บทที่ 962 วิหคเพลิงกัลป์

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 962 วิหคเพลิงกัลป์

เบื้องหน้าตำหนักรับรอง

มู่เฉินและหลิ่วชิงยืนประจันหน้ากัน สายตาของทั้งสองคมราวกับใบมีด คลื่นหลิงทรงพลังผันผวนออกมาจากร่างกาย ทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนด้วยเสียงฮึมฮัม

หลิ่วชิงประหลาดใจไปเล็กน้อยเมื่อเห็นมู่เฉินมีท่าทีไม่อ่อนลงกลับยืนจังก้าอยู่ต่อหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ามู่เฉินไปเอาความมั่นใจมาจากไหน

ทว่าหลิ่วชิงก็ไม่ได้คิดให้มากความ ไม่ว่ามู่เฉินจะน่ากังวลหรือกล้าหาญ ก็ไม่สำคัญกับเขา เพราะสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือการทำให้อีกฝ่ายแพ้ในสิบประบวนท่า

ถึงตอนนั้น เขาจะให้ไอ้หนูนี่รู้ถึงช่องว่างระหว่างพวกเขา ตราบใดที่คนเรารู้จักตัวเอง เขาก็จะไม่วอแวจิ่วโยวอีกต่อไป จากนั้นให้พวกเขาสลายพันธะโลหิต เพื่อป้องกันการดึงดูดหายนะมาสู่ตัวเอง

“หวังว่าเจ้าจะมีความสามารถจริงๆนะ… ไม่งั้นเจ้าก็เป็นเพียงรอยด่างในสายเลือดอันสูงส่งของนางเท่านั้น”

หลิ่วชิงมองไปที่มู่เฉินและไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป เขากำมือแน่น คลื่นหลิงแรงกล้าก็ระเบิดออกจากร่าง ขณะที่คลื่นความร้อนม้วนตัว ก็ทำให้อุณหภูมิพื้นที่ส่วนนี้สูงขึ้น

ปัง!

ขณะที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น หลิ่วชิงก็กระทืบเท้าทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ดูราวกับว่ามีเปลวไฟปะทุอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา เกิดรอยร้าวบนแผ่นหินสีฟ้าอมเขียวที่แข็งแรงด้านล่าง เขาพุ่งตัวออกมาทิ้งเงาพร่าเลือนเอาไว้ด้านหลัง

ความเร็วของหลิ่วชิงเร็วมากจนยากที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ชั่ววูบเดียวเขาก็มาปรากฏตัวข้างขวามู่เฉิน สองนิ้วเหยียดออกราวกับกระบี่ดัชนี เปลวเพลิงคลื่นหลิงรวมตัวกัน ทำให้นิ้วของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที พร้อมกับริ้วเพลิงสีแดงเต้นระริกบนปลายนิ้ว ขณะที่นิ้ววาดออกไปก็ทำให้มิติบิดเบือนจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น

หลิ่วชิงไม่ได้คิดหยั่งเชิงกระบวนท่าง่ายๆ เมื่อโจมตี ไม่ต้องพูดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าทั่วไป แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็สามารถถูกดัชนีนี้แทงทะลุเป็นแผลลึกบนร่างกายได้

“ฮ่าๆ ดัชนีแดงของหลิ่วชิงเชี่ยวชาญขึ้นอีกแล้ว” เมื่อเทียนเช่อเห็นการโจมตีปานฟ้าผ่าของหลิ่วชิงเขาก็พยักหน้าอย่างพอใจ

ยืนอยู่ด้านข้างมั่นถัวหลัว จอมพลทั้งสามและจิ่วโยวก็มีท่าทางเย็นชา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาเข้าใจในตัวมู่เฉินเป็นอย่างดี แม้ว่าขุมพลังจะอยู่ระดับจื้อจุนขั้นห้า แต่หากใครปฏิบัติต่อเขาเหมือนจอมยุทธ์ธรรมดาทั่วไปก็รอรับความโชคร้ายได้เลย

ดัชนีแดงของหลิ่วชิงราวกับรอยภาพลวงตาสะท้อนในม่านตาดำของมู่เฉิน อึดใจนิ้วทั้งสองก็งองุ้มเสือกแทงลงมาโดยไม่ลังเล

ทันทีที่ดัชนีแทงออกมา แสงสีทองก็เปล่งบนพื้นผิวร่างกายของมู่เฉิน เสียงคำรามมังกรดังเลือนราง ขณะที่สัญลักษณ์มังกรสีม่วงทองปรากฏบนนิ้วมือ

“กายามังกรหงส์ ลวดลายมังกรแท้จริง!”

นิ้วของเขาดูเหมือนว่าแปลงมาจากทองคำ แทงทะลุมิติปะทะกับดัชนีแดงจังใหญ่ ทันใดนั้นแรงกระทบของคลื่นหลิงก็กวาดออก พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาพังทลาย แผ่นหินสีฟ้าอมเขียวที่แข็งแรงก็แตกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน

เมื่อสองดัชนีปะทะกัน สายตาที่เยือกเย็นของหลิ่วชิงก็หดเกร็ง นั่นเพราะทันทีที่เกิดการชนกัน พลังความรุนแรงที่ส่งผ่านทรงพลังกว่าที่เขาคิดไว้

นอกจากนี้นิ้วทั้งสองของมู่เฉินทนทานเกินคาด ตัวเขาเป็นร่างเทพอสูร ความคมชัดของนิ้วทรงพลังกว่าอาวุธพบสวรรค์ทั่วไปเสียอีก โดยทั่วไปแล้วกระทั่งจอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เชี่ยวชาญในการฝึกฝนพลังกายยังไม่สามารถได้รับความแข็งแกร่งเช่นนี้ได้

“พลังกายของเจ้านี่ทรงพลังมากขนาดนี้เชียวเหรอ? ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถเทียบกับข้าได้!”

หลิ่วชิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็พ่นเสียงเย็น นิ้วของเขาพุ่งออกไปสร้างภาพลวงตานับไม่ถ้วนกวาดออกห่อหุ้มจุดตายของมู่เฉิน ภาพที่เกิดนี้สร้างเสียงเสียดแก้วหูยิ่งนัก

วาบ! วาบ!

แต่เผชิญหน้ากับกระบวนท่าดุดัน มู่เฉินก็เลือกปะทะซึ่งหน้า ขณะที่แสงสีทองพวยพุ่งขึ้น ภาพลวงตาก็กวาดออกปะทะกับภาพลวงตาเหล่านั้น

ปัง! ปัง! ปัง!

ขณะที่ภาพลวงตากระแทกกันและกัน คลื่นหลิงก็ระเบิด พายุคลั่งกวาดออกไป ทำให้เกิดรอยลึกบนพื้นดินบริเวณใกล้เคียง ทว่ารอยเหล่านี้ค่อนข้างแตกต่างกัน ร่องรอยของหลิ่วชิงเต็มไปด้วยความรุนแรงและร้อนแรง ดังนั้นรอยที่ทิ้งไว้จะแสดงสัญญาณการละลาย ในทางกลับกันร่องรอยของมู่เฉินกลับคมชัดและเรียบเนียนราวกับผิวกระจกหรือรอยปาดเต้าหู้

ตึง!

ขณะที่พายุคลั่งกวาดออกไป คลื่นกระแทกทรงพลังก็ระเบิดขึ้นจากการปะทะครั้งสุดท้าย ซึ่งทำให้ทั้งคู่ถูกกระแสลมซัดกระเด็นถอยไป

เท้าของมู่เฉินลากไปกับพื้นหลายสิบจั้ง ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สายตาจ้องมองหลิ่วชิงที่กำลังขมวดคิ้วแน่น

“มิน่าล่ะเจ้าถึงได้เป็นเจ้าบันทึกจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ” หลิ่วชิงยกมือขึ้นช้าๆ มีรอยเลือดปรากฏบนแขนของเขา เขากระตุกมือเบาๆ เปลวไฟสีแดงกลุ่มหนึ่งก็พวยพุ่งออกมา บาดแผลหายวับไป ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาของเหล่าเทพอสูร

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพดังกล่าวก็ยิ้ม หยดเลือดไหลออกมาจากปลายนิ้ว แต่หลังจากแสงสีทองวาบขึ้นแผลก็หายไปอย่างสมบูรณ์

เทียบทางด้านพลังกาย กายามังกรหงส์ของเขาไม่ได้อ่อนด้อยกว่าร่างเทพอสูรตัวจริงเลยทีเดียว

กระบวนท่าก่อนหน้าเขาใช้กายามังกรหงส์รับการโจมตีของหลิวชิง ทว่าเขาก็รู้สึกตกใจกับความแข็งแกร่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมาเช่นกัน

ตามการประเมิน หลิ่วชิงน่าจะเป็นจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด ถ้าอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาอ่อนแอกว่าผู้บัญชาการซิวหลัวคนเดียวเท่านั้น

เมื่อเทียบกับฟังยี่และโยวหมิงแล้ว หลิ่วชิงกร้าวแกร่งกว่ามาก

หลิ่วชิงหรี่ตามองไปที่มู่เฉิน การแลกกระบวนท่าก่อนหน้าลบริ้วความดูถูกที่มีในสายตาออกไปหมดแล้ว สามารถต่อสู้กับเขาจนถึงจุดนี้ได้ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า เพียงแค่จุดนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามู่เฉินไม่ธรรมดา

แม้ก่อนหน้าเขาแค่ลองมือ แต่ชัดว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเช่นกัน

“น่าสนใจ…”

หลิ่วชิงพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ดวงตาลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู้ มีเพียงคู่ต่อสู้แบบนี้เท่านั้นที่จะได้รับการประลองแท้จริงจากเขา

แววตาโชนแสงของหลิ่วชิงจับจ้องไปที่มู่เฉิน เสื้อผ้าของเขากระพือโดยไร้สายลม คลื่นหลิงลุกโชนรุนแรงระเบิดออกจากร่างราวกับภูเขาไฟ

คลื่นหลิงเชี่ยวกรากส่งเสียงครางกระหึ่ม ก่อนที่จะรวมตัวกันอยู่ด้านหลังหลิ่วชิง ก่อร่างเป็นนกสีแดงตัวโตขนาดหลายพันจั้งที่ถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟ อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เมฆระเหิดหายไป

หลิ่วชิงกระโจนตัวปรากฏขึ้นเหนือร่างนกสีแดงเพลิง จากนั้นก็กำมือแน่น เปลวเพลิงรวมตัวกันกลางฝ่ามือ อึดใจก็กลายเป็นหอกยาวสีแดงก่ำ

ทันทีที่อีกฝ่ายคว้าหอกจับไว้ มู่เฉินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารัศมีหลิ่วชิงยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อหลิ่วชิงปรายตามองมา ก็ทำให้มู่เฉินรู้สึกเจ็บปวดที่ผิวหนัง

ในตอนนี้หลิ่วชิงทำให้มู่เฉินรู้สึกถึงอันตรายอย่างแท้จริง

นกสีแดงตัวนี้เป็นร่างเทพอสูรของหลิ่วชิง ทว่าไม่เหมือนกับวิหคโลกันตร์ของจิ่วโยว ถ้ามู่เฉินเดาได้ถูกละก็ ร่างเทพอสูรของหลิ่วชิงน่าจะเป็นวิหคเพลิงกัลป์

แม้ว่าวิหคเพลิงกัลป์ไม่ได้หายากเหมือนวิหคอนธโลกันตร์ในสายวิหคโลกันตร์ แต่ก็เป็นสัตว์เทพที่น่าเกรงขาม ตราบใดที่ใช้งานก็มาพร้อมพลังเผาท้องฟ้าต้มทะเล…

ฟู่! ฟู่!

ขณะที่วิหคเพลิงกัลป์กระพือปีกใหญ่ ท้องฟ้าทั้งผืนก็ราวกับสว่างไสวแล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เวลาเดียวกันวิหคเพลิงกัลป์และหลิ่วชิงก็ราวกับรวมร่างเป็นหนึ่งเดียว คลื่นหลิงในมิติเดือดพล่าน

“ใช้ร่างเทห์สวรรค์ของเจ้าซะ ไม่งั้นเจ้าจะไม่มีโอกาสอะไรอีกแล้ว” หลิ่วชิงมองต่ำไปที่มู่เฉินพลางพูดขึ้น

เทพอสูรแบบเขาไม่ได้ชำระร่างเทห์สวรรค์ เพราะพวกเขามีร่างเทพอสูรซึ่งเป็นวิธีการคล้ายคลึงกัน ตอนนี้หลิ่วชิงได้นำร่างเทพอสูรออกมาแล้ว พลังการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้น ถ้ามู่เฉินยังไม่นำร่างเทห์สวรรค์ออกมาใช้อีก ก็จะยากที่จะเผชิญหน้ากับเขา

“ตามขอ”

มู่เฉินยิ้มไม่ได้โอหังจนไม่สนใจหลิ่วชิง มือทั้งสองวาดตราประทับ แสงสีทองโชติช่วงระเบิดออกมาจากร่าง ในเวลาไม่กี่อึดใจร่างเทห์สวรรค์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง

ร่างเทห์สวรรค์ยืนตระหง่านโดยมีดวงตะวันสีทองเจิดจรัสลอยอยู่ด้านหลังศีรษะ บนร่างมหึมาเต็มไปด้วยลวดลายสีทองโบราณ นี่ก็คือร่างเทพสุริยะ

“ช่างเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่แปลกประหลาด ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” เมื่อหลิ่วชิงเห็นร่างเทพสุริยะของมู่เฉินริ้วความอัศจรรย์ใจก็วูบไหวในดวงตาแต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่ามู่เฉินจะครอบครองวิชาอะไรในวันนี้ ผลลัพธ์ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง

ในเมื่อเขานำร่างเทพอสูรออกมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่การประลองนี้จะยุติลง มู่เฉินถือว่ามีความสามารถแท้จริงแล้วที่สามารถบังคับให้เขาอยู่ในสถานะนี้ได้

แต่อย่างไรเสียเทียนเช่อก็ตั้งใจจะปราบปรามชายหนุ่มคนนี้ชัดเจน ดังนั้นเขาจำเป็นต้องบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าพลังที่มียังห่างชั้นในการที่จะสร้างพันธะโลหิตกับจิ่วโยว

มนุษย์ตัวจ้อยนี้ อย่าได้หยุดยั้งโอกาสยิ่งใหญ่ขององค์หญิงจิ่วโยว

คิดถึงจุดนี้ สายตาของหลิ่วชิงก็ยิ่งคมชัดขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ยกหอกสีแดงยาวขึ้นเล็งไปที่มู่เฉินจากระยะไกล

ขณะที่สายตาเล็งเป้าไป ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก็เงยหน้าขึ้น ม่านตาสีดำมองทะลุผ่านมิติมา ซึ่งเต็มไปด้วยความคมชัดไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย

เขาก้าวเดินในยุทธภพทีละก้าวไม่มีสถานการณ์เป็นตายแบบไหนที่ไม่เคยผ่านมาก่อน แค่หลิ่วชิงคนเดียวไม่พอที่จะทำให้คนอย่างเขายอมรับความพ่ายแพ้!

เมื่อสายตาคมกล้าสองสายปะทะกันบนท้องฟ้า ประกายไฟก็แล่นเปรียะทันที

ไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชน!