ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 37 การบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 37 การบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬ Ink Stone_Fantasy

วิญญาณของขั้นอลวนทำให้ความเร็วในการบำเพ็ญและรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงพุ่งทะยานขึ้นเป็นอย่างมาก เขาสงบใจค้นคว้าหอกเทพเมฆาแดงที่เพิ่งได้มาเล่มนี้ ในฐานะที่หอกเทพเมฆาแดงเป็นอาวุธที่นายท่านฉื้ออวิ๋นใช้ขณะที่เป็นระดับยอดสุด จึงเป็นหอกที่สมบูรณ์และมีอานุภาพยอดเยี่ยม…ราคาไม่แพ้ ‘ค้อนเมฆเวหา’ นั้นเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ค้อนเมฆเวหายังเป็นสิ่งที่ ‘ผู้เคารพผอหนู’ ทอดทิ้งไป แล้วหลอมสมบัติลับที่ เหมาะสมกับตนเองมากกว่าขึ้นมา ส่วนหอกเทพเมฆาแดงเล่มนี้ไม่เคยถูกทอดทิ้งมาก่อน…หากจะซื้อขายกันจริงๆ ไม่แน่ว่าว่าราคาอาจจะสูงกว่าค้อนเมฆเวหาอยู่เล็กน้อย

โดยสรุปแล้ว นี่เป็นอาวุธที่มีเพียงเทพจักรวาลที่ทุ่มเทสมบัติล้ำค่าอย่างเต็มที่เท่านั้นจึงจะสามารถซื้อได้ ด้วยความโชคดีของตงป๋อเสวี่ยอิง แน่นอนว่าเขาอาศัยระดับขั้นจึงได้ด้ามหอกมาจากสถานที่เล็กๆ อย่างเมืองอัคคีโชติได้

จากด้ามหอก เขาก็ได้พบหัวหอกในนครหลวง และหัวหอกก็เป็นแม่เฒ่าอิงซานที่ช่วยซื้อมาอีกต่างหาก

เช่นนี้ จึงได้หอกยาวมาอยู่ในมืออย่างแท้จริง

อันที่จริงแล้ว…

ดินแดนจิตโลกามีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งนัก โบราณสถานก็มากมายอย่างยิ่ง ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากที่สิ้นใจไปในสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองก็มากเสียจนน่าตกใจ สมบัติล้ำค่าต่างๆ ที่สูญหายไปภายนอกแล้วถูกกลบอยู่ใต้ธุลีดินก็มีมากมาย บางส่วนต้องอาศัยโชค บางส่วนก็ต้องใช้เวลา

“ฟิ้วๆ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในเจดีย์เทพอากาศ พยายามสำแดงหอกยาวออกมาอย่างเต็มที่และฝึกฝนกระบวนท่า บางครั้งก็สงบจิตใจสำแดงและรับรู้

เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยไป เขาก็ยิ่งตกใจกับหอกยาวเล่มนี้

“ผิดแล้วๆ เดิมทีข้าคิดว่าอักขระลับภายในหอกเทพเมฆาแดงแค่สามารถสำแดงออกมาได้สองกระบวนท่าเท่านั้น กระบวนท่าหนึ่งคือบริเวณ อีกกระบวนท่าหนึ่งก็คือท่าไม้ตายโจมตี แต่นั่นคือการรับรู้ในช่วงต้นของข้า โดยที่ด้ามหอกและหัวหอกยังมิได้ผสานกัน บัดนี้เมื่อตั้งใจรับรู้โดยละเอียดแล้ว…กลับห่างไกลจากแค่สองกระบวนท่ามากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต้นขึ้นมา

อันที่จริงแล้วในฐานะอาวุธที่นายท่านฉื้ออวิ๋นใช้ทำสงคราม ก็ย่อมนำกระบวนท่าที่ตนเชี่ยวชาญที่สุดหลอมเข้าไปไว้ในอาวุธด้วยเป็นธรรมดา เพื่อจะได้อาศัยอาวุธสำแดงพลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา

ภายในอาวุธชิ้นนี้…สามารถกล่าวได้ว่าแฝงเอาไว้ด้วยวิธีการกว่าครึ่งของนายท่านฉื้ออวิ๋นแล้ว

ทว่า อาวุธนั้นไม่เหมือนกับศาสตร์ลับ มันถูกหลอมขึ้นมาก็เพื่อใช้สำหรับการรบ มิได้มีไว้สำหรับถ่ายทอดให้ศิษย์ จึงยากกว่าการค้นคว้าศาสตร์ลับมากทีเดียว

“ฮ่าฮ่า เป็นโอกาสครั้งใหญ่จริงๆ ครั้งใหญ่จริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

ต่อให้เป็นวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าที่สมบูรณ์ ก็มีกระบวนท่าต่อสู้เพียงสองชนิดเท่านั้น

หอกเทพเมฆาแดงนี้ บัดนี้ตนรับรู้ในขั้นแรกก็ค้นพบถึงสามชนิดแล้ว

เห็นได้ชัดว่าวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าเป็นสิ่งที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายทอดออกสู่ภายนอก ศิษย์ภายใต้สำนักล้วนสามารถศึกษาได้ วิชาฉบับง่ายนั้นเป็นสิ่งที่เผยแพร่ไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาอีกต่างหาก ถ้าทุ่มเทแก้วผลึกจักรวาลสักหน่อยก็สามารถได้มันมา ส่วนฉบับสมบูรณ์ หากไม่เข้าร่วมสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ถ้าทุ่มเทมากหน่อยก็มีโอกาสได้มาเช่นกัน

แน่นอนว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาไม่มีทางนำกลเม็ดทั้งหมดไปบรรจุไว้ภายในวิชาที่เผยแพร่สู่ภายนอก

กลเม็ดต่างๆ อย่างศาสตร์ร่างแยก ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา หรือวิถีตรีภพนั้น วิชาใดบ้างที่ไม่ล้ำค่ากว่าวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า

วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าถ่ายทอดสู่ภายนอกเท่านั้น แฝงไว้ด้วยกลเม็ดอันร้ายกาจอย่างยิ่งสองชนิดด้วยกัน เมื่อรวมกับวิธีการฝึกกาย ‘ร่างเมฆทักษิณาทิพย์’ ก็นับว่าเป็นสามกลเม็ด

หอกเทพเมฆาแดงกลับแฝงไว้ด้วยกลเม็ดกว่าครึ่งของนายท่านฉื้ออวิ๋น เมื่อเทียบกัน ก็จะรู้ถึงความแตกต่างของทั้งสองแล้ว

*******

ระหว่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอย่างบ้าคลั่งนั้น เวลาก็ล่วงเลยไปอย่างไม่หยุดหย่อนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เขาบ้าคลั่งอย่างแท้จริง เนื่องจากขณะอยู่ในบ้านเกิด เขาสามารถคิดค้นกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าได้สองกระบวนท่า และติดอุปสรรคอยู่ก่อนแล้ว ต่อให้นั่งเหี่ยวเฉาไปแสนล้านปีก็ยากนักที่จะได้อะไรมา แต่บัดนี้ไม่ว่าจะเป็นวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าหรือรับรู้หอกเทพเมฆาแดงหรือจะบำเพ็ญคัมภีร์อันล้ำค่าที่ตนได้มาจากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เป็นจำนวนมาก ก็แทบจะก้าวหน้าได้ตลอดเวลาแล้ว

ความรู้สึกก้าวหน้าเช่นนี้ทำให้เขาลุ่มหลงเป็นอันมาก

“เยี่ยมยอด”

ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความลึกล้ำของทรัพยากรของดินแดนจิตโลกา อย่างในอากาศอันสับสนอลหม่าน ตนก็นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งทางด้านเขตลวงอากาศแล้ว ตนไม่มีที่ให้ศึกษา ทำได้เพียงคลำทางด้วยตนเองเท่านั้น แต่ในบรรดาคัมภีร์เขตลวงอากาศที่ได้มาจากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์นั้น คัมภีร์ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็มีถึงสองเล่มด้วยกัน คัมภีร์อื่นๆ ที่พอจะมีส่วนช่วย ควรค่าให้ตนค้นคว้าก็มีถึงสิบหกเล่มด้วยกัน

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงบอกกับคนอื่นภายนอกว่าจะเก็บตัวนานมาก

แต่อันที่จริงแล้ว ก็เกินกว่าที่พวกท่านโหวหั่วเลี่ย อิงซานเลี่ยฮู่และหรงซิงหลันคาดการณ์เอาไว้ สำหรับผู้บำเพ็ญที่เก่าแก่ทั้งหลาย เวลาการเก็บตัวครั้งนี้ก็ไม่นับว่าเป็นอะไรได้ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญวัยเยาว์ซึ่งก่อนหน้านี้เพิ่งจะบำเพ็ญไปเพียงห้าร้อยล้านปีเท่านั้น การเก็บตัวครั้งนี้ก็นับว่านานเกินไปแล้วจริงๆ

……

เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งพันห้าร้อยล้านปีแล้ว

ณ ทะเลสาบมารทมิฬ

ตัวทะเลสาบเองก็กว้างใหญ่ไม่แพ้รัฐหนึ่งแล้ว ทั้งยังมีมารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนด้วย หากพูดถึงความแข็งแกร่งของพลัง ทะเลสาบมารทมิฬก็แข็งแกร่งกว่านครหลวงใดๆ ในสี่รัฐมารทมิฬมากทีเดียว หกรัฐโบราณก็ยากที่จะกำจัดพวกมันทิ้งได้ …ถือเป็นแหล่งรวมตัวของมารร้ายอันดับแรกสุดของทั้งดินแดนจิตโลกาเลยทีเดียว

ยามนี้ ภายในพระราชวังอันเรืองรอง ณ ส่วนลึกของทะเลสาบมารทมิฬ

บุรุษอาภรณ์เขียวผู้มีสีหน้าซีดเซียวราวกับคนป่วยนั่งอยู่บนบัลลังก์สูง รอบบัลลังก์มีเงารางสีแดงโลหิตอันคดเคี้ยวปรากฏขึ้น เงารางสีแดงโลหิตแทบจะครองพื้นที่ครึ่งค่อนโถงตำหนัก กลิ่นอายที่แผ่กำจายออกมาก็น่าหวาดหวั่นผิดธรรมดา ทำให้กาลมิติรอบด้านสั่นสะเทือนเล็กน้อย

ถัดลงไปทั้งสองข้างเบื้องล่าง มีเงาร่างนั่งอยู่ข้างละหนึ่งร่าง

ร่างหนึ่งก็คือยักษ์ศิลาซึ่งมีร่างกายขนาดมหึมา เพียงแต่ว่านัยน์ตาทั้งคู่ของเขากลับราวกับมีลูกไฟกำลังแผดเผา ดวงตาไฟแต่ละข้างราวกับดวงดาราเพลิงอย่างไรอย่างนั้น

ส่วนอีกร่างหนึ่งก็คือชายชราผมเขียวร่างผอมซูบ มุมปากของชายชราผมเขียวผู้นี้มีรอยยิ้มระบายอยู่ บนร่างก็มีงูเรียวยาวสีดำรายล้อมรอบกาย

“ตามกฎแล้ว สถานที่สำหรับการบูชาโลหิตในครั้งนี้น่าจะเป็นรัฐเมฆทักษิณา” เสียงของบุรุษอาภรณ์เขียวที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานนั้นเยียบเย็น

“ประมุขรัฐเมฆทักษิณานั้นรังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย” เสียงของยักษ์ศิลาดังกึกก้อง

“เฮอะ รังแกไม่ได้ง่ายๆ แล้วอย่างไรกันเล่า ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจขัดขวางการบูชาโลหิตได้ จะต้องทำให้ทั้งสี่รัฐมารทมิฬเข้าใจว่า ผู้ที่สั่งการได้ในสี่รัฐมารทมิฬก็คือทะเลสาบมารทมิฬของพวกเรา!” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบยิ้มเย็น “อย่างรัฐประกายเพลิง พวกเรามักจะไปเข่นฆ่าและทำลายคูเมืองแห่งแล้วแห่งเล่าเป็นประจำ อย่างรัฐเมฆทักษิณา นานๆ ทีจึงจะลงมือสักครั้ง ก็นับว่าไว้หน้าประมุขรัฐเมฆทักษิณาแล้ว”

ยักษ์ศิลาพูดเสียงต่ำว่า “ข้ารู้ว่าควรลงมือได้แล้ว ข้าเพียงแค่พูดว่ารังแกไม่ได้ง่ายๆ ก็เท่านั้น พวกเราควรจะเลือกเมืองเล็กๆ สักแห่งพอเป็นพิธีก็ใช้ได้แล้ว”

“อื้ม” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบก็พยักหน้า “แค่เมืองเล็กก็พอแล้ว หากเป็นเมืองใหญ่ เกรงว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาคงจะต้องคลุ้มคลั่งแน่”

“ทางสายของพวกเราลงมือทั้งที ก็ต้องทำให้งดงามเสียหน่อย” บุรุษอาภรณ์เขียวกล่าว

มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนภายในทะเลสาบมารทมิฬก็มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเช่นกัน

การบูชาโลหิตนั้น ก็เป็นสำนักทั้งสามที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป

“เลือกเมืองเล็กสักแห่งหนึ่ง ก็ต้องทำให้งดงามสักหน่อย” ชายชราผมเขียวผอมซูบกล่าว “เมืองเล็กก็ต้องพิเศษสักหน่อย ข้ารู้ว่ามีเมืองเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่เลวเลย มีนามว่า ‘เมืองอัคคีโชติ’ ก่อนหน้านี้เมืองอัคคีโชติแห่งนี้ก็ให้กำเนิดผู้มีพรสวรรค์ที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่งคนหนึ่งขึ้นมา อยู่ในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาก็นับว่าเก่งกาจมากทีเดียว การทำลายเมืองเล็กๆ ซึ่งมีผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานพรรค์นี้…ก็นับว่าสะท้านสะเทือนไปทั่วรัฐเมฆทักษิณา! ทำให้ทั้งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณารู้จักชื่อเสียงอันเกรียงไกรของทะเลสาบมารทมิฬของเรา”

“ขอรับ ถูกต้อง” ยักษ์ศิลาก็เห็นด้วย

“เช่นนั้นเมืองอัคคีโชติก็แล้วกัน พวกเจ้าสองคนไปเตรียมตัว ต้องทำให้งดงามหน่อยล่ะ ทั้งเมืองอัคคีโชติต้องบูชาโลหิตให้หมด” บุรุษอาภรณ์เขียวพยักหน้ากำชับ สหายทั้งสองย่อมไม่ขัดเรื่องอย่างสถานที่ของการบูชาโลหิตอยู่แล้ว

……

“ท่านบรรพชน”

เงาร่างบึกบึนที่มีเขาโค้งสีดำมองชายชราผมเขียวร่างผอมซูบที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าด้วยความเคารพ  บนร่างของชายชราผมเขียวร่างผอมซูบมีงูสีดำเรียวยาวตัวนั้นพันพาดอยู่ ทำให้เงาร่างบึกบึนที่มีเขาโค้งสีดำสัมผัสได้ถึงความหวั่นเกรง

“วางใจเถิด เรื่องที่เจ้าขอร้องข้า ข้าได้เตรียมการเอาไว้อย่างเหมาะเจาะแล้ว” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบกล่าว “นานแสนนาน ทะเลสาบมารทมิฬของเราจึงจะบูชาโลหิตที่รัฐเมฆทักษิณาสักครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เวียนมาถึงทางสายตระกูลของพวกเราแล้ว ข้าจึงยอมช่วยเจ้า กำหนดสถานที่แล้วคือที่เมืองอัคคีโชติ ถึงตอนนั้นเจ้าก็สามารถล้างแค้นครั้งใหญ่ได้แล้วล่ะ”

“ขอบคุณท่านบรรพชนขอรับ” เงาร่างบึกบึนที่มีเขาโค้งสีดำตื่นเต้นหาใดเปรียบ

เขาพยายามเอาอกเอาใจท่านบรรพชนมาโดยตลอด แม้แต่พิษต่างๆ ที่ท่านบรรพชนชอบ เขาก็ทุ่มเทสมบัติที่สั่งสมไว้กว่าครึ่งเพื่อเก็บรวบรวมและซื้อมามอบให้ท่านบรรพชน ท่านบรรพชนจึงรับปากเขา

เพราะถึงอย่างไรจะแก้แค้นด้วยตนเองก็ยากเกินไปแล้ว

ตัวเมืองของรัฐเมฆทักษิณา มิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็กล้ามาโจมตีได้ คิดจะทำให้สำเร็จก็ยิ่งนานเข้าไปใหญ่ จะต้องใช้ทั้งทะเลสาบมารทมิฬจึงจะได้! ทะเลสาบมารทมิฬกวาดล้างตัวเมืองแห่งแล้วแห่งเล่า ข้อแรกก็เพื่อให้ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า อีกด้านหนึ่งก็คือเพื่อ ‘การบูชาโลหิต’

“เฉินอู่ ครั้งนี้เจ้าก็จะร่วมศึกด้วย อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบกล่าว “บูชาโลหิตให้หมดทั้งเมืองอัคคีโชติ ไม่ให้เหลือไว้แม้แต่คนเดียว”

“ขอรับ” ยามนี้เงาร่างบึกบึนที่มีเขาโค้งสีดำตื่นเต้นหาใดเปรียบ นัยน์ตาฉายแววรอคอยและความกระหายสงคราม เขารอวันนี้มานานแสนนานแล้ว เขาอยากเห็นโหวหั่วเลี่ยโกรธแค้นจนตาแทบถลนออกนอกเบ้าเป็นอย่างมาก เขาอยากเห็นความสิ้นหวังของอีกฝ่าย และท้ายที่สุด ตนก็จะได้สังหารโหวหั่วเลี่ยด้วยมือของตนเอง

 …………………………………………