เฉินฉางเซิงได้เตรียมพร้อมรับเจตจำนงกระบี่ที่ซูหลีซ่อนไว้ในจดหมายอยู่ก่อนแล้ว การฝึกบำเพ็ญเพียรของเขาก้าวหน้าขึ้นมากหลังกลับมาถึงจิงตู ดังนี้ในตอนแรกจึงคิดว่าจะลองดูว่าจะทนได้นานเพียงไร แต่กระนั้นก็มิได้คิดว่าเจตจำนงกระบี่ภายในจดหมายจะแหลมคมน่ากลัวถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่ขัดขืนเลย มิกล้าแม้จะไปแตะด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าซูหลีหาใช่คิดร้าย มิได้มีเจตนาสังหารเขา เจตจำนงกระบี่เหล่านี้พุ่งออกมาจากจดหมายอย่างไร้เสียง ตัดข้าวของในครัวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถึงขนาดตัดบางส่วนของเข็มขัดเขาที่ยื่นออกไป ทว่าไม่มีเจตจำนงกระบี่แม้แต่สายเดียวที่กระทบต้องกายเขา เพียงบินวนอยู่รอบๆ เท่านั้น
เจตจำนงกระบี่พวกนั้นลอยล่องอยู่รอบกายเขาเสมือนใบไม้หล่นร่วง ประดุจเกล็ดหิมะ เฉกเช่นหยดน้ำ
ประหนึ่งว่าเฉินฉางเซิงนั้นยืนอยู่ใต้ต้นไม้ในฤดูใบไม้ร่วง กลางหิมะ หรือกลางสายน้ำตก
เขาพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างและสงบลงในที่สุด ส่งดวงจิตเข้าสู่โลกที่เกิดจากเจตจำนงกระบี่พวกนั้น
เจตจำนงกระบี่เหล่านี้ก็คือจดหมายที่ซูหลีเขียนถึงเขา หนึ่งในของขวัญที่ทิ้งไว้ให้ก่อนจากไป แล้วข้อความเขียนไว้ในจดหมายคืออะไร
ด้านหนึ่งเฉินฉางเซิงทำความเข้าใจเจตจำนงกระบี่ของซูหลีที่ทิ้งไว้หลังจากทะลวงผ่าน อีกด้านหนึ่งก็อ่านจดหมายในมืออย่างเงียบงัน
ลายมือซูหลีก็เป็นเช่นกระบี่ของเขา เหมือนตัวตนของเขา พลิ้วไหวไหลลื่น ยินดีและแหลมคม พู่กันถูกยกด้วยความเร็วที่น่าทึ่งและวาดลงด้วยความแม่นยำที่น่าทึ่งเช่นกัน
“เจ้าเอาชนะโหย่วหรงได้จริงด้วย นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจโดยแท้”
ครั้นเห็นประโยคแรกของจดหมาย เฉินฉางเซิงก็เข้าใจว่าซูหลีมอบจดหมายโดยมีเงื่อนไข เขาต้องเอาชนะสวีโหย่วหรง หากเขาทำไม่ได้ ซูหลีต้องผิดหวังในตัวเขา แล้วจดหมายทั้งสองนี้ก็จะกลายเป็นของสวีโหย่วหรงหรือบางที…ชิวซานจวิน
“เมื่อคิดว่าเจ้าเรียนกระบี่จากข้าแล้ว การที่เจ้าสามารถเอาชนะโหย่วหรงได้นั้นก็พอจะเข้าใจได้อยู่”
ถ้อยคำในจดหมายของซูหลีก็ยังคงแสดงถึงความมั่นใจในตัวเองหรืออาจจะเรียกว่าหลงตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทว่าหลังจากนั้นคำพูดของเขาก็เปลี่ยนเป็นสงบและเฉยชา
“ในชีวิตข้า เป็นห่วงก็แค่สามคนเท่านั้น ชิวซาน เจ้าและชีเจียน ชิวซานแข็งแกร่งกว่าเจ้า ชีเจียนอ่อนแอกว่า ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นลูกสาวข้า ดังนั้นหลังจากข้าไปแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นที่หลีซาน ก็ช่วยข้าจัดการด้วย ส่วนเรื่องที่ทำไมข้าถึงจากไป หลังจากเจ้าใช้ชีวิตมาหลายร้อยปีและรู้ว่ามีบางคนรอเจ้ามาหลายร้อยปี บางทีเจ้าอาจจะเข้าใจ”
“ข้าเป็นอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายให้พวกศิษย์ฟัง ข้าคือซูหลีดังนั้นข้าจึงไม่จำเป็นต้องบอกตาเฒ่าอิ๋นและเทียนไห่ แต่ข้ายังอยากอธิบายบางอย่าง บอกเรื่องบางอย่าง จึงเขียนจดหมายนี้ขึ้น”
“ในอนาคต หากมีคนถามเจ้าก็บอกพวกเขาได้ ข้าไม่ปกปิดเรื่องนี้จากโลกหล้า ทว่านางก็พูดถูก ข้าซูหลี ไหนเลยต้องเป็นโจวตู๋ฟูคนที่สองด้วย ที่สำคัญเจ้าเองก็พูดถูก ข้าสังหารผู้คนไปนับไม่ถ้วนและไม่มีความรักให้ใต้ฟ้านี้ แต่บางทีอาจจะมีความเมตตาอยู่บ้าง”
เมื่ออ่านประโยคนี้ หัวใจของเฉินฉางเซิงก็เปี่ยมด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
ในสายตาของคนมากมายโดยเฉพาะคนจากแดนใต้ที่คัดค้านการบรรจบกันของเหนือใต้ การที่ซูหลีกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จากไปอย่างรีบเร่งนั้นเป็นเหมือนการหนีความรับผิดชอบ
ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่า สำหรับคนอย่างซูหลี เพียงกระบี่ที่เต็มไปด้วยความกล้าและปราดเปรื่องอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะเปิดทางให้ก้าวต่อไปได้
แต่เมื่อเขาอ่านตอนจบของจดหมาย ก็พลันรู้สึกว่าความชื่นชมยกย่องที่มีให้กับผู้อาวุโสซูหลีนั้นผิดพลาดไป
ซูหลีเขียนเช่นนี้ตอนท้ายจดหมาย
“เจ้าลูกหมาป่ายอมแพ้หรือยัง หากมันกล้ามายุ่งกับลูกสาวข้าอีก ต่อให้ข้าอยู่อีกฟากของทะเลดวงดาว ก็จะข้ามดวงดาวกลับมา กระบี่แรกของข้าจะตัดหัวมัน กระบี่ที่สองจะเป็นหัวของเจ้า และข้าจะกวาดล้างสำนักฝึกหลวงของเจ้ากับเผ่าหมาป่าในแดนเหนือ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
หลังจากเฉินฉางเซิงอ่านถ้อยคำเหล่านั้น ก็คิดว่าไฉนคนอิสระเสรีอย่างผู้อาวุโสซูหลีถึงต้องจริงจังกับเรื่องนี้ด้วย
คิดดังนี้แล้วพื้นที่โดยรอบก็เต็มไปด้วยเสียงกระบี่ที่หนาทึบและน่ากลัว เจตจำนงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนกลับคืนสู่กระดาษ
เจตจำนงกระบี่ที่แหลมคมจากระดับการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ยากจะเข้าใจ ได้ตัดลายมือบนกระดาษจนกระจัดกระจายไม่เป็นชิ้นอัน กลายเป็นเพียงหยดหมึกจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่อาจอ่านได้อีกต่อไป
ในที่สุดหยดหมึกพวกนั้นก็เปลี่ยนเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่
‘อ่านจบเผาทันที’
เฉินฉางเซิงได้แต่มองตัวหนังสือพวกนั้นอย่างเหม่อลอย ไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือที่ต้องเผามันเช่นนี้ ควรรู้ว่าเจตจำนงกระบี่ในจดหมายนี้เป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับการฝึกกระบี่ เขาคิดจะให้ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วได้เรียนรู้ในวันพรุ่งนี้
แต่เนื่องจากเป็นคำสั่งของซูหลี ก็ได้แต่ต้องทำตาม เขาโยนจดหมายเข้าไปในถ่านที่ยังคุอยู่ในเตาอย่างเชื่อฟัง มองดูจดหมายกลายเป็นเถ้ากับตนเอง
เมื่อเขามองดูขี้เถ้าในเตา คิดไปถึงเจตจำนงกระบี่ที่บรรจุอยู่ภายในกระดาษ ก็พลันนึกถึงจิตกรจากหอความลับสวรรค์ที่วาดภาพของเขาที่ประลองกับยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นระหว่างการประลองฝีมือระหว่างสำนัก จิตกรคนนั้นน่าจะใช้วิธีที่คล้ายคลึงกันแต่เมื่อเทียบกับซูหลีแล้วดูต่างกันราวฟ้ากับดิน
จากนั้นเขาก็นึกถึงกวนไป๋แห่งสำนักเทียนเต้าที่เขาได้พบบนถนน
ในตอนนั้น เขาได้มองไปที่ชายคนนั้นผ่านหน้าต่าง รู้สึกเหมือนมีอะไรแหลมคมทิ่มเข้ามาในดวงตา ทำให้รู้สึกเจ็บปวดจนเจียนจะร้องออกมา
เมื่อคิดดูแล้ว หรือว่าคนผู้นั้นจะฝึกวิถีกระบี่จนเจตจำนงกระบี่กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว
การประชุมใหญ่จู่สือปีหน้า เขาต้องเผชิญหน้ากับกระบี่ที่แข็งแกร่งเช่นนั้น จะสามารถเอาชนะได้หรือไม่
……
……
ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย กวนไป๋กำลังอ่านตำราอยู่ทางตอนใต้ของเมือง
ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงปิดหนังสือลงและเดินออกจากห้องตำรา
หิมะเริ่มหยุดตกหลังจากเข้าสู่ช่วงหัวค่ำทว่าอากาศก็ยังคงหนาวเย็น การเดินบนถนนอันปกคลุมด้วยหิมะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จึงมีคนเดินถนนอยู่ไม่มากนัก
เขายืนอยู่กลางถนน
เผชิญหน้ากับนักพรตหญิงชราที่เดินตรงมา
ความจริงแล้วใบหน้านักพรตหญิงผู้นี้นับว่าอ่อนเยาว์ ยากจะระบุกอายุแท้จริงของนางได้ ทว่ารูปลักษณ์นางนั้นเคล้าความเย็นชาและความเก่าแก่
กวนไป๋มองไปทางนักพรตหญิงชราที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
เขาไม่ทราบที่มาของนักพรตหญิงผู้นี้ แต่รู้ว่าระดับการบำเพ็ญเพียรของนางเหนือกว่าเขา เหนือกว่ากระทั่งอาจารย์ของเขา จวงจือห้วน
เขาไม่ปรารถนาจะก่อปัญหาหรือต่อสู้กับยอดฝีมือที่กล้าแข็งเช่นนี้ก่อนการประชุมใหญ่จู่สือ
แต่เขาได้ยินอยางชัดเจนว่าในตรอกไกลออกไป สุนัขจรจัดได้ตายลง
เป็นตอนเดียวกับที่นักพรตหญิงชรานี้เดินผ่านไป
นักพรตหญิงชรานี้แข็งแกร่งมาก ย่อมมีที่มาไม่ธรรมดา เมื่อเทียบกับนางแล้ว สุนัขจรจัดที่ขวางทางไม่นับว่ามีค่าอันใด
กวนไป๋ก็คิดเช่นนั้น หากสุนัขจรจัดตายแล้วจะอย่างไร เขาจะลงมือล้างแค้นให้กับสุนัขจรจัดตัวหนึ่งกระนั้นหรือ
ปัญหาก็คือสุนัขจรจัดควรจะตายรวดเร็วกว่านั้น
นักพรตหญิงชราผู้นี้เพียงส่งสายตาไปก็สามารถสังหารสุนัขจรจัดได้แล้ว
แต่สุนัขตัวนั้นกลับส่งเสียงร้องอยู่ถึงสามสิบกว่าครั้งภายในตรอกนั้น แต่ละครั้งนั้นน่าอนาถและอ่อนแรงยิ่งขึ้นกว่าครั้งก่อนหน้า จนมันดังมาถึงหูของเขาได้ในที่สุด
เขาไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่าเหตุใดคนที่แข็งแกร่งอย่างนักพรตหญิงชราผู้นี้ ถึงได้โจมตีถึงสามสิบกว่าครั้งเพื่อฆ่าสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง
ไม่อาจจินตนาการได้ว่านักพรตหญิงชราผู้นี้จะใช้วิธีการแบบเดียวกันนี้ในยามที่นางสังหารผู้คนหรือไม่
ดังนั้นเขาจึงได้เดินออกมาจากห้องตำรามายังถนนนี้เพื่อถามนักพรตหญิงชรา
นักพรตหญิงชราหยุดเดินและจ้องมองเขากลับไป
กวนไป๋อยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าครั้นเห็นสายตาของนักพรตหญิงชรา เขาก็ตระหนักว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพูด
เขาจับด้ามกระบี่แต่ก็ไม่อาจชักออกมาได้
ดวงเนตรนักพรตหญิงชราเจือสีเขียวทะเลคราม เปี่ยมด้วยอารมณ์โหดเหี้ยมและเน่าเฟะ ประดุจคลื่นที่เต็มไปด้วยสาหร่ายสีเขียวซัดสาดเข้ามา
จิตสังหารสีเขียวครามที่ไร้สิ้นสุดถาโถมออกมาจากตัวนางอีกฝั่งของถนน ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้
พรวด! ละอองโลหิตพุ่งออกจากปากของเขาตกลงสู่พื้นหิมะ
…
เขาเป็นความภาคภูมิใจของสำนักเทียนเต้า ผู้เชี่ยวชาญกระบี่บนประกาศเซียวเหยา กวนไป๋ผู้โด่งดัง
แต่กระนั้นต่อหน้านักพรตหญิงชรา เขาไม่อาจพูดสักคำหรือแม้แต่ชักกระบี่ออกจากฝัก ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว
“บอกชื่ออาจารย์เจ้ามา” นักพรตหญิงชราสั่งด้วยสีหน้าเฉยชา
ดวงตาของกวนไป๋เต็มไปด้วยความตกใจ ไม่เพียงแค่ได้ยืนยันแล้วว่านักพรตหญิงชรามีระดับการบำเพ็ญเพียรสูงกว่าอาจารย์เขา แต่ยังแทบจะสูงกว่าระดับของโลกมนุษย์และเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ครั้นคิดไปถึงดวงตาสีเขียวครามของนาง เขาก็คาดเดาตัวตนของนางได้ในทันที
อู๋ฉยงปี้แห่งแปดมรสุม!
ผู้นี้คือจุดสูงสุดของยอดฝีมือในโลกมนุษย์ เหตุใดคืนนี้ถึงพลันปรากฏตัวขึ้นในจิงตู
“กวนไป๋จากสำนักเทียนเต้า อาจารย์ของข้าคือจวงจือห้วน”
กวนไป๋นั้นตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้กับตัวตนของนักพรตหญิงชราผู้นี้ ทว่าเขาไม่กลัวแม้แต่น้อยและจ้องมองนางในยามที่พูดออกไป
“เห็นแก่หน้าเหมาชิวอวี่ คืนนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดไป”
นักพรตหญิงชราเดินผ่านไปช้าๆ ร่างของนางค่อยๆ อันตรธานไปในความมืด
ผ่านไปไม่นาน กวนไป๋ก็ตระหนักว่าเขาสามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว มือขวาที่กำด้ามกระบี่เอาไว้ยังสั่นสะท้าน และกระบี่ก็โผล่พ้นฝักมาครึ่งหนึ่งพร้อมเสียงดังเช้ง
จากนั้นแขนขวาของเขาก็หลุดออกจากไหล่ ตกลงสู้พื้นหิมะ เกิดคราบโลหิตสีแดงเข้มขนาดใหญ่
นครจิงตูคืนนี้ มีสุนัขจรจัดในตรอกหนึ่งถูกสับเป็นชิ้นอย่างโหดเหี้ยม
กวนไป๋ที่เป็นความภาคภูมิใจและความหวังของสำนักเทียนเต้า ยอดมือกระบี่รุ่นเยาว์ผู้มีอนาคตไร้ขีดจำกัด ได้เสียแขนขวาที่ใช้จับกระบี่ไป
นักพรตหญิงชราที่ทำเรื่องทั้งสองนี้ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น สีหน้านางยังคงเฉยชาดวงตายังคงโหดเหี้ยม
ในสายตานาง คนหนุ่มแบบกวนไป๋และสุนัขจรจัดในตรอกก็ไม่ต่างกัน แม้ว่านางจะนับถือใต้เท้าสังฆราชและไม่อยากล่วงเกินจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ หากที่นี่ไม่ใช่นครหลวงของต้าโจว บางทีกวนไป๋อาจตายไปแล้ว
ในสายตานาง การให้กวนไป๋มีชีวิตต่อไปก็เท่ากับไว้หน้าเหมาชิวอวี่แล้ว หากจะพูดให้ถูกก็คือนางไว้หน้านิกายหลวง
ใต้ฟ้านี้มีคนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง มากจนกระทั่งพวกเขามองโลกบิดเบี้ยวไป เชื่อว่าหากตนมิได้แย่งอาหารมาจากชามข้าวขอทานแล้ว นั่นก็คือได้ไว้หน้าขอทานคนนั้นแล้ว และการที่ไม่ฆ่าคนที่ขัดตาก็นับเป็นการไว้หน้าเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าอีกฝ่ายก็ต้องไว้หน้าตนด้วย
นักพรตหญิงชรามายังนครจิงตูในคืนนี้ก็เพราะนางเชื่อว่าใต้เท้าสังฆราชไม่ได้ไว้หน้านางมากพอ นางจึงต้องเดินทางมาถามด้วยตัวเอง
เมื่อตอนที่นางยังสาว นางแต่งงานกับอีกคนหนึ่งแห่งแปดมรสุม นับจากนั้นมาก็เชื่อว่าสามีคือสิ่งสำคัญที่สุดของนาง ครั้นแล้ว หลังจากทนความลำบากมามากนางก็ให้กำเนิดบุตรชายและเชื่อว่าบุตรชายนางเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างแท้จริง
นักพรตหญิงชรายืนอยู่ที่กำแพงหลังของสำนักฝึกหลวง มองไปยังต้นไม้ที่โผล่พ้นกำแพงออกมาอย่างเฉยชา
หลายสัปดาห์ก่อน บุตรชายต้องทนอับอายขายหน้าเพราะคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นชื่อว่าเฉินฉางเซิง
…