“ข้าแค่คาดเดา” สวีโหย่วหรงมองไปยังขอบฟ้าไกลซึ่งอยู่กลางแสงสลัวและเกล็ดหิมะ ใบหน้านางเผยให้เห็นความโหยหาอยู่บางเบา “เมื่อคนที่แข็งแกร่งอย่างอาจารย์กับอาจารย์อาตัดสินใจที่จะจากโลกนี้ไป นอกเหนือจากดินแดนในตำนานอย่างดินแดนเซิ่งกวงแล้ว พวกเขาจะไปที่ไหนได้อีก”
เฉินฉางเซิงเงียบงันไป จากนั้นก็ถามขึ้น “จะไปดินแดนเซิ่งกวงได้อย่างไร”
ไปยังถนนฝูสุยได้อย่างไร ไปยังสะพานหน่ายเหอได้อย่างไร ไปยังสำนักฝึกหลวงได้อย่างไร ไปยังพระราชวังหลีได้อย่างไร ไปยังสถานที่ซึ่งอยู่ในตำนานได้อย่างไร
คำถามนี้ออกจะดูประหลาดอยู่บ้าง แต่สีหน้าของเขาจริงจังอย่างยิ่ง
สวีโหย่วหรงเองก็จริงจังเช่นกัน นางตั้งใจนึกถึงบทสนทนาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และอาจารย์ในยามที่นางยังเด็ก
หลังจากผ่านไปนาน นางก็เอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “สุสานเมฆาหรือ”
เฉินฉางเซิงเงียบงันไปอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เงียบไปนานกว่าครั้งก่อน
สุสานเมฆาเป็นสุสานของเมฆทั้งมวลในโลก เป็นที่ซึ่งห่างไกลที่สุดในดินแดนต้าลู่ เป็นดินแดนที่ไร้ซึ่งแสงตะวันชั่วนาตาปี มีแต่ความลึกลับเป็นปริศนา ทว่าเขาก็คุ้นเคยกับสุสานเมฆาดี รู้ว่าหากไม่มีเมฆหมอกอันไร้ขอบเขตุนี้แล้ว ก็จะเห็นภูเขาสูงที่ไม่อาจมองเห็นยอด ภูเขานี้ทะลวงผ่านชั้นเมฆไปจนถึงที่ใดก็ไม่อาจทราบได้ เพราะภูเขานี้อยู่ห่างจากเมืองซีหนิงไปแค่สามร้อยลี้ เขาเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่ง เขารู้ว่าในดินแดนอันเปียกชื้นของเมฆหมอกที่ล้อมรอบยอดเขา เป็นที่อยู่ของสัตว์อสูรที่ดุร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้บำเพ็ญเพียรที่ชั่วร้ายอันตรายนับไม่ถ้วน รวมถึงตระกูลชั้นสูงจากราชวงศ์เก่าที่ใช้ชีวิตอย่างขมขื่น
แต่วันนี้เขาเพิ่งได้รู้ว่าภูเขานั้นอาจเป็นเส้นทางไปสู่อีกโลกหนึ่ง
“ในอนาคต ไปเยี่ยมชมดินแดนเซิ่งกวงด้วยกันดีไหม” เขาถามสวีโหย่วหรง
ต่อให้ตำนานเป็นจริง ต่อให้มีดินแดนอยู่อีกฝั่งของทะเลดวงดาวที่เรียกว่าดินแดนเซิ่งกวงอยู่จริง แต่การที่ไม่มีใครรู้จัก อาจเป็นเพราะไม่มีใครสามารถทำลายกำแพงกั้นเพื่อไปพบอีกโลกได้สำเร็จ เขากับสวีโหย่วหรงเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร แต่ก็ยังอยู่ห่างจากเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ สำหรับพวกเขา ดินแดนเซิ่งกวงเป็นเพียงแค่นามอันเลื่อนลอยและการคาดเดาเท่านั้น แต่กระนั้นเขาก็ยังชวนนางอย่างจริงจัง บางทีอาจจะเร็วไปหลายร้อยปี
ในตอนนี้ เหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะอยู่ได้ไม่เกินอายุยี่สิบปี
สวีโหย่วหรงยิ้มและตอบรับ “ได้”
เฉินฉางเซิงคิดกับตัวเองว่าช่างดีจริงๆ
…
เมื่อกลับถึงสำนักฝึกหลวง เดินไปยังชั้นแรกของบ้าน เขาก็พบว่าประตูต้องเจ๋อซิ่วเปิดอยู่และซูม่ออวี่กับพวกล้วนอยู่ด้านใน
“พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน” เขาถามด้วยความสงสัยเมื่อเดินเข้าไป
ซูม่ออวี่ตอบ “ตั้งแต่เมื่อเช้า ถังถังก็เอาแต่ถามคนว่า ‘รักแรกพบ’ นั้นเป็นสิ่งที่หาได้ในโลกนี้หรือไม่”
ถังซานสือลิ่วมองดูเฉินฉางเซิงและหัวเราะอย่างขมขื่น
เฉินฉางเซิงรู้สึกเป็นกังวลและถามกลับ “แล้วพวกเจ้ามาสนทนาเรื่องเช่นนี้กันได้อย่างไร”
“ใครจะไปรู้ เขาเริ่มทำตัวประหลาดเอาวันนี้เอง” เซวียนหยวนผ้อบ่นด้วยความรู้สึกว่าผิดปกติ “ข้าตอบเขาไปอย่างจริงจัง แต่เขากลับด่าข้ากลับมา”
เจ๋อซิ่วที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลันถามขึ้น “ซูหลีจากไปแล้ว แต่คงยังอยู่ที่หลีซานใช่หรือไม่”
เฉินฉางเซิงรู้สึกหวาดกลัว ด้วยเชื่อว่าการพบกันของเขากับสวีโหย่วหรงถูกแพร่งพรายเข้าแล้ว ชั่วขณะต่อมาเขาก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นการถามเพื่อขอการยืนยัน
“ข่าวจากคณะทูตแดนใต้คงไม่ผิดพลาด”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย พลางมองไปทางเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงทำเป็นไม่สนใจเขา เอ่ยถามเจ๋อซิ่วด้วยความกังวล “เจ้าวางแผนจะทำอย่างไร”
สำนักฝึกหลวงในตอนนี้ นับจากเจ้าสำนักลงไปทุกตำแหน่งก็ล้วนเยาว์วัย ไม่มีผู้ใดอายุเกินยี่สิบแม้แต่คนเดียว ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มจึงเป็นธรรมดาที่จะสนใจเรื่องสาวงามและความเศร้าซึ่งมักจะติดแน่นอยู่ในอกของวัยหนุ่ม นอกจากการหมั้นหมายของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงแล้ว ก็ยังมีเรื่องของเจ๋อซิ่วกับชีเจียน
เจ๋อซิ่วมองออกจากหน้าต่างไปยังหิมะ ประกายความโหดเหี้ยมฉายขึ้นบนใบหน้ากรำแดดกรำฝนแต่ก็ยังเยาว์และไร้ประสบการณ์
“หลังจากเสร็จเรื่องในจิงตูหมดแล้ว ข้าจะไปหลีซานเพื่อรับนางมา”
เฉินฉางเซิงและพวกก็มองหน้ากันอย่างหวาดกลัว ได้ยินอย่างชัดเจนว่าเจ๋อซิ่วไม่ได้ใช้คำว่า “พบ” แต่ใช้คำว่า “รับ”
พวกเขาเกือบจะมองเห็นการต่อสู้นับไม่ถ้วนที่จะเกิดขึ้นบนหลีซานและรอยเลือดของหมาป่า
เหมือนกับเจ๋อซิ่วไปหาที่ตาย แต่ปัญหาก็คือไม่มีใครในโลกที่จะห้ามไม่ให้เขาไปหาที่ตายได้
ถังซานสือลิ่วไม่อยากให้เจ๋อซิ่วกลายเป็นบ้าขึ้นมา ใช้สายตาส่งสัญญาณให้กับซูม่ออวี่ เขาถามขึ้น “เจ้าต้องทำอะไรในจิงตู”
ซูม่ออวี่เข้าใจและคิดว่าจะตอบอย่างไรดี ควรพูดเรื่องที่ยากเย็นนี้อย่างจริงจัง มีแต่ทางนี้ที่จะเลื่อนการไปหาที่ตายของเจ๋อซิ่วบนหลีซานได้
“ข้าอยากฆ่าโจวทง” เจ๋อซิ่วหันกลับมามองดูพวกเขาด้วยสีหน้าด้านชาไร้อารมณ์
ทั้งห้องเงียบงันปานป่าช้า
ถังซานสือลิ่วพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นในที่สุด “เช่นนั้นก็พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ไม่ใช่เรื่องจะแก้กันได้ในระยะเวลาแค่แปดปีสิบปี”
ไม่นานหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไป ถังซานสือลิ่วก็มาหาเฉินฉางเซิงที่ห้อง ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าตนเองนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนและหิมะ นั่งลงบนเตียงที่สะอาดจนแม้แต่ผมสักเส้นก็ไม่มีทางหาเจออย่างไม่เกรงใจ ชี้มือไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างที่สุด “ใต้ฟ้านี้ไม่มีรักแรกพบอย่างแน่แท้”
เฉินฉางเซิงมองดูน้ำโคลนที่หยดจากเสื้อถังซานสือลิ่ว ควบคุมอารมณ์เอาไว้และถาม “เจ้าต้องการจะบอกอะไร”
“อ้า นี่ข้ายังพูดไม่ชัดเจนอีกหรือ แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่เจ้าจะตกหลุมรักสวีโหย่วหรงตั้งแต่แรกเห็น ผู้ชายอย่างชิวซานจวินที่ช่างสมบูรณ์แบบจนข้ายังอิจฉาก็ยังหลงรักนางอย่างล้ำลึก จึงไม่แปลกที่เด็กน้อยที่ไร้ประสบการณ์ความรักจะตกหลุมรักนาง”
ถังซานสือลิ่วมองดูเขาและกล่าวต่อ “แต่เป็นไปไม่ได้ที่นางจะตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกพบ ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีกลิ่นตุๆ”
เฉินฉางเซิงไม่สนใจมากนักเรื่องปัญหานี้แต่เขาค่อนข้างสงสัย “ทำไมนางจะตกหลุมรักข้าไม่ได้”
ถังซานสือลิ่วชี้ไปที่โต๊ะข้างผนังห้อง “ไปส่องกระจก”
เฉินฉางเซิงก็เดินไปส่องกระจกสำรวจมองตัวเองอย่างเชื่อฟัง “ข้าก็ไม่น่าเกลียด”
ถังซานสือลิ่วอ้าปากค้าง ไร้เรี่ยวแรงจะพูด
เขายืนยันอีกครั้งว่าสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิงเป็นพวกที่ทำให้ผู้คนพูดอะไรไม่ออกอย่างแท้จริง
เฉินฉางเซิงมองดูตัวเองในกระจกพลางหัวร่อต่อกระซิก
ถังซานสือลิ่วคำรามอย่างโมโห “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่นางจะตกหลุมรักเจ้าเพียงแค่เห็นเจ้าบนสะพานหน่ายเหอ! ต่อให้นางจินตนาการถึงเจ้ามานับครั้งไม่ถ้วนเพราะสัญญาหมั้นหมายนั่น ก็ยังเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าไม่ได้น่าเกลียด แต่เจ้าก็ห่างจากคำว่าหล่อเหลาไปไกล อย่าว่าแต่หล่อเหมือนข้าเลย!”
เฉินฉางเซิงหันกลับไปหาถังซานสือลิ่วและถาม “แล้วอย่างไร”
ถังซานสือลิ่วยืนขึ้น เดินมาตรงหน้าเขา จ้องมองไปในดวงตาและกล่าว “ข้ากังวลว่านางจะมีแผนการบางอย่างกับเจ้า”
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หากไม่รู้เรื่องในสวนโจว ย่อมคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อรู้ว่าเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงรักกัน
เฉินฉางเซิงเข้าใจ จึงไม่โต้แย้งและไม่รู้สึกโกรธ เขาพยายามผ่อนคลายความกังวลนี้และกล่าว “ใจเย็นๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
เขาพูดธรรมดาทว่าหนักแน่น
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ถังซานสือลิ่วก็เงียบไป จากนั้นก็ร้องขึ้น “พวกเจ้าเคยพบกันมาก่อน”
เฉินฉางเซิงคำนึงถึงคำสั่งของสวีโหย่วหรงก็โคลงศีรษะ
ถังซานสือลิ่วเย้ย “นางไม่มีทางหลงรักเจ้าตั้งแต่แรกพบ แต่นางก็ยังรักเจ้า นี่มีความหมายเดียว พวกเจ้าไม่ได้เพิ่งพบกันครั้งแรก”
ข้อสรุปนี้เรียกได้ว่ามีจุดอ่อนมากมาย แต่ก็ยากจะโต้เถียง เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร ก็พยายามอธิบาย “เราเคยส่งจดหมายหากันตอนยังเด็ก ก็ไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้า”
“โกหก เจ้าก็เอ่ยเท็จไปเรื่อย” ถังซานสือลิ่วพูดอย่างด้านชา
เฉินฉางเซิงสับสนอย่างแท้จริง เอ่ยปากขอร้องอย่างจริงจัง “เจ้าต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าได้บอกใครอื่นอีก”
ถังซานสือลิ่วมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นในทันที เขาเดินมาข้างกายเฉินฉางเซิงไม่ลืมที่จะปิดหน้าต่าง จากนั้นก็ยักคิ้วกล่าว “ข้าเป็นใคร เจ้ายังไม่ไว้ใจข้าอีกหรือ”
เรื่องราวทั้งหมด ไม่ว่าเล็กใหญ่ ล้วนก็ถูกบรรยายออกมา เนิ่นนานแค่ไหน ถ้อยคำมากมายเพียงใด ….
ครั้นได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนโจว ถังซานสือลิ่วก็ยืนตะลึงพรึงเพริดไปนานสองนาน
จนแล้วจนรอดก็มองไปที่เฉินฉางเซิง ถอนหายใจถามคำถามนั้นอีกครั้ง “เจ้าเป็นหมูหรือไร”
เฉินฉางเซิงรู้สึกอับอายเล็กน้อย ไม่มีความมั่นใจที่จะปฏิเสธคำพูดนี้ เขาคิดถึงเรื่องอื่นและกล่าว “ข้าไม่เข้าใจไฉนนางไม่อยากให้ข้าบอกเรื่องนี้กับคนอื่น”
ถังซานสือลิ่วพบว่าตัวเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร “เจ้าไม่เข้าใจหรือ เจ้าเป็นหมูของแท้แน่นอน”
หลังจากถูกเย้ยหยันติดต่อกัน เฉินฉางเซิงก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา “นางเองก็จำข้าไม่ได้ตอนอยู่ในสวนโจวไม่ใช่หรือ”
“ดังที่มีคนว่าไว้ สวรรค์ได้ลิขิตชะตาเอาไว้แล้ว พวกเจ้าเรียกได้ว่าเป็นคู่สวรรค์สร้าง”
ถังซานสือลิ่วเปิดหน้าต่าง มองขึ้นไปบนท้องฟ้าหลังหิมะอันไร้ซึ่งเมฆ แล้วถอนหายใจยาว
เฉินฉางเซิงรู้สึกยินดีกับคำพูดนั้นมากและบอกว่า “ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของเจ้า”
ถังซานสือลิ่วหันกลับมากล่าวอย่างเคร่งเครียด “เจ้ากับสวีโหย่วหรงเป็นพ่อหมูแม่หมู แน่นอนว่าย่อมสมกันยิ่งนัก”
…
จดหมายทั้งสองฉบับของซูหลีนั้นแปลกยิ่งนัก เฉินฉางเซิงรับรู้ได้ตั้งแต่ตอนที่รับมา จึงมิได้เปิดต่อหน้าสวีโหย่วหรง รอจนกระทั่งดึกดื่นไม่มีใครแล้วจึงได้เดินไปยังครัวริมทะเลสาบตามลำพัง หลังจากทำการเตรียมตัว เขาก็ใช้กระบี่ไร้ราคีเปิดจดหมาย
กระบี่ไร้ราคีนับได้ว่าเป็นกระบี่ที่คมที่สุดในโลก สามารถตัดผ่านซองจดหมายสีเหลืองได้อย่างง่ายดาย
กระนั้นก็ตาม คิ้วเขายังขมวดแน่นเพราะสัมผัสได้ว่าเมื่อกระบี่ไร้ราคีตัดผ่านซองจดหมาย ก็ได้พบกับไอพลังปราณที่ละเอียดเล็กแต่ก็เหนียวแน่น ไอพลังปราณนี้เสมือนดั่งเส้นลวดเหล็ก หากกระบี่ไร้ราคีไม่คมกริบแล้วละก็ คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเปิดจดหมายนี้ด้วยระดับพลังในปัจจุบัน
เขาสูดหายใจเขาลึกสองสามครั้งเพื่อสงบจิตใจ จากนั้นก็นำเอาจดหมายออกมาจากซอง
เป็นกระดาษที่บางและธรรมดา ทว่าเมื่อกางออกเพื่ออ่านใต้แสงจากกองไฟ เจตจำนงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากกระดาษนั้น ซึ่งเปลี่ยนสภาพไปเป็นเกล็ดหิมะเฉกเช่นหิมะด้านนอก ทว่าก็ละม้ายคล้ายใบหลิวริมแม่น้ำลั่วปลายคิมหันต์ประดุจกัน
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว! เสียงแหลมคมล้อมรอบร่างกายของเขา
เหล่านี้ล้วนเป็นเจตจำนงกระบี่ทั้งหมด หม้อเหล็กบนเตาถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที พื้นกระเบื้องที่ปูบนเตาถูกหั่นจนแหลก มิช้ามินาน ไม้ฟืนในครัวก็ถูกสับละเอียด ไม้ฟืนที่เผาไหม้อยู่ในเตาก็ถูกหั่นเช่นกัน ทำให้ประกายไฟกระเด็นไปทั่ว แม้แต่เปลวเพลิงก็ดูเหมือนจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ในห้องอันท่วมท้นด้วยเจตจำนงกระบี่ สีหน้าปั้นยาก มิกล้าขยับกล้ามแม้แต่น้อย