ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 29 คืนร่มและถามหาทางออก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เจ๋อซิ่วยืนอยู่ข้างหน้าต่างอย่างเดียวดาย กำลังคิดถึงใครคนหนึ่ง ครั้นได้ยินคำถามของถังซานสือลิ่ว ก็งงงันไปและคิดไปถึงเรื่องมากมาย ในการสอบใหญ่ การต่อสู้อันยากเย็นในหอชำระธุลี ความโกรธและอับอายบนใบหน้าของคู่ต่อสู้ตอนที่มือของเขาโจมตีใส่หน้าอก ครั้นแล้วพวกเขาก็ใช้ชีวิตใต้ชายคาเดียวกันในสุสานเทียนซู ทำให้เขาคาดเดาบางอย่างได้แต่ไม่กล้าเอ่ยออกไป จากนั้นพวกเขาก็พบกันอีกครั้งในสวนโจว เขาแบกนางไว้บนหลังและวิ่งเข้าสู่อาทิตย์อัสดง

เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่น

ถังซานสือลิ่วไม่คาดคิดว่าเจ้าหมาป่าน้อยที่มีชื่อเรื่องความเย็นชาและโหดเหี้ยมจะแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาได้ เขาตะลึงไปชั่วขณะ ยกมือกุมหน้าผากครุ่นคิด โลกนี้เป็นอะไรไปเสียแล้ว สวีโหย่วหรงรักใคร่กับเฉินฉางเซิง ในขณะที่เจ๋อซิ่วก็คำนึงถึงคนรัก!

“ถังถังเหมือนกับคนผู้หนึ่งมาก”

“ผู้อาวุโสซูหลี”

เฉินฉางเซิงบอกคำตอบที่ถูกต้องออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ แล้วสบตากับสวีโหย่วหรงพลางหัวเราะ

ในตอนนั้น พวกเขาได้ออกจากสำนักฝึกหลวงและมาถึงตรอกไป่ฮวาด้านนอก หิมะยังคงโปรยปรายลงมา อีกทั้งยังอยู่ใต้ร่มกระดาษทองก็ยากนักที่พวกเขาจะถูกคนอื่นพบเห็นได้

อันที่จริงนับตั้งแต่พวกเขาพบกันที่ถนนฝูสุยเมื่อวาน เฉินฉางเซิงก็อยากถามว่าทำไมร่มกระดาษทองถึงไปอยู่กับนางได้ เพราะร่มนี้เป็นของเขา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะเป็นพวกที่ไม่เข้าใจโลกและเพิ่งจะทำเรื่องผิดพลาดไปเมื่อครู่นี้ เขาก็ยังรู้ว่านี่เป็นคำถามที่ไม่ควรถามออกไป ดังนั้นจึงเก็บมันไว้จนถึงเดี๋ยวนี้

พวกเขาเดินกางร่มผ่านลมฝ่าหิมะไปตามฝั่งตะวันออกของแม่น้ำลั่ว หลังจากข้ามผ่านถนนปาหลิ่วพวกเขาก็มาถึงสะพานหน่ายเหอ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะคิดไปถึงการต่อสู้เมื่อวาน

“หากในตอนนั้นข้ารู้ว่าคู่ต่อสู้คือเจ้า ผลจะเปลี่ยนไปหรือไม่”

เฉินฉางเซิงยืนอยู่กลางสะพานอันปกคลุมด้วยหิมะกระซิบถาม สายตาจ้องมองไปยังทิศทางที่นางเดินมาเมื่อวานนี้

สวีโหย่วหรงตอบ “นับตั้งแต่แรก เจ้าก็ไม่คิดที่จะเอาชนะอยู่แล้ว”

หลังจากเงียบงันไปชั่วขณะ เฉินฉางเซิงก็กล่าวขึ้น “เพราะว่าเรื่องการยกเลิกการหมั้น ข้าจึงรู้สึกว่าข้านั้นไม่ยุติธรรมกับเจ้ามาตลอด”

สวีโหย่วหรงยิ้มจางๆ แต่ไม่เอ่ยอะไร

“ระดับขั้นของเจ้าเหนือกว่าข้า เป็นเรื่องยากที่ข้าจะชนะได้ และข้า… ก็ไม่อยากทำตามแผนของผู้อื่น”

เฉินฉางเซิงเลื่อนสายตามองผ่านหิมะไปยังพระราชวังหลีที่ห่างไกล

ในฤดูใบไม้ผลิเมื่อสองปีก่อน เขารู้สึกว่าได้รับความอัปยศจากจวนขุนพลเทพตงอวี้ บนสะพานเล็กอีกแห่ง เขาก็ได้ถอนหายใจด้วยอารมณ์แบบเดียวกันอีกครั้ง

เขาบำเพ็ญเพียรตามหัวใจของตนเอง ชะตาชีวิตของเขาไม่ดีนัก จึงหวังจะใช้มือของเขาท้าลิขิตพลิกชะตา

“ไม่มีผู้ใดชอบความรู้สึกที่ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของโชคชะตา” สวีโหย่วหรงหันไปอีกทางหนึ่งมองดูวังหลวง “แต่เมื่อวานข้าอยากจะสู้กับเจ้าเพราะข้าอยากรู้ว่ากระบี่ของเจ้าก้าวหน้าขึ้นถึงระดับใดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้าอยากจะชนะอย่างยุติธรรม ข้าไม่ชอบการพ่ายแพ้”

เมื่อวานในร้านอาหารบนถนนฝูสุย นางได้พูดบางอย่างคล้ายกันนี้ ทว่าวันนี้ นางกล่าวอย่างเปิดเผยและจริงจังกว่า คำพูดนั้นไม่มีอะไรเคลือบแฝง

ทั้งคู่เดินลงจากสะพานที่ปกคลุมด้วยหิมะ เนื่องจากหิมะตกนี่เองจึงไม่มีผู้คนมากนักเดินอยู่บนสะพาน มีแต่แผงขายถังหูลู่ข้างทางที่มีคนยืนล้อม ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวา บรรดาคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ว่างไม่มีอะไรทำ ต่างกำลังพูดคุยถึงการต่อสู้เมื่อวานนี้และเรื่องซุบซิบนินทาต่างๆ

อย่างเรื่องการหมั้นหมาย เรื่องการออมมือ เรื่องการตกหลุมรัก เรื่องการกระทำอย่างไร้เมตตา และมีบางเรื่องที่ออกจะไม่สมเหตุผล

พวกคนว่างงานเหล่านี้หารู้ไม่ว่าทั้งสองคนที่พวกเขากำลังพูดถึงนั้นกำลังยืนอยู่ด้านข้าง

สวีโหย่วหรงก้มหน้าเล็กน้อย เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พากันเดินข้ามสะพานอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้พวกเขาไม่ใช่ศัตรู…แล้วเป็นอะไรกัน

หิมะตกหนักขึ้น แม้ว่าจะไม่อาจบอกได้ว่ารุนแรง แต่ก็เพียงพอที่จะรบกวนทัศนวิสัย ผู้คนที่อยู่สองข้างทางเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ชายคาและกำแพงเริ่มมีหิมะสุมหนา ถนนและตรอกซอยในจิงตูได้เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน สีเดิมของอาคารบ้านเรือนกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ของหิมะ ช่างเป็นภาพที่งดงามจับตา

หิมะบนเสาหินของพระราชวังหลีเป็นประดุจหมวกขาวบนศีรษะมนุษย์หินร่างผอมสูง

สุสานเทียนซูยังคงเขียวชอุ่ม เว้นแต่ถนนเสินที่ปกคลุมด้วยหิมะ แลเฉกน้ำตกที่กลายเป็นน้ำแข็ง

มิมีผู้ใดมารบกวนลานเล็กๆ ของโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อ จึงสงบเป็นอย่างมาก หิมะซึ่งปกคลุมผืนดินดูราวกับสักหลาด พวกเขาไม่กล้าก้าวเหยียบ จึงยืนอยู่ใต้ระเบียงแลดูพฤกษาพรรณ ณ ใจกลางสวนในขณะสนทนากันถึงความตื่นเต้นของเขาเมื่อสองปีก่อน ในยามที่เขาเห็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เป็นครั้งแรกรวมถึงแมลงปอไม้ไผ่

เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงใช้เวลาทั้งวันเดินทั่วจิงตู ไปยังสถานที่ต่างๆ มากมาย พูดถึงเรื่องราวสารพัน

ส่วนใหญ่แล้ว เขาผู้ไม่ค่อยจะพูดจานักเป็นคนพูด แนะนำสถานที่ต่างๆ ที่พวกเขาไป ความเปลี่ยวเหงาของหอหลิงเยียน มุกราตรีของแท่นกานลู่ เขาทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์อย่างจริงจัง หวังว่าการท่องเที่ยวของนางจะเปี่ยมด้วยความสุข

ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ สวีโหย่วหรงรับฟังอย่างเงียบงันอยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

สถานที่เหล่านี้นางเที่ยวเล่นจนเบื่อตั้งแต่เด็กแล้ว แม้แต่สุสานเทียนซูหรือวังหลวงก็ตาม นางถึงขนาดเคยใช้เสาหินของพระราชวังหลีเป็นกระดานเลื่อน

ไม่มีทางที่นางจะต้องให้เด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตวัยเด็กในเมืองซีหนิงมาอธิบายให้ฟัง

เฉินฉางเซิงเองก็รู้เรื่องนี้ดีแต่เขาลืมไป

นางรู้ว่าเขาต้องลืมไปแน่ แต่ก็ไม่คิดจะกล่าวเตือน

ครั้นถึงยามสายัณห์ตะวันรอน ทั้งสองก็กลับมายังตรอกไป่ฮวา ที่กำแพงสีดำของสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงต้องการจะคืนร่มกระดาษทองแก่นาง แต่นางส่ายหน้า

“อาจารย์อาซูต้องการให้ข้ามอบร่มนี้ให้กับท่าน”

เฉินฉางเซิงรู้สึกยินดีมาก คิดถึงตอนที่เขากับผู้อาวุโสซูหลีถกเถียงกันเรื่องนี้เป็นระยะทางนับหมื่นลี้ ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนผู้อาวุโสจะตระหนักถึงความผิดพลาดของตนได้ในที่สุด

เขาส่งดวงจิตเข้าไปในด้ามของร่ม ก็รับรู้ได้ถึงปัญหาขึ้นมาในทันที เขาถามด้วยความตกใจ “แล้วกระบี่ในร่มเล่า”

ด้ามร่มกระดาษทองก็คือกระบี่ของเจ้าสำนักกระบี่หลีซาน เป็นกระบี่เล่มเดียวในช่วงหลายพันปีที่ตีฝ่าออกมาจากสระกระบี่ได้ด้วยตัวเอง กระบี่บังฟ้าที่เคยสั่นสะเทือนทั้งต้าลู่มาแล้ว

ย้อนไปที่ทุ่งหิมะในเขตแดนแผ่มารตอนที่ซูหลีดึงกระบี่ออกมาจากร่ม กระบี่นั้นแข็งแกร่งจนสามารถสังหารขุนพลมารในกระบี่เดียว และอีกกระบี่ก็สามารถเปิดทางเอาชีวิตรอดได้

แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากระบี่บังฟ้านั้นไม่ได้อยู่ในร่มอีกต่อไปแล้ว

“อาจารย์อาบอกว่า ร่มสามารถคืนให้เจ้า แต่กระบี่นั้นมาจากหลีซานไม่อาจมอบให้เจ้าได้  เขามอบกระบี่บังฟ้า…”

สวีโหย่วหรงเว้นช่วงก่อนจะกล่าวต่อ “ให้กับศิษย์พี่”

นางไม่ได้บอกว่ามอบให้กับศิษย์พี่คนใดในสำนักกระบี่หลีซาน แต่เฉินฉางเซิงรู้ว่านางพูดถึงชิวซานจวิน

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พูดถึงชิวซานจวิน

เฉินฉางเซิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะนางพูดคำว่า “ศิษย์พี่” ได้อย่างเป็นธรรมชาติ บางทีอาจเป็นเพราะชื่อของเขาได้ถูกจับคู่ร่วมกับนางมาตลอดหลายปี หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาได้เติบโตและฝึกวิชาพร้อมกับนางและมีความคุ้นเคยกับนางมากกว่าเฉินฉางเซิง

“เป็นอะไรไป” สวีโหย่วหรงเอียงศีรษะมองเขาและถาม

เฉินฉางเซิงก้มหน้ามองร่มในมือราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง เขาตอบกลับไปง่ายๆ “ไม่มีอะไร”

ทั้งสองอาจดูไม่รู้อะไร ทว่าในความเป็นจริงแล้วเข้าใจทุกอย่าง

“อาจารย์อาซูยังให้ข้านำจดหมายมาให้เจ้าสองฉบับ”

สวีโหย่วหรงนำเอาจดหมายสองฉบับออกมาจากอกเสื้อ ยื่นไปด้านหน้าเขา

ด้วยเหตุผลบางประการ ยามนิ้วนางสัมผัสจดหมาย คิ้วกลับก็ย่นลงเล็กน้อย

เมื่อเฉินฉางเซิงรับจดหมายมา ก็รู้สึกดังว่าปลายนิ้วถูกทิ่ม ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขาเคลื่อนดวงจิตเพื่อสะกดความคิดที่จะโยนจดหมายนี้ทิ้ง

จดหมายทั้งสองฉบับนี้บรรจุไว้ด้วยเจตจำนงกระบี่อันน่ากลัว!

เขามองดูสวีโหย่วหรงอย่างพรึงเพริด

สวีโหย่วหรงพยักหน้า ชี้ไปที่จดหมายทั้งสองในมือเขาและกล่าว “อาจารย์อาซูบอกว่าเจ้าจะเปิดซองสีเหลืองเมื่อไรก็ได้ ส่วนซองสีดำนั้นเจ้าควรเก็บเอาไว้ ค่อยเปิดหากในอนาคตพบเจอกับสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไข”

ในสวนโจว เจตจำนงกระบี่ของกระบี่บังฟ้าและตัวกระบี่กลับมารวมเป็นหนึ่ง นอกสวนโจว ซูหลีและกระบี่นี้ก็กลับมาพบกัน ปรมาจารย์ใหญ่แห่งวิถีกระบี่จึงได้พลังเพิ่มขึ้นอีกครั้งด้วยโอกาสแห่งโชคนี้ บำเพ็ญเพียรจนไม่อาจรู้ว่าไปถึงระดับใดของวิถีกระบี่แล้ว

เขาไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่บังฟ้าอีกต่อไป เพียงอยากจะท่องเที่ยวไปกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงมอบกระบี่บังฟ้าให้กับชิวซานจวินและร่มกระดาษทองให้กับเฉินฉางเซิง

นี่อาจดูเหมือนยุติธรรม ทว่าความจริงแล้วไม่ แม้ว่าร่มกระดาษทองจะเป็นของวิเศษป้องกันอย่างดี แต่จะไปเทียบกับกระบี่บังฟ้าที่โด่งดังได้อย่างไร

กระนั้นก็ตาม เฉินฉางเซิงไม่ได้บ่นอะไร ในท้ายที่สุดแล้วกระบี่บังฟ้าก็คือกระบี่ของสำนักกระบี่หลีซาน จึงถูกต้องเหมาะสมแล้วที่จะอยู่หลีซาน

เขาเก็บจดหมายทั้งสองอย่างระวัง คิดถึงผู้อาวุโสที่ได้จากไปไกลแล้ว ก็รู้สึกคะนึงหาขึ้นมา

บนระยะทางหมื่นลี้จากทุ่งหิมะสู่แดนใต้ เขากับซูหลีพบเจอเรื่องมากมายด้วยกัน แม้ว่าในแง่ของการบำเพ็ญเพียรและลำดับอาวุโสแล้ว ทั้งสองจะต่างกันมาก แต่ก็นับได้ว่าเป็นเพื่อนกันถึงแม้จะมีอายุที่ห่างกันมากก็ตาม

“เขากับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปที่ใด”

“ที่ซึ่งไกลมาก”

“ดินแดนต้าซีหรือ”

“ไกลยิ่งกว่าดินแดนต้าซี”

คำตอบนี้ช่างน่าประหลาดใจแต่ก็ฟังดูมีเหตุผล

สำหรับคนธรรมดาในต้าลู่ ดินแดนต้าซีที่อยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ก็นับว่าไกลมากแล้ว แต่ซูหลีได้ท่องโลกมาหลายร้อยปี และเชื่อว่าเคยไปที่นั่นเมื่อนานมาแล้ว

ในตอนนี้เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ เขาได้ละวางความแค้นและความเป็นศัตรูทั้งหมดลงอย่างอิสระเสรี และนำเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เดินทางไกลออกไป แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องไปยังที่ห่างไกลสุดโพ้นมากนัก

แต่ยังมีสถานที่ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าดินแดนต้าซีอีกหรือ

เฉินฉางเซิงนึกถึงบันทึกที่คลุมเครือในคัมภีร์เต๋า แล้วถามสวีโหย่วหรงด้วยความตกใจ “มีดินแดนอื่นอยู่จริงหรือ”

บันทึกในคัมภีร์เต๋าเกี่ยวกับดินแดนอื่นนั้นไม่เหมือนกับการบันทึกประสบการณ์ของนักเดินทาง ถูกเขียนอย่างคลุมเครือและดูเหมือนจะเป็นเพียงการคาดเดา

แม้จะเชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋าก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้ทุกเรื่องในหล้า เพราะมีเรื่องมากมายที่มิได้เขียน หรือมิสามารถเขียนเป็นตัวอักษรได้

สวีโหย่วหรงเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบัน ตั้งแต่เด็กนางเติบโตและศึกษาจากสถานที่อย่างพระราชวังหลี วังหลวง สถานศึกษาหนานซี เป็นธรรมดาที่นางจะรู้มากกว่า

“อาจเป็นดินแดนเซิ่งกวง” นางอธิบายให้เฉินฉางเซิงฟัง “ข้าได้ยินอาจารย์บอกว่าอีกฟากหนึ่งของทะเลแห่งดวงดาว บนชายฝั่งซึ่งห่างไกลเหลือคณา มีอีกดินแดนหนึ่งอยู่ เป็นโลกที่อาบไล้ไปด้วยแสงสว่างและอาศัยอยู่ด้วยสิ่งมีชีวิตเฉกเช่นพวกเรา ทว่าทะเลแห่งดวงดาวนั้นกว้างใหญ่จนมิอาจข้ามได้ คนมิอาจข้ามผ่านทะเลแห่งดวงดาวได้ เพราะมีกำแพงที่แข็งแกร่งขวางกั้นระหว่างดินแดนทั้งสอง มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วเท่านั้นจึงจะมีโอกาสทำลายกำแพงกั้นและเข้าสู่โลกอีกฝั่งหนึ่งได้”

เฉินฉางเซิงถามอย่างอัศจรรย์ใจ “แน่ใจเช่นนั้นหรือไม่”