บทที่ 961 หลิ่วชิง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 961 หลิ่วชิง

“ไอ้หนุ่ม ตาแก่คนนี้พูดถูกไหม?!”

เสียงคำรามของเทียนเช่อดังกึกก้องราวกับฟ้าคำรนสั่นไหวไปทั่วขอบฟ้า สายตาของเขาก็เสมือนดาบไร้ฝัก ความคมแทงทะลุมิติห่อหุ้มมู่เฉินเอาไว้

ภายใต้สายตาที่จ้องมองมา มู่เฉินรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวที่กวาดออกและสายตาที่สาดความต้องการแทงทะลุอกเขาไป ส่งผลให้เลือดและรัศมีในร่างกายเดือดพล่าน มิหนำซ้ำเขายังรู้สึกถึงความหวานในลำคอ ทว่าความหวานก็ถูกระงับไว้ เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองตรงเข้าไปในดวงตาของเทียนเช่อโดยไม่หลบเลี่ยง รัศมีคมกริบพุ่งออกมาจากดวงตาของเขาเช่นกัน แม้จะรู้ว่าตนเองเทียบเทียนเช่อยังไม่ได้ แต่ความตั้งใจของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน

“หึ!”

เมื่อเทียนเช่อเห็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าตัวจ้อยไม่ยอมคุกเข่าลงยอมรับความผิด กลับยังกล้าจ้องตอบกลับมา เขาก็เค้นเสียงเตรียมจะก้าวออกมาเพื่อปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิมให้อีกฝ่ายก้มศีรษะลงให้จงได้

“ลงมือในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้า เจ้าดูไม่เห็นข้าในสายตาไปหน่อยนะ?!” แต่ขณะที่เขากำลังจะก้าวออกมา เสียงเกรี้ยวกราดของมั่นถัวหลัวก็ดังกึกก้อง เทียนเช่อรู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงที่โอบล้อมรอบตัว ภายใต้แรงกดดันนี้เท้าที่ยกขึ้นไว้ก็ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้

แม้เขาจะสามารถฝืนก้าวลงไปได้ แต่ภายใต้บรรยากาศนี้เขาก็รู้ว่าตราบใดที่ก้าวออกไปมั่นถัวหลัวจะต้องลงมือแน่ ในเวลานั้นต่อให้เขาจะหนีพ้น ก็ตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมแน่นอน

ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้มั่นถัวหลัวคือจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายตัวจริง ที่ทรงพลังมากกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ในการปะทะกันแบบหนึ่งต่อหนึ่งเขาไม่มีโอกาสชนะเลย

สายตาของเทียนเช่อกะพริบวูบไหว สุดท้ายเสื้อผ้าที่เผยิบผยาบก็สงบลง แรงกดดันที่เกิดขึ้นจากเขาก็สงบลงเช่นกัน

เมื่อแรงกดดันสลายไป เทียนเช่อก็มองมั่นถัวหลัวด้วยความโกรธและเยือกเย็นในดวงตา ขณะพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “ท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์ หวังว่าท่านจะส่งมอบชายคนนั้นให้กับข้า ถึงตอนนั้นเผ่าข้าจะจดจำบุญคุณนี้ไว้ในใจอย่างแน่นอน!”

มั่นถัวหลัวเหลือบมองเทียนเช่อขณะพูดด้วยความไม่แยแสว่า “อย่าคิดฝัน มู่เฉินสร้างผลงานมากมายให้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ใครที่คิดจะแตะต้องตัวเขาในที่ของข้า ก็เท่ากับประกาศสงครามกับทั้งสำนัก!”

ถึงแม้เสียงจะนิ่งเรียบ แต่ความชัดถ้อยชัดคำก็ทำให้ม่านตาเทียนเช่อหดเกร็ง เขาไม่คิดว่าจะได้รับการปฏิเสธอย่างรุนแรงจากมั่นถัวหลัว

“ท่านประมุข เจ้าคิดจะทำสงครามกับเผ่าวิหคโลกันตร์เพื่อจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเนี่ยนะ?!” เทียนเช่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม แม้ว่าพลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเกินความคาดหมายของเขาไปบ้าง แต่ก็มีรากฐานที่เปราะบางและเทียบไม่ได้กับเผ่าสัตว์อสูรที่มีประวัติยาวนานอย่างพวกเขา ดังนั้นหากประกาศสงครามกันจริงๆ อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะต้องถูกทำลายล้างอย่างแน่นอน

“ถ้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าไม่สามารถปกป้องคนที่ช่วยเหลือสนับสนุนเรามามาก พวกข้าจะยืนหยัดในภูมิภาคทางเหนือในอนาคตได้ยังไง? หากเป็นเช่นนั้นควรจะยุบสำนักไปซะเลย” มั่นถัวหลัวเค้นเสียงเย็น

“ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ของเจ้าจะมีรากฐานยาวนาน แต่เจ้าก็ต้องเตรียมใจที่จะเสียสละจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหลายคนเพื่อทำลายล้างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้า บางทีเจ้าอาจถูกรวมในกลุ่มผู้เสียสละด้วยเช่นกัน ผู้อาวุโสเทียนเช่อ!”

พูดถึงจุดนี้ ดวงตาของมั่นถัวหลัวก็เปล่งประกายด้วยจิตสังหาร คำพูดที่แกร่งกร้าวเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าของเทียนเช่อเขียวคล้ำทันที ทว่าขณะที่โกรธ เขาก็ต้องตกใจ ในมุมมองของเขาประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นพวกบ้าระห่ำ ปฏิกิริยาของนางเกินความคาดหมายเขาทุกทาง แค่การพูดคุยกันธรรมดาก็ฟาดฟันกันทั้งสองฝ่ายจนได้รับบาดเจ็บถึงตาย… แม้ว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะแข็งแกร่งกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับการตายของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจำนวนมากได้

แม้กระทั่งผ่านมานับศตวรรษ เผ่าวิหคโลกันตร์ของพวกเขาก็มีเพียงจอมยุททธ์ระดับนี้ไม่กี่คนเท่านั้น การสูญเสียทุกครั้งทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหนักหน่า

“ผู้อาวุโสเทียนเช่อ!”

ขณะที่ใบหน้าของเทียนเช่อมืดครึ้มลง รัศมีเชี่ยวกรากรอบตัวเขาแสดงสัญญาณการระเบิด จิ่วโยวก็คำรามออกมาอย่างโกรธเคือง “ตอนนั้นข้าได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าไม่ใช่มู่เฉิน ข้าคงตายไปแล้ว ถ้าให้พูดจริงๆ เขาเป็นผู้มีพระคุณของเผ่าวิหคโลกันตร์ด้วยซ้ำ ตอนนี้ท่านคิดจะอกตัญญูรึ?!”

เทียนเช่อตอบด้วยเสียงขรึม “จิ่วโยว ข้ารู้ว่าเจ้าเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ แต่มีวิธีอื่นในการตอบแทนบุณคุณ เจ้ามีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดของเผ่าวิหคโลกันตร์ในช่วงหลายพันปี แม้เจ้าต้องการที่จะสร้างพันธะโลหิตก็ควรจะเป็นเทพอสูรที่มีสายเลือดสูงส่งเช่นเดียวกัน ไอ้หนุ่มคนนี้ธรรมดามาก เขาจะรับโชคลาภเช่นนั้นได้อย่างไร? สำหรับเขาแล้วนี่เป็นอันตรายมากกว่าดีนะ!”

“ธรรมดา?” มั่นถัวหลัวพูดอย่างเย็นชา “มู่เฉินเป็นเจ้าบันทึกมังกรหงส์ในภูมิภาคทางเหนือ ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้”

เทียนเช่อและหลิ่วชิงที่ยืนอยู่ข้างหลังก็อึ้งไป แววอัศจรรย์ใจวูบไหวในดวงตา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จเช่นนี้

“เฮ้ ภูมิภาคทางเหนือก็ถือว่ากว้างใหญ่ ไม่คิดเลยว่าคนรุ่นเยาว์ที่นี่จะไร้ความสามารถ ถ้าอยู่ในเผ่าของเรา จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าถือได้ว่าพอใช้เท่านั้น สำหรับการขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นเรื่องตลกมาก” เทียนเช่อได้สติอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เบ้ปากอย่างดูถูก เห็นได้ชัดว่าเขาสงสัยเกี่ยวกับทำเนียบมังกรหงส์ของภูมิภาคทางเหนือ

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดดูถูกเหยียดหยามของเทียนเช่อ เขาก็ไม่โกรธแต่ยิ้มแทน “ข้าโชคดีจริงๆ ที่ได้เป็นเจ้าบันทึกของภูมิภาคทางเหนือ แต่สำหรับคุณสมบัติของข้า ผู้อาวุโสสามารถส่งคนมาทดสอบดูได้นะ”

เผชิญหน้ากับคำพูดกดดันของเทียนเช่อ มู่เฉินก็ไม่ได้เอาแต่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของมั่นถัวหลัว เนื่องจากเขารู้ถึงแรงกดดันที่จะเกิดขึ้นหากมั่นถัวหลัวเปิดศึกเชือดเชือนกับเผ่าวิหคโลกันตร์ ดังนั้นเขาจึงพูดแบบนี้ออกมาเพื่อช่วยแบ่งเบาความกดดันบ้าง

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้พูดเล็งเป้าไปที่เทียนเช่อ เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ง่ายสำหรับเทียนเช่อที่จะฆ่าเขา ดังนั้นเขาจึงบอกให้ส่งคนออกมาทดสอบแทน

ตอนนี้ถ้าเทียนเช่อต้องการส่งคนออกมาทดสอบเขา แน่นอนว่ามีแต่คนที่ชื่อหลิ่วชิง ชายคนนี้รับมือไม่ง่าย จากการประเมินของมู่เฉินพลังของอีกฝ่ายน่าจะคล้ายคลึงกับจิ่วโยว แต่ถ้าพวกเขาจะต่อสู้กัน อีกฝ่ายก็ไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้ในระยะเวลาอันสั้น

เมื่อเทียนเช่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ดวงตาก็วูบไหวพลางยิ้มอย่างเย็นชา “ช่างเจ้าเล่ห์นักนะไอ้หนู ถ้าข้าต้องการจะจัดการจริงก็ไม่มีใครสามารถปกป้องเจ้าได้… แต่ในเมื่อเจ้ากล้าพอที่จะก้าวออกมาเองวันนี้ ข้าก็จะดูว่าเจ้าเก่งสักแค่ไหน!”

“หลิ่วชิง!”

“ขอรับ!” ชายหนุ่มรูปงามและสวมเสื้อผ้าสีฟ้าอมเขียวตอบอย่างเคร่งขรึม

“จัดการเขาภายในสิบกระบวนท่า!” พูดจบเทียนเช่อก็มองไปที่มั่นถัวหลัวและจอมพลทั้งสามเอ่ยว่า “ข้าเชื่อว่าพวกท่านคงไม่เข้าไปยุ่งการดวลกันของเด็กๆ ใช่ไหม?”

รอให้เขายืนยันว่าเด็กนี่เป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วส่งข้อมูลกลับไปยังเผ่า สภาอาวุโสจะต้องโกรธเกรี้ยวแน่นอน สายเลือดพรสวรรค์ชั้นยอดของเผ่าวิหคโลกันตร์หลายพันปีจะมีสักคน จะต้องไม่ปนเปื้อนด้วยเลือดมนุษย์ เมื่อเรื่องแดงขึ้นเขาจะดูสิว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังจะกล้าเผชิญหน้ากับพวกเขาอีกไหม

มั่นถัวหลัวและจอมพลทั้งสามขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร เทียนเช่อเป็นตัวแทนเผ่าวิหคโลกันตร์ พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้มาก ในเมื่อเขาต้องการให้หลิ่วชิงประลองก็คงต้องเป็นไปตามนั้น

มั่นถัวหลัวเหลือบมองหลิ่วชิง ชายคนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา กระทั่งในเผ่าวิหคโลกันตร์เขาก็คงเป็นบุคคลโดดเด่นของหมู่คนรุ่นใหม่ แต่พวกเขาหยิ่งเกินไปที่คิดจะจัดการมู่เฉินในสิบกระบวนท่า… แค่คิดมุมริมฝีปากของมั่นถัวหลัวก็ยกขึ้นอย่างเยือกเย็น หลายปีที่ผ่านมาคนที่ดูหมิ่นมู่เฉิน จบลงไม่สวยสักราย

“ท่านประมุขช่างมองภาพรวมแท้จริง” เมื่อเทียนเช่อเห็นการยินยอมของมั่นถัวหลัว เขาก็ยิ้มอย่างพอใจก่อนพยักหน้าให้หลิ่วชิงที่ด้านหลัง

หลิ่วชิงพยักหน้ารับ ก้าวย่างออกมาช้าๆ

แต่เมื่อเขาเริ่มเคลื่อนไหว จิ่วโยวก็เข้ามาขวางตรงหน้า สายตาจ้องมองหลิ่วชิงอย่างเย็นชา

“องค์หญิงจิ่วโยวไม่ต้องห่วง ข้าไม่เอาชีวิตของเขาหรอก แค่ให้เขารู้หลักการบางอย่างเท่านั้น” หลิ่วชิงยิ้มบางตอบสนองสายตาถมึงทึงของจิ่วโยว

“จิ่วโยวอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีก! หากไอ้เด็กคนนี้ต้องการให้เจ้าปกป้อง ก็เท่ากับเขาเป็นตัวไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ต่อให้บิดาของเจ้ารู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่ยอมให้เจ้าทำอะไรเอาแต่ใจหรอก!” เทียนเช่อกล่าวอย่างเคร่งขรึมจากด้านข้าง

จิ่วโยวมองหลิ่วชิงอย่างเย็นชาก่อนจะเค้นเสียงใส่ “ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าอับอายในภายหลัง”

หลิ่วชิงหรี่ตาลง จากนั้นก็ยิ้มบางอย่างไม่แยแส แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร เขาเดินผ่านร่างจิ่วโยวตรงไปที่มู่เฉิน

เมื่อเขาก้าวย่างเข้ามา ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงลุกโชติช่วงและรุนแรงรวมตัวกันอยู่ในร่างของเขาราวกับภูเขาไฟ

สายตาเฉียบคมก็เปลี่ยนเป็นคมชัดยิ่งขึ้น ขณะที่คลื่นหลิงพวยพุ่งทำให้เสื้อผ้าสั่นกระพือ เสียงคมชัดบางเบาดังก้องออกมา

รัศมีที่น่าอัศจรรย์ใจค่อยๆ กระจายออกจากร่างกายของเขา

เมื่อจอมพลทั้งสามรู้สึกถึงแรงกดของหลิ่วชิงก็ต้องหดดวงตา ตัดสินจากแรงกดดันนี้บางทีแม้แต่ในหมู่ผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คงมีเพียงซิวหลัวเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเขาได้

จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าวิหคโลกันตร์มีความสามารถแท้จริง ไม่แปลกใจที่เทียนเช่อหยิ่งยโสเพียงนี้

ภายใต้สายตาจ้องมอง หลิ่วชิงเดินมาหยุดอยู่ห่างจากมู่เฉินเพียงสิบจั้ง เขามองดูมู่เฉินอย่างเฉยเมย พูดเสียงเบาว่า “การประลองครั้งนี้แค่อยากให้เจ้ารู้ว่า… มนุษย์นั้นสูงส่งเพียงเพราะพวกเขารู้ว่ายืนอยู่ที่ไหน”

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ตอบสนองต่อคำพูดนั่น ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง ก่อนที่จะยื่นมือประสานกันโค้งตัวลงเบื้องหน้า

“มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ขอคำชี้แนะด้วย”