อันจี๋อวี่ผงกศีรษะ ฮั่วเทียนอวี่ดูออกแล้วว่า อันจี๋อวี่ให้โอกาสเขาอีกครั้ง “ฉันจะดูว่าแกมีวิธีอะไร และนี่ก็เป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะให้แกได้”
พูดจบอันจี๋อวี่ก็ให้ลูกน้องออกไป ฮั่วเทียนอวี่ก็คิดอยู่ว่าก้าวต่อไปเขาควรจะทำอย่างไร จึงจะดึงสถานการณ์วิกฤตของอันซวี่กรุ๊ปกลับมาได้ กอบกู้ชื่อเสียงกลับมาอีกครั้ง
อันจี๋อวี่ที่กำลังจะเดินออกไป ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังก็หยุดเท้าลง พอเห็นฮั่วเทียนอวี่กระหืดกระหอบตรงเข้ามาหาเขา นาทีนั้นอันจี๋อวี่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“แกยังมีธุระอะไรอีก? หรือว่ามีวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้ว” อันจี๋อวี่ไพล่มือไปด้านหลัง ปรายตามองฮั่วเทียนอวี่ ฮั่วเทียนอวี่เงยหน้าขึ้นพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “เรื่องนี้ผมต้องแก้ไขได้แน่ ผมแค่อยากจะได้คนมาช่วยสักหน่อย จะได้ไปจัดการเรื่องนี้ทันที”
อันจี๋อวี่ผงกศีรษะ ถึงแม้ตอนนี้จะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่พอนึกประเมินดูแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
จากนั้น ฮั่วเทียนอวี่ก็พาคนกลุ่มหนึ่งมาที่บริษัทของเซียวจิ่งสือ นี่คือแผนที่เขาพูดถึง ตอนนี้ถ้าหากเขาแก้ปัญหานี้ไม่ได้ อนาคตเขาไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจบไม่สวยแน่
เขายกพวกมาด้วยท่าทีดุร้าย ทำเอายามรักษาการณ์ของบริษัทที่ด้านล่างตึกมึนไปหมด ผู้คนในบริเวณโถงใหญ่ของบริษัทต่างก็มองกันเลิ่กลั่ก
“คุณครับ นี่พวกคุณ…” ยามรักษาการณ์รู้ระเบียบบริษัทดี บุคคลภายนอกห้ามไม่ให้เข้าบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาต ยามรักษาการณ์ขมวดคิ้วยืนขวางหน้าพวกเขาไว้
“พวกเราแค่มาทำธุระนิดหน่อยเอง” ฮั่วเทียนอวี่ยังปั้นหน้าคุยกันดีๆ คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเข้าโถงใหญ่ก็เจอด่านเข้า ฮั่วเทียนอวี่พูดพลางก็ไม่สนใจใครอื่น ส่งสัญญาณให้คนที่ด้านหลังตามติดเขาเข้ามา
แต่ยามรักษาการณ์นั้นจะยอมให้เขาเข้ามาแบบนี้ได้ยังไงกัน จึงเข้าขัดขวางไว้ ฮั่วเทียนอวี่รู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้าง จึงผลักยามออกแล้วมุ่งตรงไปข้างหน้า เป้าหมายเขาในตอนนี้คือหาตัวเซียวจิ่งสือให้พบ
เวลาเดียวกันนี้เซียวจิ่งสืออยู่ในห้องทำงาน พอฟังว่าด้านนอกมีเสียงสับสนวุ่นวายดังขึ้น เซียวจิ่งสือก็ขมวดคิ้วฉับ ไม่รู้ว่าด้านนอกใครมากันแน่
เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วออฟฟิศเขาถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะไม่มีคนมาที่นี่ วันนี้พอได้ยินเสียงนี้เข้า เหมือนจะไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย เซียวจิ่งสือปิดแฟ้มเอกสารในมือ แต่ยังนั่งอย่างสงบอยู่กับที่
“พวกคุณเข้าไปไม่ได้นะ เข้าไปไม่ได้” ยามที่ด้านนอกยังทำงานอย่างแข็งขัน ไล่ตามมาถึงห้องทำงานของท่านประธานบริษัท เซียวจิ่งสือฟังเสียงคนที่มาพูดเขาก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร คิ้วที่ขมวดอยู่เมื่อครู่จึงคลายออก
ถึงตอนนี้ ประตูก็เปิดผางออก เซียวจิ่งสือนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งหมุนปากกาเล่น “นายไม่ต้องห้ามเขาแล้ว ฮั่วเทียนอวี่เข้ามาคนเดียวก็พอ” เสียงของเซียวจิ่งสือฟังดูเย็นเยียบ
ฮั่วเทียนอวี่มองดูคนที่ด้านหลังของเขา ในเมื่อเซียวจิ่งสือให้เขาเข้าไปได้ เรื่องพวกนี้ก็ยังมีหนทางเจรจากันได้ ฮั่วเทียนอวี่ปิดประตูลง มาที่หน้าโต๊ะทำงาน
“พูดสิ วันนี้นายมาที่นี่ต้องการอะไร?” เซียวจิ่งสือก็รู้ว่าเขาไม่ได้มาดีแน่ จึงไม่พูดวกวนอ้อมค้อมตามมารยาทอีก
“จะว่าต้องการอะไรก็ไม่ถูก ถึงยังไงผมก็เคยช่วยชีวิตหลินหว่านมาก่อน ถ้าหากไม่ได้ผม ตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” ฮั่วเทียนอวี่ไม่รู้ว่าตัวเองเอาความกล้ามาจากไหน ถึงกับมาเจรจาเงื่อนไขกับเซียวจิ่งสือ
เซียวจิ่งสือเห็นว่าตอนที่เขาจะคุยธุระยังต้องปูพื้นนำก่อนอีก เซียวจิ่งสือรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้างจึงลูบคลำที่ขมับตัวเอง “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องมาแจงสี่เบี้ยที่นี่!”
“ถึงยังไงผมก็เป็นผู้มีพระคุณของหลินหว่าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าคุณเห็นแก่เธอก็น่าจะตอบแทนบุญคุณแทนเธอใช่ไหมล่ะ” ฮั่วเทียนอวี่ยอมพูดถึงจุดประสงค์ที่มาในที่สุด อันที่จริงเรื่องนี้เขารู้ว่าเซียวจิ่งสือมีวิธีจัดการได้แน่
ถ้าเขายืมมือเซียวจิ่งสือมาช่วย เชื่อว่าบริษัทของอันจี๋อวี่จะไม่เป็นแบบนี้หรอก
“อ๋อ? คุณมานี่ ด้วยเรื่องนี้เอง” เซียวจิ่งสือไม่โกรธแต่กลับหัวเราะ เขาสะกดกลั้นความโกรธไว้เต็มที่แล้ว แต่สีหน้ายังเย็นเยียบยิ่งกว่าเมื่อครู่อีก
“บุญคุณที่นายมีต่อหลินหว่าน ตอบแทนให้ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ยังมีหน้ามาขอร้องด้วยเรื่องแบบนี้อีก นายไม่รู้สึกว่ามันน่าขันเหรอ?” เซียวจิ่งสือเห็นว่าพูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า เห็นฮั่วเทียนอวี่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดรำคาญใจ
ยังมีหน้ามาพูดว่าเป็นผู้มีพระคุณของหลินหว่าน แต่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาทำเรื่องอะไรไว้ ทิ้งบาดแผลลึกในใจหลินหว่าน ผลักเธอให้จมลงสู่ปลักโคลนของความรู้สึกละอายผิดบาป คนประเภทนี้ยังกล้ามาเสนอหน้าทวงบุญคุณตอนนี้อีก
“เรื่องที่ผมช่วยเธอ เป็นความจริงแท้แน่นอน หลินหว่านเธอก็รู้แก่ใจดีอยู่แล้ว ตอนนี้คุณไม่คิดจะแสดงจิตสำนึกอะไรออกมาบ้างเลยรึไง”
ในความคิดของฮั่วเทียนอวี่ เขาเป็นผู้มีพระคุณของหลินหว่าน เรื่องนี้ไม่มีอะไรมาทดแทนได้
“แค่เรื่องที่นายทำไว้กับหลินหว่านนั่น ต่อให้ตายไปร้อยครั้งก็ยังไม่สาสม!” แววตาของเซียวจิ่งสือดุดัน เหมือนจะระเบิดอะไรบางอย่างออกมา ทำเอาฮั่วเทียนอวี่ใจสั่นขึ้นมา
“คุณพูดอะไรอย่างนั้น ถึงยังไงผมก็มีบุญคุณกับเธอนะ” ฮั่วเทียนอวี่เคาะโต๊ะเบาๆ ตอนนี้เขาจัดการกับอันซวี่กรุ๊ป ตัวเขาเองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
“ตอนนี้คุณยังกล้ามาพูดว่าเป็นผู้มีบุญคุณกับเธอ ไม่รู้สึกว่าตัวเองหน้าด้านรึไง” เสียงของเซียวจิ่งสือยังเย็นเยียบ บรรยากาศในห้องทำงานดูเหมือนจะจับตัวเป็นน้ำแข็งไปแล้ว
คำพูดนี้ทำเอาฮั่วเทียนอวี่รู้สึกอึดอัดไม่รู้จะทำอย่างไรดี ใบหน้ามีเหงื่อผุดออกมาไม่หยุด ขณะที่ในใจคิดดิ้นรนหาหนทางว่าจะทำยังไงดี? แต่ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง เซียวจิ่งสือก็ไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิมเลยแม้แต่น้อย
“คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ คุณปล่อยอันซวี่กรุ๊ปไปเถอะนะ” ฮั่วเทียนอวี่ไม่เหลือมาดในตอนที่บุกเข้าห้องโถงใหญ่อีก อยู่ต่อหน้าเซียวจิ่งสือเขาก็แค่มะเขือเผานิ่มเละเท่านั้น แต่ถึงยังงั้นก็ยังไม่คิดจะถอดหน้ากากของตัวเองออกมา
ดูท่าที่พูดมาเมื่อครู่คงจะใช้ไม่ได้แล้ว ตอนนี้เขาได้แต่ใช้ไม้อ่อนลองขอร้องเซียวจิ่งสือดู เซียวจิ่งสือหัวเราะหึ “คุณไม่ต้องพูดอีกแล้ว นั่นมันเรื่องระหว่างพวกคุณ ผมไม่เกี่ยวด้วย” เซียวจิ่งสือลุกขึ้นยืน เรียกคนมาเอาตัวเขาออกไป
ขณะจะส่งเสียงนั้น ฮั่วเทียนอวี่ยังคิดจะใช้ฝีปากตัวเองมาโน้มน้าวเซียวจิ่งสือ “คุณ…” แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ก็ถูกยามสองคนมาไล่ออกไป
ฮั่วเทียนอวี่พอเห็นว่าตัวเองพลาดหวัง ทำยังไงเซียวจิ่งสือก็ไม่คิดจะช่วยเขา ตอนนี้อันจี๋อวี่ผลักความผิดทั้งหมดมาที่เขา ถ้าหากตอนนี้กลับไปแบบนี้ อันจี๋อวี่คงระบายอารมณ์โกรธกับเขาแน่
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาคงต้องยอมรับโทษจากอันจี๋อวี่จริงๆ แล้ว