ในความทรงจำวัยเด็กของจางจื่ออัน ถนนเส้นนี้มักจะไฟดับอยู่บ่อยๆ เพราะเป็นเขตที่อยู่อาศัยเก่าแล้ว การทำงานของสายไฟไม่ค่อยดี ใช้ไฟสูงจนถึงจุดสูงสุดแค่นิดเดียวก็ตัดกระแสไฟฟ้าแล้ว โดยเฉพาะในฤดูร้อน
ฤดูร้อนมีความชื้นมากและอบอ้าว ถึงตอนนั้นทุกคนไม่มีเงินเท่าไร แต่ก็ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ และต้องต้มน้ำใช้อาบน้ำทุวัน บางครั้งหนึ่งวันอาบน้ำมากกว่าหนึ่งครั้ง บวกกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ตอนเขาตั้งใจดูการ์ตูนในตอนเย็นก็มักจะตัดฉับไป แถมพอไฟดับก็จะดับกันทั้งถนน ไม่แน่ใจว่าไฟจะมาเมื่อไหร่ ต้องดูว่าช่างไฟฟ้าของถนนนี้ว่างพอดีหรือเปล่า
ทุกครั้งที่ไฟดับ พวกเด็กๆ ที่หมกมุ่นอยู่ในโลกการ์ตูนจะแสดงความผิดหวังในคำพูดและการกระทำอย่างชัดเจน ถ้าการ์ตูนกำลังต่อสู้กันถึงจุดพีคพอดี ก็ต้องซึมเศร้ามากกว่าสอบได้ที่โหล่เสียอีก…
จากการปรับปรุงเมืองเก่าในเวลาต่อมา ไฟค่อยๆ ดับน้อยลงโดยที่ไม่รู้ตัว และหลังจากนั้นอีกก็แทบจะไม่ดับเลย พวกเด็กๆ ที่เกิดในสองสามปีนี้ยิ่งไม่รู้เลยว่าไฟดับคืออะไร
ถ้าสวี่จ้วงจ้วงเกิดในตอนนั้น ก็ไม่ต้องหวังให้ไฟดับเพื่อจะเบี้ยวไม่ทำการบ้านเลย เพราะยังไงก็ต้องจุดเทียนทำการบ้านอยู่ดี
ไฟดับในเวลาปกติไม่เป็นไร อย่างน้อยไม่ได้มืดสนิทไปเลย แต่ตอนนี้จางจื่ออันเพิ่งปิดหน้าต่างและบานเกล็ดทั้งหมด แถมยังปิดผ้าม่านด้วย จึงมืดสนิทขึ้นมาในฉับพลัน ดวงตายังปรับสภาพตามไม่ทัน
ดีที่โน้ตบุ๊กสลับไปใช้แบตเตอรีอัตโนมัติ หน้าจอจึงกลายเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเล็กๆ แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย
เสียงร้องเวทนาของเซฮวาดังมาจากในห้องน้ำ “ใครปิดไฟเนี่ย?”
“เจี๊ยกๆ?”
พายพบว่าอินเทอร์เน็ตถูกตัด และคอมพิวเตอร์ไม่ได้ออนไลน์อยู่แล้ว
แม้โน้ตบุ๊กจะมีแบตเตอรี แต่เราท์เตอร์ไม่มีแบตเตอรี ถึงดึงสายอินเทอร์เน็ตมาเสียบช่องสายแลนของคอมพิวเตอร์ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะแผงสับเปลี่ยนที่บริษัทสื่อสารโทรคมนาคมติดตั้งอยู่ข้างนอกก็ไม่มีไฟฟ้าไปแล้วแปดสิบเปอร์เซ็นต์
จางจื่ออันหยิบโทรศัพท์มือถือแชร์ฮอตสปอตให้โน้ตบุ๊ก จากนั้นให้บันทึกสิ่งไฟล์ที่ควรจะบันทึกไว้ เพราะแบตเตอรีของโน้ตบุ๊กอยู่ได้อีกไม่นานเท่าไร
เขาคลำทางเดินเข้าไปในห้องน้ำ ก็เห็นเซฮวาเปิดไฟฉายในโทรศัพท์มือถืออยู่เช่นกัน
ครึ่งตัวบนของเธอพ้นจากผิวน้ำแล้ว กำลังพิงขอบอ่างอาบน้ำติดผนัง ใบหน้ากับโทรศัพท์มือถือแนบชิดติดหน้าต่างบานเล็กมากๆ ในห้องน้ำ กำลังถ่านสถานการณ์ข้างนอกบ้าน
“คุณปิดไฟทำไม? แม้แต่ค่าไฟแค่เล็กน้อยก็ยังประหยัดเหรอ” เธอหันมาต่อว่า “ฉันกำลังไลฟ์สดไต้ฝุ่นให้พวกแฟนคลับดูอยู่นะ!”
“หยุดไลฟ์สดเถอะ ไฟดับแล้ว”
จางจื่ออันอธิบายสั้นๆ และปิดบานเกล็ดของห้องน้ำ คราวนี้ทั้งห้องน้ำก็แทบจะมืดสนิทในทันที มีเพียงหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอที่ยังสว่างจ้า
“อะไรนะ? แล้วไฟจะมาเมื่อไหร่? ก็เพราะคุณอยู่ในบ้านซอมซ่อแบบนี้ก็เลยไฟดับล่ะสิ!” เธอร้องอย่างร้อนใจ
จางจื่ออันสงสัยว่าเด็กคนนี้เป็นโรคติดโทรศัพท์มือถือเหมือนกับหลายๆ คนแล้ว แถมยังติดในระดับหนักเสียด้วย ไม่กินข้าวสักวันก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ได้เล่นมือถือสักวันเหมือนชีวิตดับสูญ…
“ไฟจะมาเมื่อไหร่ก็พูดยาก อย่างน้อยวันนี้อาจจะไม่มาเลย หรืออาจจะสองสามวัน” เขาพูด เนื่องจากเสียงลม เสียงฝน และเสียงฟ้าผ่ารบกวน พวกเพื่อนบนอินเทอร์เน็ตในช่องไลฟ์สดคงไม่ค่อยได้ยินเสียงพูดของเธอแล้ว
“สองสามวัน?” เธอเกาหัวอย่างสิ้นหวัง “ฉันต้องตายแน่ๆ! อีกอย่าง ทำไมต้องปิดหน้าต่างด้วย? ฉันยังต้องไลฟ์สดไต้ฝุ่นนะ!”
จางจื่ออันควานหาเทียนจากตู้ในห้องน้ำ ก่อนจะใช้ไฟแช็กจุดเทียน แล้วตั้งไว้ขอบอ่างอาบน้ำ แสงสลัวๆ สีเหลืองทำให้ห้องน้ำสว่างขึ้นมาแล้ว
“บรรยากาศใช้ได้เลย ไลฟ์สดเล่าเรื่องผีสิ อาจจะดังเป็นพลุแตกก็ได้” เขาพูด
พอออกจากห้องน้ำ เขาก็ตั้งเทียนเล่มหนึ่งไว้บนโต๊ะหนังสือเพื่อส่องแสงให้พายด้วย ก่อนจะไปปิดหน้าต่างกับบานเกล็ดของห้องนอนและห้องเก็บของทั้งหมด
หยดน้ำฝนกระทบหลังคาดังเปาะแปะ เสียงดังลงมาจากเพดาน ท่อระบายน้ำบนชายคาบ้านระบายน้ำออกไปข้างนอกเสียงดังจ๊อกๆ ราวกับก๊อกน้ำ เขายกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตรวจสอบเพดานบนชั้นสองครั้งหนึ่ง ตอนนี้ไม่มีวี่แววของน้ำซึม หวังว่าการป้องกันน้ำบนหลังคาที่ช่างเชื่อมจ้าวทำไว้จะต้านทานไต้ฝุ่นครั้งนี้ได้นะ
เขาลงมาชั้นล่าง เห็นพวกพนักงานร้านปิดประตูหน้าต่างหมดแล้ว และใช้เทปกาวกับถุงพลาสติกยัดซอกประตูอย่างแน่นหนา ฝนตกหนักขนาดนี้ เกรงว่าระบบระบายน้ำของเมืองคงระบายน้ำสะสมออกไปไม่ทัน ต้องป้องกันน้ำขังในถนนทะลักเข้าร้าน
ที่ยุ่งยากที่สุดเวลาไฟดับคือระบบทำความเย็นในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เขามีเครื่องปั่นไฟสำรองที่ใช้ตอนช่วยเสี่ยวไป๋ พอจะทำให้การหมุนเวียนน้ำและระบบเลี้ยงดูในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทำงานต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นไม่นานสัตว์น้ำพวกนั้นคงได้หงายท้องตายหมดแน่ และยังใช้ตู้เย็นแช่น้ำแข็งไว้เต็มตู้ เพื่อป้องกันไฟดับที่เกิดจากไต้ฝุ่น ยังพอทนไปได้ชั่วคราว
เพราะทุกคนอยู่ชั้นล่างกันหมด เขาจึงจุดเทียนไว้ที่ชั้นล่างหลายเล่ม พยายามให้ชั้นล่างสว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เสี่ยวฉินไช่ช่วยอะไรไม่ได้ และทุกคนก็กลัวเธอจะบาดเจ็บ เลยไม่ได้ให้เธอช่วย เธอจึงนั่งอยู่ข้างๆ เคาน์เตอร์เก็บเงินอย่างว่าง่าย ตอนนี้เธอเห็นว่ามีแสงสว่างแล้ว จึงเปิดกระเป๋าหนังสือหยิบการบ้านออกมา
เธอไม่คิดจะให้การบ้านปลิวหนีไปเองเหมือนสวี่จ้วงจ้วง และคิดจะเริ่มทำการบ้าน ถึงอย่างไรคุณครูก็ให้การบ้านเยอะมาก ไม่ทำตอนนี้ก็อาจจะทำไม่ทัน
“เสี่ยวฉินไช่ อย่าเพิ่งทำเลย มืดเกินไป เดี๋ยวเสียสายตาเอานะ” หวางเฉียนเตือนด้วยเจตนาดี “ไม่ทำการบ้านครั้งสองครั้งไม่เป็นไรหรอก ไม่คุ้มค่าให้ต้องใส่แว่นหลังจากนี้ไปหรอก”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มืด” เสี่ยวฉินไช่โบกมือ ก่อนจะยืนกรานทำการบ้านอย่างหัวแข็ง
ตอนนี้เอง อยู่ๆ ชั้นล่างก็มีแสงสว่างเพิ่มขึ้นมากทีเดียว แม้จะไม่ถึงกับสว่างจ้าเหมือนปกติ แต่อย่างน้อยก็ไม่นับว่ามืดเกินไป
จางจื่ออันถือไฟฉุกเฉินดวงเดียวในร้านเดินเข้ามา แล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์เก็บเงิน “วางไฟไว้ตรงนี้นะ เธอจะทำการบ้านก็ทำเถอะ”
“ว้าว! ขอบคุณค่ะพี่ชายเจ้าของร้าน!” เสี่ยวฉินไช่ปรบมือด้วยความดีใจ
เธอกางสมุดการบ้าน แล้วอาศัยแสงไฟเริ่มเขียนอย่างช้าๆ ด้วยความตั้งใจ
แม้จะปิดหน้าต่างและประตูแล้ว แต่ก็ไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ข้างนอกลมแรง ในบ้านก็มีลมพัดเข้ามาเล็กน้อย ประตูม้วนกับบานเกล็ดก็ถูกลมพัดจนเกิดเสียงดังปึงปังไม่หยุด ทั้งบ้านเหมือนเครื่องจักรขึ้นสนิมเครื่องหนึ่งเลยทีเดียว
บางครั้งประตูม้วนเหมือนมีสิ่งของถูกลมพัดมากระแทก อาจจะเป็นกิ่งไม้หรือเป็นอย่างอื่น ส่งเสียงดังกังวานออกมา ทำให้ทุกคนในร้านสะดุ้งโหยงตกใจ
มีประตูกระจกกั้นอยู่ พวกเขาเห็นประตูม้วนถูกกระแทกจนยุบไปหลายจุด ถ้าไม่มีประตูม้วนกันไว้ ประตูกระจกอาจจะถูกกระแทกแตกไปแล้วก็ได้
“อาจารย์ ที่นี่มีไพ่นกกระจอกไหมครับ? ว่างพอดีเลย พวกเรามาเล่นกันสักสองสามตาไหมครับ?” หลี่คุนเสนอ
หวางเฉียนสนับสนุน “ความคิดนี้ไม่เลว เสียงลม เสียงฝน เสียงเล่นไพ่นกกระจอก ไพเราะเสนาะหูมากเลยว่าไหม? เหมาะกับสถานการณ์พอดี!”
จางจื่ออันถลึงตาใส่พวกเขาครั้งหนึ่ง แล้วใช้สายตาบอกใบ้ถึงเสี่ยวฉินไช่ ความหมายคือเธอทำการบ้านอยู่ที่นี่นะ พวกนายเล่นไพ่นกกระจอกเสียงดังเอะอะอยู่ข้างๆ แบบนี้เหมาะสมแล้วเหรอ?
แต่เสี่ยวฉินไช่กลับใจกว้างบอกว่าไม่เป็นไร
พวกเขาสองคนคิดดูแล้ว ดูเหมือนไม่ควรทำเรื่องเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง แต่เป็นโทษกับคนอื่นแบบนี้จริงๆ ไปเล่นไพ่นกกระจอกในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำข้างๆ ดีกว่ามั้ง?
จางจื่ออันกวาดสายตามองในร้านครั้งหนึ่ง เหมือนจะพบว่าบางอย่างขาดหายไป