ตอนที่ 145-2 ศักยภาพเกินต้านทาน สั่นสะเทือนทั่วอู๋โยว

จำนนรักชายาตัวร้าย

มีคนร้องขึ้น เมื่อเห็นท้องฟ้าแปรปรวน เมฆดำเข้าปกคลุมแทนที่ ทุกคนต่างก็กรีดร้อง 

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” 

 

 

ทั้งที่เป็นเวลาโพล้เพล้เท่านั้น แล้วเพราอะไรท้องฟ้าถึงได้แปรปรวน! 

 

 

“ข้ากำลังจะบำเพ็ญทุกกรกริยา พวกเจ้ายังไม่รีบไปหลบซ่อนตัวอีก!” 

 

 

ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก เพราะไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นเอง เสียงอันเด็ดขาดชัดเจนของซย่าโหวฉิงเทียนก็ดังลงมาจากฟากฟ้า 

 

 

“บำเพ็ญทุกกรกริยา!” เมื่อได้ยินดังนั้นชาวเมืองลู่ต่างก็ตกอกตกใจจนตกตะลึง 

 

 

การที่เทพอาวุโสจะสำเร็จขั้นเพิ่มขึ้นจนก้าวไปเป็นปราชญ์ราชันย์ได้นั้น นับเป็นการก้าวหน้าครั้งใหญ่ เพื่อไปสู่ลำดับขั้นวรยุทธ์ที่เรียกว่าราชันย์ ดังนั้นจึงจะต้องผ่านการบำเพ็ญทุกกรกริยา 

 

 

ในอดีตเมื่อตอนที่เสิ่นถูปั๋วอีและอวิ๋นเฮ่อเทียนบำเพ็ญทุกกรกริยานั้น สะท้านสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งอู๋โยว แต่คนทั้งสองเลือกที่จะไปบำเพ็ญทุกขกรกริยาในป่าลึกห่างไกลจากผู้คน ผู้คนจึงได้เห็นเพียงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้บาดเจ็บล้มตายเพราะเหตุนี้แต่อย่างใด  

 

 

ทว่าตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนกลับกำลังจะบำเพ็ญทุกขกรกริยาบนแผ่นดินเมืองลู่ ท้องฟ้าแปรปรวน กลุ่มเมฆดำเคลื่อนตัวเข้าใกล้เมืองลู่เข้ามาทุกขณะ ประชาชนที่กำลังตื่นตระหนกพลันได้สติขึ้นมา แต่คนละต่างก็เร่งรีบเก็บข้าวของ ลนลานหลบหนีออกไปจากเมืองลู่ทันที 

 

 

บำเพ็ญทุกกรกริยา… 

 

 

ปราชญ์ราชันย์… 

 

 

หลิวอวี๋เซิงเผยรอยยิ้มขมขื่น เขากำลังรู้สึกลึกๆว่า ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นที่มีนิสัยผูกใจเจ็บมีแค้นต้องชำระเช่นนี้ เขาจะต้องไม่ปล่อยสกุลหลิวเอาไว้อย่างแน่นอน 

 

 

หากว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นสามารถผ่านการทดสอบในครั้งนี้ไปได้ย่างราบรื่น จนสำเร็จถึงปราชญ์ราชันย์ละก็ ตระกูลต่อไปที่จะต้องดับสูญนั่นก็คือสกุลหลิว 

 

 

‘ไม่ได้!’ 

 

 

เขาจะต้องรีบกลับรายงานเรื่องนี้ให้กับบรรพชนเฒ่าได้รับทราบ! 

 

 

สกุลหลิวกำลังตกอยู่ในอันตราย ในเวลานี้ไม่ใช่เวลามาอวดเก่ง พวกเขาจะต้องหาวิธีการรับมือกับอันตรายที่พร้อมจะมายืนทุกเวลาเสียก่อน 

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลิวอวี๋เซิงจึงอาศัยโอกาสที่ทุกคนกำลังหลบหนีเอาชีวิตรอดกันจนวุ่นวายโกลหนนี้หลบหนีออกไปพร้อมกับนักรบสกุลหลิวสิบเอ็ดคนทันที 

 

 

อีกฝ่ายกำลังตั้งใจรับมือกับบททดสอบครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจพวกเขาว่าจะเป็นอย่างไรกันอีกเล่า! ไม่หนีในตอนนี้ จะรอไปถึงเมื่อไหร่กัน! 

 

 

มองเห็นหลิวอวี๋เซิงและนักรบสกุลหลิวแฝงตัวอยู่ไปกับชาวบ้านที่หนีตายออกไป ซย่าโหวฉิงเทียนก็หรี่ตามองพร้อมกับครุ่นคิด 

 

 

ไม่หาเรื่องก็คงไม่ต้องตาย! 

 

 

หากว่าหลิวอวี๋เซิงยังรอคอยอยู่ที่เดิม ซย่าโหวฉิงเทียนก็จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้า ฆ่าคนที่เหลือ แล้วปล่อยหลิวอวี๋เซิงเพียงคนเดียวให้มีชีวิตรอดกลับไป 

 

 

เพียงแต่ หลิวอวี่เซิงตื่นตูมเกินไป! 

 

 

คนที่มีจิตใจชั่วร้ายต่ำช้า ต่อให้มีใครมาให้ความหวังกับเขา เขาก็ไม่มีทางไขว่คว้ามันเอาไว้ 

 

 

เมฆหมอกมืดดำ มาพร้อมกับสายฟ้า ที่ฟาดลงมาเหนือศีรษะของซย่าโหวฉิงเทียน 

 

 

“เปรี้ยงๆ——” 

 

 

เสียงฟ้าผ่าที่สะเทือนเลือนลั่นดังลงมาจากท้องฟ้า แสงสีทอง สีเงิน สีน้ำเงินสว่างวาบ ราวกับงูเจ็ดสีกำลังเริงระบำ ที่เหนือศีรษะของซย่าโหวฉิงเทียน 

 

 

“เริ่มบำเพ็ญแล้ว! บำเพ็ญแล้ว!” 

 

 

ผู้คนที่หนีออกมาได้ ยังไม่ทันที่จะได้หายใจหายคอ แต่ละคนก็หันมองไปยังท้องฟ้าตาไม่กระพริบ 

 

 

เวลานี้ ท้องฟ้ามืดสนิท 

 

 

ผู้คนจึงมองเห็นเพียงแค่ซายหนุ่มในชุดสีม่วงกำลังยืนนิ่งสงบอยู่ท่ามกลางลมพายุรุนแรง ผ่านทางแสงของสายฟ้าที่ฟาดลงมาเป็นระยะๆนั้น 

 

 

“นายท่าน หากว่าเขาตายอยู่ที่นั่น ก็คงจะดีมากทีเดียว!” นักรบชาวสกุลหลิวกระซิบเบาๆ เขาได้กล่าวสิ่งที่หลิวอวี๋เซิงกำลงครุ่นคิดอยู่พอดิบพอดี 

 

 

“ใช่นะสิ” 

 

 

เมื่อหลบหนีเข้าสู่เขตที่ปลอดภัย หลิวอวี่Jเซิงก็ไม่ต้องรู้สึกขวัญผวาประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นอีกต่อไป 

 

 

เทพอาวุโสที่อายุยังน้อย ปราชญ์ราชันย์ที่ยังหนุ่มยังแน่น ทำลายสถิติที่ผ่านมาของอู๋โยวจนราบ 

 

 

ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ่นจู่ๆก็ปรากฎตัว เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของอู๋โยว 

 

 

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งแปด หลิวอวี๋เซิงไม่อยากจะเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้เลยแม้แต่น้อย 

 

 

แต่ทว่า หลิวอวี๋เซิงยังคงมีสติอยู่บ้าง 

 

 

นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมารอชมเรื่องตลกขบขัน! ยมบาลที่ลอยวนเวียนอยู่เหนือหัวของพวกเขายังไม่จากไปไหน อาศัยช่วงเวลาที่ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นกำลังบำเพ็ญทุกกรกริยานี้ พวกเขาต้องพากับหลบหนีไปเสีย ยิ่งไกลยิ่งดี 

 

 

“พวกเราไป!” 

 

 

อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยผู้หนึ่งกำลังยกมือกุมศีรษะ สีหน้าหวาดกลัว เสียงที่เปล่งออกมาสั่นระริก 

 

 

“พี่สาม ข้ากลัว——” 

 

 

ผู้ที่พูดคือคุณหนูคนสุดท้องในบรรดาลูกสาวทั้งสี่ของสกุลหลิว สุ่ยมี่เอ๋อร์ 

 

 

คนที่ยืนอยู่ข้างกายสุ่ยหมี่เอ๋อร์ นั่นก็คือคือสุ่ยจูเอ๋อร์ 

 

 

นับตั้งแต่ที่สุ่ยจูเอ๋อร์ถูกเชียนเย่เสวี่ยวางยาในครั้งก่อน ก็เอาแต่นอนอยู่บนเตียงกินถ่ายเรี่ยราดราวกับไม่ใช่คน กระทั่งเข้าสู่วันที่สิบ ในที่สุดนางก็ได้สติ ร่างกายก็ค่อยๆกลับคืนสู่ภาวะปกติ 

 

 

และหลังจากที่สุ่ยจูเอ๋อร์ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดสิบวันที่ผ่านมา นางก็เจ็บแค้นตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยอย่างที่สุด 

 

 

‘นางแน่ใจได้เลยว่า พวกเขาจะต้องทำอะไรบางอย่างกับนาง’ 

 

 

‘น่าโมโหยิ่งนัก!’ 

 

 

เรื่องนี้เป็นจุดเริ่มแห่งความเจ็บแค้นที่อยู่ในใจของสุ่ยจูเอ๋อร์ มันตอกย้ำนางอย่างรุนแรง ทำให้สุ่ยจูเอ๋อร์เริ่มที่จะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเอาเป็นเอาตาย 

 

 

เพราะนางต้องการฆ่าคนทั้งสามคนนั้นด้วยมือของตัวเอง! 

 

 

ความมุ่งมั่นเพียรพยายามของสุ่ยจูเอ๋อร์ ได้รับการสนับสนุนจากสุ่ยเจ๋อซี 

 

 

เพียงแต่เมื่อเขาเห็นสุ่ยจูเอ๋อร์มานะฝึกวิชาด้วยความยากลำบาก ก็เกรงว่านางจะเหน็ดเหนื่อยเกินไป ดังนั้นจึงให้บุตรสาวคนที่สี่สุ่ยมี่เอ๋อร์ไปท่องเที่ยวที่วัดบนเขาหลินอู้เป็นเพื่อนสุ่ยจูเอ๋อร์สักสองสามวัน 

 

 

วันนี้สองพี่น้องเดินทางกลับบ้าน ก็พบเข้ากับเหตุการณ์นี้พอดี 

 

 

ที่โชคดีก็คือสุ่ยจูเอ๋อร์รู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงมิได้กลับจวนมาพร้อมกัยสุ่บมี่เอ๋อร์ด้วย นางจึงมีเวลาปลอมตัวให้เรียบร้อยก่อนปะปนเข้ากับกลุ่มฝูงชน มองดูเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของสกุลสุ่ยกับตาตนเอง 

 

 

“ไม่ได้เรื่อง ร้องไห้ทำไมกัน!” สุ่ยจู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากแน่น จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาอาฆาตแค้น 

 

 

‘สกุลสุ่ยหมดสิ้นแล้ว!’ 

 

 

‘เป็นเพราะคนผู้นั้น!’ 

 

 

‘เขาสมควรตาย!’ 

 

 

“พี่สาม พวกเราจะตายไหมคะ?” สุ่ยมี่เอ๋อร์เป็นเด็กขี้กลัวมาตั้งแต่เกิด นางจึงถูกการตายของสุ่ยฮั่วอีทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ตอนนี้จึงทำได้เพียงจับชายเสื้อของสุ่ยจูเอ๋อร์เอาไว้แน่น ด้วยเกรงว่าสุ่ยจูเอฮ๋อร์จะทอดทิ้งตนเองไป 

 

 

“พวกเราจะไม่ตาย!” แม้ว่าสุ่ยจูเอฮ๋อร์จะไม่ชอบหน้าสุ่ยมี่เอ๋อร์เท่าไหร่นัก และปกติก็คอยกลั่นแกล้งนางเป็นประจำ แต่ตอนนี้สกุลสุ่ยต้องประสบชะตากรรมเลวร้ายถูกฆ่าล้างตระกูล พวกนางพี่น้องจึงต้องสมัครสามัคคีปรองดองกันเอาไว้เท่านั้น 

 

 

“ท่านพ่อไปที่เมืองเฮ่อ! พวกเราเดินทางไปเมืองเฮ่อ! สมทบกับท่านพ่อ!” สุ่ยจูเอ๋อร์รู้ดีว่า เมืองลู่ในเวลานี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น ฆ่าล้างสกุลสุ่ย ตามกฎแล้ว เมืองลู่จะต้องตกเป็นของเขาด้วย 

 

 

สิ่งเดียวที่พวกนางทำได้นั่นก็คือ ตามหาสุ่ยเจ๋อซีให้พบ อาศัยอยู่กับเขา อย่างน้อยที่สุดพวกนางก็จะได้มีญาติสนิท 

 

 

ส่วนเรื่องแก้แค้น ก็ต้องค่อยๆวางแผนกันต่อไป  

 

 

‘มันต้องมีโอกาสเป็นแน่!’ 

 

 

สุ่ยจู๋เอ๋อร์จ้องมองชายหนุ่มในชุดสีม่วงกลางเวหาจากระยะไกลให้เต็มตาอีกครั้ง 

 

 

เมื่อไม่มีสุ่ยฮั่วอี สกุลสุ่ยก็จะต้องถูกตัดออกจากสกุลใหญ่ทั้งแปด นับจากนี้ไป เกียรติยศและความสุขสบายก็จะห่างไกลจากพวกนางเข้าไปอีก! 

 

 

ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นทำลายบ้านข้าจนพินาศย่อยยับ บัญชีแค้นนี้ข้าสุ่ยจูเอ๋อร์จะจดจำเอาไว้ 

 

 

“มี่เอ๋อร์ พวกเราไป!” 

 

 

สุ่ยจูเอ๋อร์ดึงมือสุ่ยจูเอ๋อร์ให้หลบหนี หากว่าไม่อาศัยหลบหนีไปในตอนนี้ อีกเดี๋ยวอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว 

 

 

การบำเพ็ญทุกกรกริยาของซย่าโหวฉิงเทียนยังคงดำเนินต่อไป ครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองเขาผ่านมันมาได้ ครั้งที่สามกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และครั้งที่สามนี้ถือเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งก็ว่าได้ 

 

 

“พวกเจ้าดูนั่น!” คนผู้หนึ่งชี้นิ้วไปยังซย่าโหวฉิงเทียน 

 

 

ในตอนนั้นซย่าโหวฉิงเทียนได้คืนสภาพกลับร่างเดิมของเขาเป็นที่เรียบร้อย เส้นผมสีเงินยาวปลิดปลิวไสว เปลือกตาที่กำลังข่มให้ปิดลงเบิกกว้างขึ้นมา มันสะท้อนแสงสีม่วงเข้มออกมา 

 

 

“เขาคือ…เทพอย่างนั้นหรือ?” คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจของทุกคน 

 

 

“พี่สาม เขา เขาหล่อเหลาเหลือเกิน——” 

 

 

สุ่ยมี่เอ๋อร์ตกใจเสียงร้องระงมของฝูงชน และเมื่อนางหันกลับไปมองเห็นเหตุการณ์นั้นก็ถึงกับตกตะลึง 

 

 

แม้ว่าสุ่ยมี่เอ๋อร์จะมองไม่เห็นใบหน้าของซย่าโหวฉิงเทียนชัดเจน แต่ทว่า เส้นผมสีเงินที่ปลิวไสวของเขา ก็ติดตราตรึงใจนางนางยิ่งนัก