ตอนที่ 145-3 ศักยภาพเกินต้านทาน สั่นสะเทือนทั่วอู๋โยว

จำนนรักชายาตัวร้าย

“เพี้ยะ”

 

 

ทว่าสุ่ยจูเอ๋อร์กลับตอบกลับคำพูดของสุ่ยมี่เอ๋อร์เมื่อครู่ด้วยการตบหน้านางอย่างแรง

 

 

“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ! เขาคือศัตรูของพวกเรา!”

 

 

หากมิใช่ว่าสกุลสุ่ยหลงเหลือเพียงแค่พวกนางสองพี่น้องละก็ สุ่ยจูเอ๋อร์แทบอยากจะทิ้งสุ่ยมี่เอ๋อร์เอาไว้ข้างทางเสียตั้งแต่ตอนนี้

 

 

“พี่สาม ข้าผิดไปแล้ว…”

 

 

เมื่อเห็นสุ่ยจูเอ๋อร์เร่มโกรธเคืองขึ้นมา สุ่ยมี่เอ๋อร์ก็ร่ำไห้ออกมาอย่างหนัก

 

 

“ข้าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ!”

 

 

“มี่เอ๋อร์!” สุ่ยจูเอ๋อร์บีบคางของสุ่ยมี่เอ๋อร์ พร้อมกับจ้องหน้านาง

 

 

“เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี! ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นผู้นี้ คือศัตรูที่มิอาจอยู่ร่วมโลกของพวกเรา!”

 

 

“ค่ะ ค่ะ! ข้าจะจดจำไว้!”

 

 

สุ่ยมี่เอ๋อร์ดวงตาแดงก่ำ สีหน้าขลาดกลัว

 

 

เพียงแต่ ในตอนที่สุ่ยจูเอ๋อร์ลากแขนนางออกไปนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะต้องหันกลับมาลอบมองซย่าโหวฉิงเทียนอีกครั้ง

 

 

เขาจะต้องผ่านการบำเพ็ญทุกกรกริยาในครั้งนี้จนสำเร็จถึงปราชญ์ราชันย์ได้เป็นแน่!

 

 

ปราชญ์ราชันย์ที่ยังหนุ่มยังแน่นทั้งยังหล่อเหลาถึงเพียงนี้ มันช่างทำให้คน…นับถือยิ่งนัก!

 

 

การบำเพ็ญทุกกรกริยาที่เกิดขึ้นที่เมืองลู่ สั่นสะเทือนไปถึงบุคคลสำคัญทั้งหลายของเมืองอู๋โยวอีกด้วย

 

 

หุบเขาวั่งฝู ขณะที่อวิ๋นเฮ่อเทียนที่นั่งอยู่บนปลายยอดไผ่หลับตานั่งสูดอากาศบริสุทธ์ของธรรมชาติอยู่นั้น ฉับพลันเขาก็ลืมตาโพลง

 

 

‘บำเพ็ญทุกกรกริยา’

 

 

‘อู๋โยวกำลังจะปราฎปราชญ์ราชันย์ขึ้นอีกคนหนึ่งแล้วหรือ?’

 

 

‘สกุลเหวินหรือ?’

 

 

ห่างจากเมืองเฮ่อออกไปไม่ไกล ชายหนวดเฟิ้มที่กำลังนอนหลับอยู่บนหลังวัว ก็ลุกยืนขึ้นเช่นกัน

 

 

‘ปราชญ์ราชันย์!’

 

 

‘คราวนี้เป็นใครกัน?’

 

 

แต่คนที่ตื่นตระหนกกว่าพวกเขานั่นก็คือ บรรพชนเฒ่าแห่งสกุลเหวิน เหวินจื่ออู๋

 

 

“เร็วเข้า รีบไปสืบมาว่าเป็นใครกัน!”

 

 

อู๋โยวมีเสิ่นถูปั๋วอีและอวิ๋นเฮ่อเทียนก็น่าปวดหัวพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีผู้ที่กำลังบำเพ็ญทุกกรกริยาเพื่อเตรียมสำเร็จเป็นปราชญ์ราชันย์ขึ้นมาอีก หรือว่าคนผู้นั้นคือกวงอวี้จาวจาว?

 

 

พวกเขาทั้งสามคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันยิ่งนัก หากว่าเป็นกงอวี้จาวจาวบำเพ็ญทุกกรกริยาจนสำเร็จเป็นปราชญ์ราชันย์อีกละก็ ตำแหน่งของสกุลเหวินจะต้องร่วงตกต่ำลงไปกว่าเดิมเป็นแน่!

 

 

“เหวินเหรินเจี๋ยละ?” เหวินจื่ออู่เอ่ยถาม

 

 

นายน้อยออกไปข้างนอกขอรับ ไม่รู้ว่าไปที่ไหนขอรับ นายเฒ่า จะให้คนไปตามนายท่านมาหรือไม่ขอรับ? คนรับใช้กล่าวถาม

 

 

“เขามาแล้วได้ประโยชน์อะไร!”

 

 

เฮ้อ… เหวินจื่ออู่ทอดถอนใจ

 

 

โชคยังดีที่สกุลเหวินมีเหวินเหรินเจี๋ย เพราะหากว่าสกุลเหวินพึ่งพาเหวินจู๋ละก็ สกุลเหวินก็คงต้องจบสิ้นกันเป็นแน่!

 

 

เทียบกับบรรพชนเฒ่าของทั้งสามตระกูลแล้ว เหลียนจิ่นที่พำนักอยู่ที่หุบเขาเฮยเฟิงกลับสงบนิ่งกว่าพวกเขามากนัก

 

 

ก้อนหินสองสามก้อนที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าของเขาได้ให้คำตอบกับเขาเป็นที่เรียบร้อย

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนสามารถสำเร็จขั้นหลังจากที่มายังอู๋โยวได้เพียงไม่นาน ทำให้เหลียนจิ่นพึงพอใจยิ่งนัก ยิ่งเขาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ภายหน้าก็ยิ่งมีโอกาสกำชัยชนะมากขึ้นเท่านั้น

 

 

ไม่ว่าคนภายนอกจะมองว่าซย่าโหวฉิงเทียนเก่งกาจสักเพียงใด แต่ทว่าในสายตาของเหลียนจิ่นแล้ว มันยังไม่เพียงพอแม้แต่น้อย หากไม่เตรียมการให้พร้อม แล้วจะรับมือกับเหตุการณ์ในภายภาคหน้าได้อย่างไรกัน!

 

 

‘ซย่าโหวฉิงเทียน เพื่อนาง ท่านจะต้องพยายามต่อไปถึงจะถูก!’

 

 

เมื่อนึกถึงอวี้เฟยเยียน ใบหน้าของเหลียนจิ่นก็ปรากฎสีหน้าแห่งความคิดถึงคะนึงออกมาอย่างชัดเจน

 

 

เขาไม่ได้พบหน้านางมาเป็นเวลานานมากแล้ว มีเพียงการพยากรณ์เท่านั้นที่ทำให้เขารับรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนาง

 

 

แต่ทว่า สิ่งของในการทำนายเหล่านี้ มิสามารถทดแทนความอบอุ่นและความสงบที่นางมอบให้กับเขาเมื่อยู่ข้างกายของนางได้

 

 

“อะแฮ่ม บุคคลสำคัญคนใหม่กำลังจะบังเกิดขึ้นแล้ว!”

 

 

ในขณะที่เหลียนจิ่นกำลังเฝ้าคิดถึงคะนึงหาอวี้เฟยเยียนอยู่นั้น เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งก็เอ่ยดังขึ้น

 

 

หญิงสาวที่เดินเข้ามาไม่สูงไม่เตี้ย นางสวมใส่ชุดสีดำสนิททั้งชุด ตัดด้วยสายคาดเอวสีแดงสด

 

 

หญิงสาวรูปร่างหน้าตาหมดจดงดงาม พูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเชื่องช้า แต่หากว่าเพียงเพราะคุณสมบัติเหล่านี้ก็ตัดสินว่านางเป็นคนจิตใจดีละก็ มันผิดถนัด

 

 

แม้ว่านางจะไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา แต่ชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ข้างกายนางในตอนนี้นั้นเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรเหลียนจิ่นและโม่ซางถึงเอาชีวิตรอดมาได้เมื่อมาโผล่ที่หุบเขาเฮยเฟิงของนาง

 

 

“ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น” เหลียนจิ่นยิ้มอย่างอ่อนโยน

 

 

“อ๋อ”

 

 

เมื่อได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง ซยาหยิ่งอมยิ้มเล็กน้อย

 

 

“ช่างเป็นชื่อที่ฟังดูแล้วน่ารักไม่หยอกทีเดียว!”

 

 

ซยาหยิ่งไม่สนใจซย่าโหวฉิงเทียนแม้แต่น้อย นางใช้มือชันคาง แววตาทั้งสองข้างเจือเอาไว้ด้วยรอยยิ้มจ้องมองเหลียนจิ่น

 

 

“เหลียนจิ่น โม่ซางชอบผู้หญิงแบบไหนกัน? ไหนเจ้าลองว่ามาสิ!”

 

 

นับตั้งแต่วินาทีที่ซยาหยิ่งได้พบหน้าโม่ซางนั้น นางก็รู้สึกว่าชายผู้นี้ทั้งเย็นชาและน่ามอง ซึ่งตรงกับชายในแบบที่นางตั้งข้อกำหนดไว้พอดิบพอดี

 

 

เพียงแต่ โม่ซางช่างเป็นผู้ชายที่ไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เอาเสียเลย

 

 

ทุกครั้งที่เจอกันไม่เพียงแต่พูดคุยอยู่เพียงประโยคเดียว แม้กระทั่งหลังจากที่นางสารภาพรักออกไปแล้ว เขากลับยังตอบรับด้วยคำเดียวเช่นกันว่า

 

 

“หนวกหู”

 

 

แม้ว่าซยาหยิ่งจะไม่ได้มีชาติตระกูลที่สูงส่ง แต่อยู่ที่อู๋โยวก็มีชื่อเสียงไม่น้อย มีผู้คนถูกตาต้องใจคอยไล่ตามเทียวไล้เทียวขื่อนางมากมาย แต่ก็ไม่มีใครเข้าตานางเลยสักคน ดังนั้นนางจึงรวมกลุ่มกับคนจำนวนหนึ่ง มาตั้งรกรากอยู่บนเขา เรียกตนเองเป็นหัวหน้าคุ้ม

 

 

บัดนี้ ในที่สุดก็มีคนเข้าตานางเสียที ทว่าเขากลับปฏิเสธนาง ทำให้ซยาหยิ่งรู้สึกจนปัญญาเป็นครั้งแรก

 

 

และเนื่องด้วยซยาหยิ่งยังมีความโกรธเคืองหลงเหลืออยู่ ซยาหยิ่งและโม่ซางจึงต่อสู้กันขึ้นมา

 

 

ซยาหยิ่งอายุยี่สิบ เป็นจักรพรรอาวุโส โม่ซางเมื่อมาถึงอู๋โยวก็สำเร็จขั้นปราชญ์อาวุโส คนทั้งสองห่างกันหนึ่งระดับ ดังนั้นเมื่อซยาหยิ่งและโม่ซางต่อสู้กันนั้น โมซางจะเสียเปรียบอยู่เล็กน้อย

 

 

การปรากฎตัวและการสารภาพรักจากซยาหยิ่ง ทำให้โม่ซางเชื่อถือในคำพูดของเหลียนจิ่นอีกครั้ง อู๋โยวมีผู้มีวรยุทธ์สูงส่งมากมาย หากว่าเขายังอ่อนแอ อยู่แบบนี้ ก็คงจะต้องเผชิญกับนักเลงสาวจอมแย่งชิงชายหนุ่มอีกเป็นแน่

 

 

แม้ว่าซยาหยิ่งจะถูกตาต้องใจโม่ซาง แต่โม่ซางก้ยังคงมีลางสังหรณ์ถึงอันตรายอะไรบางอย่าง

 

 

ดังนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่โม่ซางสลัดเหลียนจิ่นออกไป แล้วออกไปอยู่ลำพังคนภายในถ้ำบนเขาเฮยเฟิง เพื่อคร่ำเคร่งฝึกวิชา

 

 

เมื่อเหลียนจิ่นได้ฟังในสิ่งที่ซยาหยิ่งกล่าวถามมาแล้ว เขาก็ตั้งใจครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยตอบกลับหนึ่งประโยค

 

 

“เสี่ยวโม่ไม่ชอบผู้หญิง!”

 

 

“พรวด——”

 

 

คำตอบนี้ ทำให้ซยาหยิ่งแทบกระอักเลือด

 

 

เพื่อเป็นการเอาใจโม่ซาง นางจึงสวมใส่ชุดสีดำเพื่อจะได้เข้ากันกับชุดที่เขาสวมใส่จะได้เหมาะสมเป็นคู่รักกัน การพูดจานางก็พยายามที่จะฝึกให้ตนเองพูดจาอ่อนโยนอ่อนหวานมีความเป็นผู้หญิงให้มากที่สุด ใครเล่าจะคาดคิดว่า คำตอบที่เหลียนจิ่นให้มาจะเป็นเช่นนี้

 

 

“เฮ้ เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่ไหม! เขาไม่ชอบผู้หญิง? เขามีปัญหาเรื่องการเลือกคู่?” หัวใจที่วูบไหวของซยาหยิ่งแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน

 

 

ซยาหยิ่งถึงกับพับแขนเสื้อขึ้น มือท้าวเอว ยกเท้าเตะม้านั่งตรงหน้าจนกระเด็นออกไปไกล

 

 

‘เขาไม่ชอบผู้หญิงจริงๆหรือ!’

 

 

‘แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย!’

 

 

เหลียนจิ่นพร่ำอยู่ในใจ

 

 

“ไม่กระมัง! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าหวั่นไหวกับใคร แต่เขากลับ เขากลับ…”

 

 

ซยาหยิ่งราวกับเป็นบ้าคลั่งก็ไม่ปาน ดึงทึ้งผมเฝ้าตนเองอย่างรุนแรง จนกระทั่งผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงสางขยายนั่นแหละ นางถึงได้เลิกทำแล้วยืนขึ้นหลังตรง

 

 

“ข้าไม่สน! ต่อให้เขาจะเป็นพวกเบี่ยงเบน ข้านี่แหละจะดึงเขากลับมาให้ตรงเอง! เพราะว่า คนที่ข้าถูกตาต้องใจ! ต่อให้เขาชอบผู้ชายและต้องการจะจากไป ก็จะต้องเหลือลูกไว้ให้กับข้า!”

 

 

เมื่อกล่าวถึงตรงนั้น ซยาหยิ่งก็ลูบไล้ที่ท้องน้องของตนเองแผ่วเบา

 

 

นางต้องการจะหาผู้ชายสักคนให้ช่วยทำลูกให้กับนาง ตามหามาตั้งหลายปี สุดท้ายมาถูกตาต้องใจที่โมซาง

 

 

เกิดว่าโม่ซางไม่ยอมแต่โดยดีละก็ เห็นทีว่านางจะต้องบีบบังคับขืนใจกันละ

 

 

เมื่อหวนนึกถึงคำพูดที่เหลียนจิ่นเอ่ยตอบเมื่อครู่แล้ว ซยาหยิ่งก็มองไปยังชายหนุ่มชุดขาวตรงหน้าด้วยความสงสัย

 

 

“นี่ เหลียนจิ่น คนที่โม่ซางชอบคงจะไม่ใช่เจ้ากระมัง!”