใจรักษาระยะห่างเอาไว้ แต่ความจงใจนี่แหละคือปัญหา!”
ตอนพูดก็ยื่นมือขวาออกกำเป็นหมัดและเทียบมันกับเซวียนหยวนผ้อ จากนั้นเขาก็พูด “ช่างเป็นคู่ที่ดี จงใจทำเป็นใจเย็นจะได้ปิดบังจากสายตาข้า ข้าเป็นใคร มองความหลงใหลและท่าทางลักลอบของพวกเจ้าไม่ออกได้อย่างไรกัน!”
เซวียนหยวนผ้อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกว่าถังซานสือลิ่วออกจะประหลาด “เจ้าบ้าไปแล้ว!”
ปกติแล้วหากได้ยินคำพูดเถรตรงเช่นนั้น ถังซานสือลิ่วย่อมไม่อาจปล่อยไป ทว่าในตอนนี้ สมองเขานั้นกำลังติดอยู่กับคู่ที่เพิ่งเดินจากไป เขามองไปทางเซวียนหยวนผ้อและกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าเชื่อเรื่องรักแรกพบหรือไม่”
เซวียนหยวนผ้อตอบ “ในเผ่าข้า หลังจากพบกันครั้งแรก เราก็จะแต่งงานกัน เช่นนั้นถือเป็นรักแรกพบหรือไม่”
ถังซานสือลิ่วเกือบจะพูดอะไรไม่ออก เขาถามกลับ “เจ้าคิดว่าเป็นไหมเล่า”
เซวียนหยวนผ้อขบคิดคำถามนี้อย่างจริงจัง ในที่สุดเขาก็ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก “ข้าว่า… ก็น่าจะเป็นกระมัง”