ตอนที่ 768 เยี่ยนเป่ยซีขอเกษียณ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 768 เยี่ยนเป่ยซีขอเกษียณ

“ฟู่เสี่ยวกวน ข้าจะหักกระดูกเจ้าแล้วบดเป็นผุยผง ! ”

ณ ห้องทรงพระอักษรของแคว้นอี๋ เยียนเหลียงเจ๋อกำลังตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวดรวดร้าว

เขาประทับอยู่บนแท่นประทับ หน้าอกสั่นกระเพื่อมตามแรงโทสะ

ชาวฮวงและราชวงศ์หยูกำลังทำสงครามกันอยู่ แล้วเจ้าเป็นบ้าอันใดถึงมาโจมตีข้า ?

เจ้าโจมตีข้ายังมิพอ ยังมาขุดหลุมพรางใหญ่โตเพื่อหลอกล่อให้ข้ากระโดดลงไปอีกด้วย…

จริงสิ ! ข้ายังมีทุนอยู่ เงินจำนวน 50 ล้านตำลึงเพียงพอที่จะสนับสนุนกองทัพให้ทำสงครามได้อีกสักครา

“ผู้ใดอยู่ข้างนอกรีบเข้ามา รีบเข้ามาประเดี๋ยวนี้… ! ”

“จงส่งองครักษ์หลวงไปปราบจลาจล หากมีชาวบ้านต่อต้านก็…สามารถจัดการได้ทันที ! ”

“ส่วนเจ้าไปเรียกเสนาบดีกรมกลาโหมและเสนาบดีกรมคลังมาพบข้าประเดี๋ยวนี้… ! ”

“อู๋เวิ่นห่ายอยู่ที่ใด ? จงเรียกมันกลับมาโดยเร็วที่สุด ! ”

“……”

พระราชวังแห่งแคว้นอี๋ได้บังเกิดความโกลาหลขึ้นมาในทันใด ขุนนางผู้มีบทบาทสำคัญทั้งหลายได้พากันมายังห้องทรงพระอักษรอย่างเร่งรีบ และได้ทราบว่าทหารชาวอู๋บุกเข้ามาในผืนปฐพีของตนแล้ว

แน่นอนว่าจะต้องทำสงคราม

แต่จากความสามารถของแคว้นอี๋ ณ ปัจจุบัน จะไปต่อสู้กับราชวงศ์อู๋ได้เยี่ยงไร ?

โชคดีที่ราชวงศ์อู๋ส่งทหารมาเพียง 60,000 นายเท่านั้น หากเป็น 600,000 นายแล้วล่ะก็…สู้ยอมแพ้ตั้งแต่ยังมิได้รบเสียยังจะดีกว่า

อู๋เวิ่นห่ายวิ่งเข้ามาด้วยอารามตื่นตระหนก เขามิทันแม้แต่จะสวมหมวกประจำตำแหน่งเสียด้วยซ้ำ

เมื่อมาถึงก็คุกเข่าลงกับพื้นดังตุ๊บต่อหน้าเยียนเหลียงเจ๋อ จากนั้นก็ร้องไห้น้ำตานองหน้าพลางกราบทูลว่า “ทูลฝ่าบาท…กระหม่อม กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“เจ้ารีบลุกขึ้นประเดี๋ยวนี้ เพราะบัดนี้เจ้ายังตายมิได้ ! ”

เยียนเหลียงเจ๋อตะโกนออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ตรัสถามว่า “เงินทุนของข้าได้คืนมาแล้วหรือยัง ? ข้าต้องการใช้เงินตอนนี้ เร็วเข้า…”

“ข้าขอสั่งว่า… จงรีบรวบรวมทหารกองทัพชายแดนตะวันออกให้ย้ายไปยังด่านต้ายู่ กรมคลังจงไปจัดเตรียมเสบียงและสิ่งของจำเป็นสำหรับทหารจำนวน 200,000 นายให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน จากนั้นก็จัดซื้อเสบียงจากหกรัฐทางตะวันตกเฉียงใต้เพื่อส่งไปยังด่านต้ายู่”

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ด่านต้ายู่มีทหารคุ้มกันอยู่ 100,000 นายแล้ว ขาดเพียงแค่ชุดเกราะและอาวุธ ซึ่งขาดอยู่เกินครึ่ง กระหม่อมเคยทูลฝ่าบาทแล้วว่าพวกเราต้องจัดซื้อชุดเกราะกับอาวุธก่อนพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เยียนเหลียงเจ๋อตกตะลึงงัน เมื่อปีที่แล้วทหารจำนวน 300,000 นายของเฟิงเสียนชูได้รบกับทหารชาวฮวง จึงได้โยกย้ายชุดเกราะและอาวุธจากด่านต้ายู่ไปจำนวน 50,000 ชุด ผู้ใดจะไปรู้กันเล่าว่าราชวงศ์อู๋จะเข้ามาโจมตีเช่นนี้ !

“อืม… เช่นนั้นก็ไปจัดซื้อชุดเกราะและอาวุธมา 100,000 ชุด จงรีบไปจัดการ ! ”

เสนาบดีกรมคลังแสดงสีหน้าทุกข์ใจ เขายกมือขึ้นคารวะอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วทูลว่า “ทูลฝ่าบาท กรมคลัง…มิมีเงินเหลือแล้ว มิมีแม้แต่ตำลึงเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

เยียนเหลียงเจ๋อหันไปจ้องมองอู๋เวิ่นห่าย “ไอ้เจ้างั่ง ยังมิรีบเอาเงินทุนของข้ากลับเข้าท้องพระคลังอีกหรือ ? ”

อู๋เวิ่นห่ายรู้สึกหดหู่ใจมากยิ่งนัก เขารีบเอาศีรษะโขกพื้นดัง โป๊ก โป๊ก โป๊ก อยู่หลายคราจนสมองเบลอ “ทูลฝ่าบาท…เงิน เงินนั้นมิมีแล้วพ่ะย่ะค่ะ… ! ”

เยียนเหลียงเจ๋อสะดุ้งโหยงในทันใด “เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ… ? ! ”

“เงินของข้าอยู่ที่ใด ? ต่อให้หุ้นราคาตกฮวบ แต่ก็ยังมีเงินทุนอยู่มิใช่หรือ ? ”

อู๋เวิ่นห่ายร้องไห้ออกมาเสียงดัง “กระหม่อม กระหม่อมต้องการให้หุ้นเหล่านั้นเพิ่มราคาสูงขึ้นจึงใช้เงินทุน…ซื้อหุ้นไปหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

บัดนี้เยียนเหลียงเจ๋อรู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังหมุนเคว้ง เขายื่นมือออกไปชี้หน้าอู๋เวิ่นห่าย นิ้วมือยังคงสั่นระริก “เจ้า เจ้า เจ้า… ! ”

“อึก… ! ”

เยียนเหลียงเจ๋อกระอักโลหิตออกมา จากนั้นก็นั่งลงที่แท่นประทับอย่างทุลักทุเล เขายกมือขึ้นประคองศีรษะ ใบหน้าขาวซีด ดวงตาทั้งสองข้างมืดมน “ฟู่ ฟู่เสี่ยวกวน…เจ้า เจ้าทำร้ายข้า… ! ”

……

……

ในขณะเดียวกันนั้นเอง

ณ ห้องทรงพระอักษรแห่งราชวงศ์หยู

ฮ่องเต้และอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซี ก็กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างฮ่องเต้เป็นองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้า

บัดนี้สีหน้าของเยี่ยนเป่ยซีไร้ซึ่งความแยแส คิ้วขาวโพลนทั้งคู่เลิกขึ้นเล็กน้อย

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมอายุปาเข้าไป 80 ปีแล้วจึงนับว่าชรามากแล้วจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้กระหม่อมรู้สึกว่าเรี่ยวแรงมิเป็นไปตามที่ต้องการเอาเสียเลย…”

เขาหยุดชะงักลงชั่วครู่ ก่อนจะทูลออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเสียดาย “ความใฝ่ฝันของกระหม่อมในชีวิตนี้ก็คือการได้ร่วมมือกับฝ่าบาทเขียนประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์หยู แต่เรี่ยวแรงของกระหม่อมเหลือมิมากแล้วจึงมิสามารถเดินตามรอยพระบาทได้ทันอีกต่อไป… ดังนั้นกระหม่อมอยากทูลขอพระมหากรุณาธิคุณให้กระหม่อม…”

เขายังมิทันได้ทูลจบ ฮ่องเต้ก็ได้ยื่นพระหัตถ์ออกมาข้างหนึ่งแล้วตรัสว่า “อัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ข้าเข้าใจดี ท่านคือขุนนางเก่าแก่ของราชวงศ์หยูมา 2 สมัย และท่านเองก็ได้ร่วมกับราชวงศ์หยูสร้างแคว้นให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น บัดนี้นโยบายใหม่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นและเป็นช่วงสำคัญ หากไร้ขุนนางเก่าแก่เยี่ยงท่านคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง…ข้าคงมิวางใจเป็นแน่ ! ”

เยี่ยนเป่ยซีเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา “ทูลฝ่าบาท ใช่ว่ากระหม่อมมิปรารถนา ทว่ากระหม่อมมิไหวแล้วจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ! ”

เขาสูดหายใจเข้าลึก สายตามองไปรอบ ๆ ห้องทรงพระอักษร จากนั้นก็ทูลต่อว่า “กระหม่อมได้เป็นจิ้นซื่อตอนอายุ 18 ปี รับหน้าที่เป็นนายอำเภออยู่ 3 ปี เป็นจือโจว 4 ปีและเป็นเต้าถายอีก 5 ปี จากนั้นก็ได้เข้ามาในท้องพระโรงและได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาทแต่งตั้งให้เป็นอัครมหาเสนาบดี วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกและกระหม่อมได้ดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีมา 11 ปีแล้ว

หลายปีมานี้กระหม่อมได้เห็นราชวงศ์หยูที่ได้รับการปกครองจากฝ่าบาท เจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

กระหม่อมยังคงจำได้ขึ้นใจว่าความคิดของฝ่าบาทกว้างไกลมากเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายยี่สิบคำนั้น…มั่งคั่ง ยุติธรรม มีวัฒนธรรม สงบสุข… กระหม่อมอยากเห็นความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หยูเช่นนั้นเสียเหลือเกิน ดังนั้นกระหม่อมจึงอยากมีชีวิตต่ออีกสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาของเขาจดจ้องไปยังพระพักตร์ของฮ่องเต้ ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความหวัง “ทูลฝ่าบาท บัดนี้ราชวงศ์หยูอยู่ในความสงบสุข นโยบายใหม่ก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น กระหม่อม…แท้ที่จริงก็มิต้องทำสิ่งใดมากแล้ว ดังนั้นเมื่อกระหม่อมได้ตริตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงได้มาทูลต่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ !

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น แต่อีกฝ่ายกลับมิเอ่ยถึงฟู่เสี่ยวกวนเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังยกความดีความชอบมาที่ข้าทั้งหมด

แท้ที่จริงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนี้ หากมิใช่เพราะชาติกำเนิดที่ค่อนข้างพิเศษของฟู่เสี่ยวกวน ก็คาดว่าฮ่องเต้คงแต่งตั้งให้ฟู่เสี่ยวกวนขึ้นรับตำแหน่งนี้แทนแล้ว

อายุมิใช่ปัญหา ความสามารถยิ่งมิใช่ปัญหา แต่มีเพียงปัญหาเดียวก็คือ…เจ้าฟู่เสี่ยวกวนคือจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ !

เมื่อนึกถึงปัญหานี้ฮ่องเต้ก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันใด เหตุใดเขาถึงกลายเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ไปได้เล่า ?

หากเมื่อตอนนั้นข้ามิตกลงให้เขาเดินทางไปเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมที่ราชวงศ์อู๋ ก็คงมิเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นใช่หรือไม่ ?

การที่เยี่ยนเป่ยซีร้องขอเกษียณ ประการแรกเพราะมีอายุมากจริง ๆ ประการที่สอง…เกรงว่าจะเป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวน

เนื่องจากหลานสาวของเยี่ยนเป่ยซีเป็นฮูหยินของฟู่เสี่ยวกวน ตระกูลเยี่ยนและฟู่เสี่ยวกวนจึงมีความสัมพันธ์ที่มิอาจตัดขาดกันได้

ดังนั้นฮ่องเต้จึงหรี่ดวงเนตรลงแล้วตรัสถามเขาว่า “ข้าเข้าใจในความหมายของท่านดี จะว่าไปหากข้ายืนกรานมิยินยอมก็คงใจร้ายไปสักหน่อย เนื่องจากท่านถึงช่วงเวลาต้องพักผ่อนแล้วจริง ๆ ทว่าข้ามีอยู่หนึ่งคำถามคือ ท่านคิดว่าในราชวงศ์หยูของเรานี้มีผู้ใดเหมาะสมกับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนี้อีก ยังมีผู้ใดสามารถช่วยข้าพัฒนาราชวงศ์หยูได้หรือไม่ ? ”

เยี่ยนเป่ยซีเมื่อได้ยินดังนั้นก็ลอบยิ้มอยู่ในใจ

เขายกมือขึ้นลูบเครายาว แสดงท่าทีขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วทูลออกมาว่า “ฉินฮุ่ยจือพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฮ่องเต้ชะงักงันขึ้นมาทันใด ตระกูลเยี่ยนสืบทอดตำแหน่งมาสามรุ่น เดิมทีพระองค์ทรงคิดว่าอีกฝ่ายจะเสนอรายชื่อเยี่ยนซือเต้า เนื่องจากเยี่ยนซือเต้าก็มีความสามารถมิแพ้ฉินฮุ่ยจือ อีกทั้งระยะเวลาที่เยี่ยนซือเต้าอยู่ในคณะเสนาบดีก็ยาวนานกว่าฉินฮุ่ยจือเสียด้วยซ้ำ

“ว่ากันว่าผู้คนมักแนะนำญาติของตน เหตุใดท่านจึงมิแนะนำเยี่ยนซือเต้าเล่า ? ”

อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนยกมือขึ้นคารวะ “ทูลฝ่าบาท หากซือเต้าได้ขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดีคงมิเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ ให้เขาปกครองเมืองก็คงได้ แต่ปกครองราชสำนักคงมิได้ เนื่องจากความสามารถยังมิพอ เขายังห่างจากฉินฮุ่ยจืออยู่หลายก้าว ดังนั้นกระหม่อมจึงมีความเห็นว่าราชวงศ์หยูในปัจจุบันนี้ มีฉินฮุ่ยจือที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการเป็นอัครมหาเสนาบดีมากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปเนิ่นนานโดยมิได้ตรัสอันใดออกมา ในที่สุดก็ตรัสขึ้นมาว่า “เยี่ยนซีเหวินปกครองเขตเหยาได้ดียิ่ง ดังนั้นข้าขอแต่งตั้งให้เขาเป็นจือโจวแห่งหลินเจียง ! ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”