ตอนที่ 145-1 ศักยภาพเกินต้านทาน สั่นสะเทือนทั่วอู๋โยว

จำนนรักชายาตัวร้าย

“อย่า อย่า! อย่า——” 

 

 

แม้ว่าสุ่ยฮั่วอีจะอยู่มากว่าสองร้อยห้าสิบแล้วก็ตามที แต่เขาก็ยังคงกลัวตาย ที่เขามุ่งมานะเพียรพยายามฝึกวรยุทธ์เช่นนี้ ก็เพื่อที่จะให้ตนเองมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน ได้เสพสุขความรุ่งเรืองและสวยงามบนโลกนี้ให้นานที่สุด 

 

 

แต่ตอนนี้ สุ่ยฮั่วอีรู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างชัดเจน 

 

 

เขาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ที่เข้าใกล้ความตายมากถึงเพียงนี้ ใกล้เสียจนรู้สึกราวกับว่ายมบาลมาอยู่ข้างกายเขานี่เอง 

 

 

“อย่า” 

 

 

สุ่ยฮั่วอีหมุนกายสับขาวิ่งหนีออกไปทันที เพียงแต่เขาถูกซย่าโหวฉิงเทียนกักขังเอาไว้ในกำแพงแก้ว จึงมิอาจหนีออกไปไหนได้ 

 

 

มังกรม่วงหวีดร้องคำรามเสียงสนั่นอย่างดุร้าย เลื้อยทะลุร่างของสุ่ยฮั่วอีจากทางด้านหลังออกด้านหน้า กระแทกเข้ากับอวัยวะภายในทั้งห้าของสุ่ยฮั่วอีอย่างรุนแรง 

 

 

ความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้มิอาจใช้คำใดมาบรรยายได้ สุ่ยฮั่วอีได้ยินเสียงกระดูกกระเดี้ยวของตนเองแตกหักสูญสลายได้อย่างชัดเจน ทุกท่อนแหลกเป็นชิ้นเล็กๆ เขาไม่เคยเจ็บปวดทรมานถึงเพียงนี้มาก่อน 

 

 

สำหรับลมปราณของเขา ถูกพลังวิเศษลำแสงสีม่วงพันเกี่ยวเอาไว้จนเป็นก้อนกลม พัดวนอยู่ในวังวนของอภิมหาพายุ จนลำแสงลมปราณสีเหลืองเริ่มแตกร้าว  

 

 

“ไม่! ไม่! “ 

 

 

“ลมปราณของข้า ลมปราณของข้า!” 

 

 

ลมปราณ คือสิ่งที่ใช้ยืนยันความแข็งแกร่งของวรยุทธ์ในโลกใบนี้ของผู้ฝึกวรยุทธ์ และลมปราณของสุ่ยฮั่วอีก็มีขนาดเท่ากับไข่ของพิราบอย่างไรอย่างนั้น มันกำลังเปล่งแสงสีเหลืองน้ำตาลออกมา 

 

 

ในตอนนี้ แสงนั้นค่อยๆอ่อนลง ลำแสงสีม่วงราวกับกระบี่ที่แหลมก็ไม่ปาน พุ่งตัดลมปราณของสุ่ยฮั่วอีจนขาด 

 

 

‘นี่เขาจะล้างบางตนเองโดยสมบูรณ์หรือนี่’  

 

 

สุ่ยฮั่วอีทรุดลงบนพื้น ร่างสั่นระริก เขาเสียใจเหลือเกิน ข้ายังไม่อยากตาย และก็ไม่อยากสูญเสียพลังลมปราณ ต้องมีชีวิตอยู่อย่างน่าอดสู 

 

 

“ขอร้องเจ้าละ! ขอร้องเจ้าเมตตาข้าด้วย!” 

 

 

สุ่ยฮั่วอีน้ำหูน้ำตาไหล เลือดและเหงื่อไคลผสมปนเปกันไปหมด สีหน้าของเขาเหยเก น่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่สุด เขาไม่ใช่บรรพชนเฒ่าที่สูงส่งอีกต่อไปแล้ว กลับเป็นเพียงผู้อ่อนแอที่ต่ำต้อยที่กำลังคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอชีวิตอยู่เบื้องหน้าซย่าโหวฉิงเทียน 

 

 

‘เป็นไปไม่ได้!’ 

 

 

สำหรับซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว โลกของเขามีเพียงคนสองประเภท 

 

 

คนกันเอง และคนผ่านทาง  

 

 

สำหรับศัตรูของเขา พวกมันต้องตาย 

 

 

เขาเองก็ไม่ใช่พวกมีเมตตากรุณาเสียด้วย สุ่ยฮั่วอีตลบหลังเล่นงานเขาเช่นนี้ แล้วซย่าโหวฉิงเทียนจะปล่อยให้อีกฝ่ายมีชีวิตรอดไปได้อย่างไร อีกทั้งนับรบของสกุลสุ่ยกำลังล้อมกรอบเข้าโจมตีหญิงที่เขารักที่สุดอยู่ ตัวการที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมดอยู่ตรงนี้ แล้วเขาจะปล่อยไปได้อย่างไร!  

 

 

“ตายเสียเถอะ!” ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบ พลังสีม่วงที่เข้มข้นก็พุ่งเข้าเจาะหน้าอกสุ่ยฮั่วอีจนทะลุออกไปอีกด้าน จากนั้นก็พวยพุ่งออกมารวมตัวกันเป็นรูปมังกร หวีดร้องคำรามยาว กลับเข้าไปหาซย่าโหวฉิงเทียนและในปากของมังกร คาบก้อนลมปราณของสุ่ยฮั่วอีเอาไว้ 

 

 

“กร๊อบ——” 

 

 

มังกรม่วงบดเคี้ยวลมปราณของสุ่ยฮั่วอีจนแหลกแล้วกลืนลงไป สุ่ยฮั่วอีที่กำลังสิ้นหวังกระอักเลือดออกมาแล้วขาดใจตายทันที 

 

 

เมืองลู่ ฉับพลันก็เงียบสนิท 

 

 

เงียบถึงขนาดที่ว่า เข็มเล่มหนึ่งร่วงหล่นกระทบพื้นก็จะยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน 

 

 

‘บรรพชนเฒ่าของสกุลหลิวจะถูกสังหารจนตายง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ?’ 

 

 

‘ตัดสินแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียวจริงด้วยสิ?’ 

 

 

หากเป็นเมื่อก่อนละก็ เมื่อได้ยินประโยคนี้ทุกคนคงกำลังคิดว่ามีคนกำลังพูดเรื่องตลกขบขันอยู่!  

 

 

‘มันจะเกิดเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!’ 

 

 

แต่ในช่วงเวลา ณ ขณะนี้ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคน มีเพียงเสียงหัวใจที่กำลังเต้นระรั่วเร็วอย่างรุนแรง 

 

 

ทันใดนั้น เสียงของเด็กน้อยก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบกระทบโสตประสาทหูของทุกคน คำพูดนั้นมาจากเด็กสาวตัวน้อยวัยสี่ขวบที่กำลังขี่คอผู้เป็นบิดาอยู่ 

 

 

“ท่านพ่อ บรรพชนเฒ่าสกุลสุ่ย ตายง่ายอย่างดายอย่างนี้นะหรือคะ?” 

 

 

เสียงของเด็กสาวตัวน้อยใสซื่อเจื้อยแจ้ว เจือเอาไว้ด้วยความไร้เดียงสาบริสุทธิ์ ในน้ำเสียงนั้นคงเอาไว้ด้วยอาการอยากรู้อยากเห็นอย่างเต็มที่ 

 

 

‘บรรพชนเฒ่า จะมาตายอย่างนี้นะหรือ?’ 

 

 

คำพูดของแม่นางน้อยเมื่อครู่ ทำให้ทุกคนครุ่นคิดอยู่ในใจ 

 

 

ตายแล้ว… 

 

 

‘เทพอาวุโสหนึ่งยุค บรรพชนเฒ่าของตระกูล ต้องมาตายเช่นนี้!’ 

 

 

‘เมื่อสุ่ยฮั่วอีตายลง สกุลสุ่ยก็จะเป็นดังเช่นสกุลหนานกง ล่มสลาย?’ 

 

 

ที่กลางเวหา มังกรม่วงกลับเข้าสู่ร่างของซย่าโหวฉิงเทียน กำแพงแก้วสลายไป ศพของสุ่ยฮั่วอีตกลงมายังพื้นเบื้องล่าง กระแทกลงบนรูปปั้นสัตว์หิน ตรงหน้าของจวนสกุลสุ่ยนั่นเอง ส่วนหัวของรูปปั้นสัตว์หินนั้นมีเขาที่แหลมคม มันแทงทะลุศีรษะของสุ่ยฮั่วอีพอดิบพอดี 

 

 

เลือดสดๆ ไหลอาบหัวของรูปปั้นสัตว์นั้นจนแดงฉาน 

 

 

การตายของสุ่ยฮั่วอี เท่ากับเป็นการประกาศว่าสกุลสุ่ยพินาศย่อยยับลงแล้ว 

 

 

“ตึกๆ”  

 

 

หลิวอวี๋เซิงยืนมองซย่าโหวฉิงเทียนที่ยืนอยู่กลางอากาศ มือของเขาก็สั่นระริก 

 

 

เขานี่ช่างโง่งมช่างไม่รู้อะไรเลย! 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนทีวรยุทธ์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เขาไม่ควรที่จะเอาตระกูลหลิวเข้าแลกเพียงเพราะผลประโยชน์ส่วนตนและความบ้าดีเดือดของตนเองเลยด้วยซ้ำ 

 

 

สิ่งเดียวที่หลิวอวี๋เซิงคาดหวัง นั่นก็คือ ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขา 

 

 

“มัวแต่ยืนอึ้งอยู่ทำไมกัน!” เมื่อเห็นมองเห็นนักรบสกุลหลิวเอาแต่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่งด้วยอาการตกตะลึง หลิวอวี่เซิงก็ตวาดเสียงเข้ม ทำให้ทุกคนได้สติ 

 

 

“ฆ่า!” คำพูดของหลิวอวี๋เซิง กระแทกใจของนักรบสกุลหลิวอย่างแรง 

 

 

นอกเสียจากฆ่า พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใด 

 

 

ดังนั้น ศึกแห่งการต่อสู้รอบใหม่จึงบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ณ จวนสกุลสุ่ยนั่นเอง การตายของสุ่ยฮั่วอี ทำให้คนของสกุลสุ่ยที่รักษาการณ์ยังจวนสกุลสุ่ยนั้นขวัญเสียอย่างหนัก แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นสิ่งกระตุ้นให้พวกเขาฮึกเหิมฟันฝ่าเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป 

 

 

พวกเขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป! 

 

 

แม้ว่าอาจจะต้องตายในทันที แต่ตอนนี้มีเพียงต่อสู้ให้ถึงที่สุดเท่านั้น จึงจะสามารถต่อลมหายใจของพวกเขาให้ยาวนานขึ้นอีกสักหน่อย! 

 

 

ที่ขอบฟ้า ดวงอาทิตย์ค่อยๆลาลับ 

 

 

สีแดงเดือดของดวงอาทิตย์ ได้กำหนดเอาไว้แล้ววันนี้จะเป็นวันที่ไม่ธรรมดา 

 

 

การเข่นฆ่าที่เกิดขึ้น ณ จวนสกุลสุ่ย กำลังจะสิ้นสุดลง ท่ากลางท้องฟ้าสีทองที่ดวงอาทิตย์กำลังอัสดง 

 

 

“นายท่าน ไม่มีใครเหลือรอด!” นักรบของสกุลหลิวปาดเลือดที่เปรอะเปื้อนใบหน้าของตนออก พร้อมกับหอบหายใจแรง เขาได้ทำการตรวจสอบทุกซอกทุกมุมของสกุลสุ่ยแล้ว ไม่พบคนอื่นแต่อย่างใด 

 

 

เมื่อคนของสกุลสุ่ยตาย พวกเขาถึงจะมีโอกาสรอด 

 

 

“นายท่านจื่ออวิ๋น หน้าที่ๆท่านมอบหมายให้ข้า ข้าทำสำเร็จแล้ว” หลิวอวี๋เซิงเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว 

 

 

หลังจากที่สังหารสุ่ยฮั่วอีแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็เอาแต่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางเวหา โดยไม่กล่าวอะไรออกมาสักคำ 

 

 

ยิ่งเขาเงียบมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากเท่านั้น 

 

 

เมื่อเห็นประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นไม่ตอบ หลิวอวี๋เซิงก็ยิ่งตื่นตระหนก อีกฝ่ายคงมิใช่กำลังจะกลับคำหรอกนะ! 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนคือเทพอาวุโส และเมืองอู๋โยวแห่งนี้คือที่ๆใช้กำลังตัดสิน ไม่ว่าจะผิดหรือถูก ขอเพียงแต่มีวรยุทธ์ที่กล้าแกร่ง ก็สามารถเป็นที่ยอมรับจากทุกคนได้ 

 

 

หากว่าเทพอาวุโสพูดอย่างทำอย่าง สับปลับกลับกรอก ฆ่าพวกเขาทิ้งเสียที่นี่ ก็จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าออกหน้าขอร้องแทนพวกเขาจนกระทั่งล่วงเกินถึงเทพอาวุโสอย่างแน่นอน 

 

 

“นายท่านจื่ออวิ๋น ข้าทำภารกิจสำเร็จแล้ว พวกเราไปได้แล้วใช่หรือไม่?” 

 

 

หลิวอวี๋เซิงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ลำคอของเขาแห่งผาด จนทำให้เขาเจ็บคอเป็นอย่างมาก 

 

 

เมื่อครู่ขณะที่เขาเข้าไปสู้ตายกับสกุลสุ่ย นักรบของสกุลหลิวล้มตายไปหลายคน บัดนี้กองกำลังของหลิวอ๋วี่เซิงคงเหลือเพียงสิบสามคนเท่านั้น 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนยังคงเงียบ หลิวอวี๋เซิงและนักรบสกุลหลิวจึงไม่กล้าขยับเขยื้อนตามไปด้วย พวกเขาทำได้เพียงแค่ยืนมอง รอให้อีกฝ่ายตัดสินอนาคตของพวกเขา ว่าจะเป็นหรือตาย หรือว่าพวกเขาจะต้องพบจุดจบดังเช่นสุ่ยฮั่วอี ต้องตายอย่างอนาถ 

 

 

ขณะเดียวกันประชาชนชาวเมืองลู่ก็กำลังรอคอย 

 

 

ยิ่งซย่าโหวฉิงเทียนเงียบลงไปนานเท่าไร พวกเขาก็รอคอยยาวนานขึ้นเท่านั้น 

 

 

หากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นจะเป็นนายคนใหม่ของพวกเขา 

 

 

คนผู้นี้โหดเ**้ยมทารุณทั้งน่าหวาดกลัว ทุกคนกำลังเป็นกังวลใจ เมื่อเปลี่ยนนายคนใหม่ อนาคตของพวกเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกผันครั้งใหญ่หรือไม่ 

 

 

รอจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลาลับไปเกินกว่าครึ่ง โผล่พ้นออกมาเพียงเศษเสี้ยวนั่นแหละ ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้ลืมตา แล้วลุกยืนขึ้น 

 

 

ดูนั่นเร็วเข้า!