องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 807 เข้าพบจักรพรรดิ
ในรถม้า หนานกงเย่ดึงตัวของฉีเฟยอวิ๋นไปกอดไว้ในอ้อมแขนและไม่พูดอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเย่ “ท่านอ๋องไม่สบายหรือเพคะ?”
“นิดหน่อย เห็นอวิ๋นอวิ๋นแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นแล้วข้าอยากจะฆ่าเขาคนนั้นให้ตาย?” หนานกงเย่กุมมือแน่น “แต่เมื่อได้ยินว่านางจะตาย ข้าจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก”
“เช่นนั้นท่านอ๋องต้องการให้ทำเช่นไรเพคะ?”
“เรื่องบางเรื่องไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และข้าก็ไม่สามารถ”
“ท่านอ๋องสามารถแต่งงานกับนางได้!”
“ชีวิตนี้ข้ามีอวิ๋นอวิ๋นเป็นภรรยาเพียงคนเดียว และจะไม่มีภรรยาคนที่สองเด็ดขาด!”
หนานกงเย่ก้มลงไปจูบฉีเฟยอวิ๋น และไม่พูดอะไรอีก
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน
ทั้งสองกลับไปพักที่จวนแม่ทัพหนึ่งคืนโดยที่ไม่กลับไปที่จวนท่านอ๋องเย่ และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากลับมา ทั้งสองพลอดรักกันทั้งคืนจนถึงเช้าก็ยังไม่เสร็จ
เพราะเหนื่อย จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงไปพักผ่อน
เวลาบ่ายฉีเฟยอวิ๋นจึงตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดเมื่อยไปทั้งตัว
“เป็นเพราะท่าน!” ฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนเป็นชุดคลุมแขนกว้างและมองหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์ ช่างหน้าไม่อายนัก!
แม้ว่าหนานกงเย่จะออกแรงใช้กำลังทั้งคืน แต่วันนี้เขากลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างมาก จากนั้นจึงออกไปสั่งให้คนเตรียมสำรับอาหารไว้ และพาอวิ๋นอวิ๋นออกไปรับประทานอาหาร
ทั้งสองออกจากจวนท่านแม่ทัพไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อกลับไปถึงจวนท่านอ๋องเย่และเจอเด็กๆ ก็ทั้งกอดและหอม จากนั้นจึงเหลือบไปมองอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นซูบผอมลงไปมาก แถมยังมีผมหงอกอีกด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นมองอวิ๋นจิ่นอยู่นานก่อนจะมีสติ และเดินไปถามอวิ๋นจิ่นว่าเกิดอะไรขึ้น อวิ๋นจิ่นไม่พูดไม่จา เพียงแต่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น
“อวิ๋นจิ่น เจ้าเป็นอะไรไปหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นยื่นมือออกไปจับเส้นผมของอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นหลัวฉวนกล่าว “อวิ๋นจิ่นเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ที่พวกท่านออกเดินทางไป เดิมทีก็ยังพอกินอะไรเข้าไปบ้าง แต่ตั้งแต่ที่แม่ทัพฉีกลับมา นางก็ไม่กินอะไรเข้าไปเลยจนถึงตอนนี้ บางครั้งข้าก็ทำน้ำผึ้งให้นางกิน นางฝืนกินเข้าไปเล็กน้อย และตอนนี้นางก็ไม่ค่อยจะออกไปข้างนอก เป็นเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
หมอโจวและหมอเทวดาต่างก็จากไปจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา ข้าไม่มีหนทาง จึงเชิญหมอหลวงหูจากในวังเข้ามา หมอหลวงหูเข้ามาตรวจก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นอะไร ข้าเกรงว่าอวิ๋นจิ่นจะรอจนถึงวันที่พวกท่านกลับมาไม่ได้ พวกท่านกลับมาแล้วไปที่จวนแม่ทัพ ข้าจึงต้องไปตามท่านกลับมา อวิ๋นจิ่นบอกว่าสองวันนี้นางไม่เป็นอะไร และขอร้องไม่ให้ข้าพูด แต่ข้ากลับร้อนใจอย่างมาก”
ฉีเฟยอวิ๋นจับข้อมือของอวิ๋นจิ่นเพื่อตรวจชีพจร ร่างกายของอวิ๋นจิ่นอ่อนแอมาก แต่กลับไม่พบความผิดปกติอื่น
ไม่กินไม่ดื่ม แต่กลับสามารถมีชีวิตอยู่ได้ อีกทั้งเพราะร่างกายขาดสารอาหารที่มีประโยชน์หลากหลาย จึงทำให้เป็นเช่นนี้
“อวิ๋นจิ่นเจ้าไปนอนรอข้าประเดี๋ยว หงเถาลี่ว์หลิ่วพวกเจ้าทั้งสองดูแลอวิ๋นจิ่นไว้” ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังเดินไปที่เรือนสวนดอกกล้วยไม้ อาอวี่ก็ติดตามฉีเฟยอวิ๋นไปด้วยราวกับเป็นแมลงที่คอยเกาะ เพราะเกรงว่าฉีเฟยอวิ๋นจะไล่เขาออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีเวลามาสนใจอาอวี่ เมื่อหยิบกล่องยาเสร็จก็กลับมาหาอวิ๋นจิ่น และฉีดยาให้กับนางหนึ่งเข็ม
อวิ๋นจิ่นไม่พูดอะไร ยังคงนอนอยู่เช่นนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ฝ่าบาทเรียกข้าเข้าไปพบ อวิ๋นจิ่นเจ้ากินอาหารเข้าไปเยอะๆ นะ รอข้ากลับมามีเรื่องจะพูดกับเจ้า บางทีเจ้าอาจจะเปลี่ยนใจ”
อวิ๋นหรี่ตามอง ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจ “ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้นะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว จากนั้นจึงเข้าวังไปกับหนานกงเย่ และหอหมอประจำจวนคนอื่นมาเพื่อดูแลอวิ๋นจิ่นโดยเฉพาะ
จักรพรรดิอวี้ตี้จ้องมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองหนานกงเย่ “เจ้ากลับมากันแล้วหรือ หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าข้าได้รับพระราชสาส์นจากจักรพรรดิปีกใต้และจักรพรรดินีแคว้น เช่นนั้นข้าก็ยังไม่รู้ว่ามีเรื่องใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้น แม่ทัพฉีปิดบังข้าได้แนบเนียนมาก”
ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าไม่พูดอะไร หนานกงเย่พูดขึ้นมา “กระหม่อมเกือบตายอยู่หลายครั้ง ฝ่าบาทไม่ทรงเป็นห่วงกระหม่อมเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าจะยังห่วงอะไรเจ้า ข้ากลับอิจฉาเจ้ามากกว่า เจ้าแต่งงานกับคนที่ข้าต้องมีมารยาทให้” จักรพรรดิอวี้ตี้เดินลงจากบันไดมาหยุดตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นและจ้องมองอย่างละเอียด
“ข้าไม่เคยเห็นจักรพรรดินีแห่งแคว้นเฟิ่ง แต่พวกเจ้าน่าจะเหมือนกันมาก ได้ยินคำร่ำลือว่าจักรพรรดินีสวยสง่าแบบไม่มีใครเทียบได้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงตรัสชมเสด็จแม่ของหม่อมฉันเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยความนอบน้อม
จักรพรรดิอวี้ตี้หัวเราะ “ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าไม่ต้องคุกเข่าให้ข้าอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่ทำให้เป็นพิธีก็พอแล้ว สถานะของเจ้าสูงส่งนัก ข้าก็ไม่อาจรับไว้ได้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่อยากคุกเข่าอีกต่อไปแล้ว
“พระชายาเย่ของเมืองต้าเหลียง กลับกลายเป็นมกุฎราชกุมารีของปีกใต้และแค้วนเฟิ่ง ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับข้าอย่างมาก”
จักรพรรดิอวี้ตี้จ้องมองฉีเฟยอวิ๋นครู่หนึ่งและมองไปที่หนานกงเย่ “เจ้าล่ะ? พวกเขาไม่ให้พวกเจ้าอยู่ที่นั่นต่อหรือ?”
หนานกงเย่กล่าว “ให้พ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ต้องการ!”
จักรพรรดิอวี้ตี้มองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็มีเพียงเจ้าที่ไม่ต้องการ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาคงต้องการไปนานแล้ว”
จักรพรรดิอวี้ตี้หันหลังกลับไป เมื่อนั่งลงก็มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น “พระชายาเย่ แม้ข้าจะยกเลิกประเพณีการคุกเข่าของเจ้าไป แต่ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าทำผิดได้ เช่นนั้นแล้วจะเป็นการไม่มีกฎเกณฑ์
ข้าได้ยินมาว่าเจ้าใช้แส้ม้าทำร้ายจวินซือซือ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเสียงเรียบ
“เพราะอะไรหรือ?”
“นางมาขัดขวางรถม้าของหม่อมฉัน และยังต้องการให้หม่อมฉันหลบไป หม่อมฉันโมโหขึ้นมาก็เลยทำร้ายนาง ไม่คิดเลยว่านางจะยังไม่ตาย หากรู้ว่านางไม่ตาย เช่นนั้นหม่อมฉันจะตีให้แรงกว่านี้อีกเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่สนใจ
จักรพรรดิอวี้ตี้สีหน้าเคร่งขรึม นี่มันคืออันธพาลโหดเหี้ยมไม่ใช่หรือ?
“พระชายาเย่ พวกเจ้าออกไปครั้งเดียวกลับมาก็เป็นเช่นนี้ หรือว่ามีความเกี่ยวพันอะไรกับปีกใต้และแค้วนเฟิ่งอย่างนั้นหรือ จึงทำให้ไม่รู้จักกฎหมายและไร้ระเบียบเช่นนี้ ทำร้ายคนอื่นแถมยังเย่อหยิ่งได้เช่นนี้?”
“ฝ่าบาท ทำร้ายคนอื่นก็ควรถูกลงโทษ แต่อวิ๋นอวิ๋นคือพระชายาเย่ จวินซือซือไม่มีตำแหน่งอะไรเลย นางมาขัดขวางรถม้าไว้และต้องการทำร้ายอวิ๋นอวิ๋น หากตอนนั้นอวิ๋นอวิ๋นไม่ลงมือ เช่นนั้นคนที่จะถูกทำร้ายก็คืออวิ๋นอวิ๋น หากพูดเช่นนี้เท่ากับว่าฝ่าบาทช่วยเหลือญาติสนิทของตัวเองและไม่เห็นแก่หลักเหตุผล? ยอมให้อวิ๋นอวิ๋นถูกทำร้ายจนตาย ก็จะปกต้องน้องสะใภ้อย่างนั้นหรือ?”
“น้องสะใภ้?” จักรพรรดิอวี้ตี้หัวเราะขบขัน แต่ก็ตรัสออกมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ข้าไม่ได้ช่วยนาง แต่พระชายาเย่ทำร้ายนางถึงขั้นนั้น เช่นนั้นก็ฟังไม่ขึ้น”
“เช่นนั้นนางไปร้องเรียนแล้วหรือ?”
“ไม่”
จักรพรรดิอวี้ตี้จ้องมองทั้งสองอย่างหดหู่
“เช่นนั้นก็จบแล้ว ถือว่าไม่สมเหตุสมผล” หนานกงเย่กล่าวอย่างเฉยเมย
จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวอย่างโกรธเคือง “ตอนนี้นางหมดสติไปและยังไม่ฟื้น ศีรษะบวมก็เหมือนกับหัวหมู จะให้นางออกมาได้อย่างไร?”
“……” ทั้งสองสามีภรรยาต่างเงียบไม่พูดจา
จักรพรรดิอวี้ตี้โมโหและตั้งใจตบโต๊ะลงไปหนึ่งครั้ง
ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ต่างไม่ตอบสนอง ทั้งสองเป็นเช่นนี้จักรพรรดิอวี้ตี้ยิ่งโมโห
“พูดมาว่าควรทำเช่นไร?” จักรพรรดิอวี้ตี้ตะโกนออกมา
หนานกงเย่ตอบ “คดีที่ที่ทำการปกครองเมืองหลวงยังต้องมีคนร้องเรียน คดีนี้ไม่มีคนร้องเรียน เช่นนั้นก็ถือเป็นคดีที่ไม่มีเจ้าทุกข์ ทำไมยังต้องสอบสวนอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ
สอบสวนไปแล้วจะทำอะไรได้ อวิ๋นอวิ๋นเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งปีกใต้และเป็นมกุฎราชกุมารีแห่งแคว้นเฟิ่ง ต่อให้ไม่ใช่พระชายาเย่ นางก็มีสถานะสูงศักดิ์ แต่กลับถูกหญิงบ้าที่ไหนไม่รู้มาไล่ทำร้ายอยู่กลางถนน”
“พวกเจ้าทั้งสอง……” ขณะที่จักรพรรดิอวี้ตี้กำลังโมโหจวินเซียวเซียวก็เดินอุ้มองค์หญิงกู้กั๋วออกมา และก้มโค้งคำนับ
“หม่อมฉันคารวะฝ่าบาทเพคะ” น้อยครั้งนักที่จวินเซียวเซียวจะออกนอกตำหนักจิ่นซิ่ว อย่างน้อยฉีเฟยอวิ๋นเห็นเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้นางสวมใส่ชุดสีเหลืองสดใสเดินออกมา และในอ้อมแขนก็อุ้มองค์หญิงตัวน้อยที่สามารถนั่งด้วยตัวเองได้แล้ว จึงทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจมาก
“คารวะพระสนมเอกเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว
หนานกงเย่ไม่ได้พูดอะไร
จวินเซียวเซียวกล่าวว่า “พระชายาเย่ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
จักรพรรดิอวี้ตี้นับว่าได้ลูกสาวในตอนที่อายุมากแล้ว เขาลุกขึ้นไปอุ้มลูกสาวมากอดไว้ และค่อยๆ กล่อมเบาๆ
“คิดถึงพ่อแล้วใช่หรือไม่?” เมื่อจักรพรรดิอวี้ตี้มีลูกสาว ความโมโหอะไรก็หายไปทั้งหมด
หนานกงเย่มองด้วยความไม่สบอารมณ์ และรู้สึกอิจฉาคนอื่น
คนอื่นมีลูกสาว เขากลับไม่มี
ฉีเฟยอวิ๋นรับรู้ได้ แววตาของหนานกงเย่ที่มองลูกสาวของคนอื่นนั้นล้วนเป็นความอิจฉาริษยาและเกลียดชัง
จวินเซียวเซียวพยักหน้าให้กับฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นจึงหันไปที่หนานกงเย่และพยักหน้าให้ “เสด็จอา”
หนานกงเย่ไม่พูดอะไร จักรพรรดิอวี้ตี้จึงเงยหน้าขึ้นมองเขา!