ภายในชั่วพริบตา วันหลายวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ช่วงเวลาที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออาศัยอยู่ในจวนตระกูลเหมยเต็มไปด้วยความสุขใจและราบรื่นอย่างยิ่ง ทุกคนในตระกูลเหมยปฏิบัติต่อทั้งสองดั่งแขกคนสำคัญและกระตือรือร้นเข้าหาไม่หยุดหย่อน นอกจากนี้ทั้งสองก็ยังได้พบกับผู้อาวุโสที่ชิงตัวเสี่ยวโร่วไปจากพวกนางในดินแดนหวนหลิงอีกด้วย
ผู้อาวุโสได้พบกับฉินอวี้โม่และทราบว่าความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้ไม่ด้อยไปกว่าตนมากนัก เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต เขาก็อดรู้สึกอับอายขายหน้าเล็ก ๆ ไม่ได้ ในตอนแรกเขาเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วผิดไปอย่างแท้จริงและคิดว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้คิดร้ายไม่จริงใจต่อเสี่ยวโร่ว
บัดนี้เมื่อตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองที่แน่นแฟ้นดั่งพี่น้องกันจริง ๆ และได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่มากขึ้น ผู้อาวุโสก็รู้สึกผิดและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ติดใจคิดแค้นแต่อย่างใด ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ นางก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเสี่ยวโร่วกลับมา
ต้องกล่าวเลยว่าตระกูลเหมยแห่งนี้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างมาก ในตอนนั้นเหมยตงหวั่ง—ท่านปู่ของเสี่ยวโร่วถูกลอบเล่นงานจนหมดสติไปโดยกลอุบายของใครบางคน มันจึงส่งผลให้หลายคนในตระกูลเหมยที่หมายปองตำแหน่งผู้นำตระกูลต่างก็สร้างปัญหาก่อความวุ่นวายขึ้นมาอย่างฉับพลัน กอปรกับการได้เบาะแสของเสี่ยวโร่วและต้องการจะนำตัวนางกลับมา ปัญหาความวุ่นวายมากมายจึงเกิดขึ้นมาในตระกูลเหมย
หลังจากเสี่ยวโร่วกลับมาถึงจวนตระกูลเหมย นางเองก็ต้องเผชิญภยันตรายไม่น้อยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสผู้นี้ ทุกคนจึงผ่านพ้นมันมาได้อย่างปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้น เหมยตงหวั่งก็ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาเพราะการกลับมาของหลานสาวและทำการปราบกบฏเหล่านั้นก่อนขับไล่พวกเขาทั้งหมดออกไปจากตระกูลเหมย
ไม่น่าเชื่อเลยว่าแม้เหตุการณ์ยากลำบากและอันตรายมากมายจะเกิดขึ้น เสี่ยวโร่วก็ยังคงรักษาความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไว้ได้ไม่เปลี่ยนแปลง นางยังคงมองโลกในแง่ดีและร่าเริงสดใสเช่นเดิมซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ในวันนี้ เหมยตงหวั่งก็เรียกคณะศิษย์ของตระกูลเหมยมารวมตัวกันที่ลานจัตุรัส
เขาอธิบายเกี่ยวกับงานรวมพลของสี่ตระกูลลับอย่างคร่าว ๆ และคัดเลือกศิษย์หนึ่งร้อยคนที่มีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งในระดับดีเยี่ยมเพื่อไปเข้าร่วมงานที่ตระกูลหานด้วยกัน
เหมยตงหวั่งยังจำเป็นต้องอยู่ที่ตระกูลเหมยเพื่อดูแลจัดการเรื่องต่าง ๆ ครานี้เขาจึงไม่เดินทางไปเข้าร่วมงานด้วยตัวเอง และผู้นำที่รับหน้าที่พาคณะศิษย์ไปที่นั่นก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเหมยตงอวิ๋น—ผู้อาวุโสที่เริ่มสนิทสนมกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือและเป็นผู้ที่ชิงตัวเสี่ยวโร่วไปจากดินแดนหวนหลิงในครานั้นนั่นเอง
หลังจากกล่าวแนะนำกับทุกคนเล็กน้อย คณะศิษย์ตระกูลเหมยก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังตระกูลหานภายใต้การนำทางของเหมยตงอวิ๋น
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือปะปนอยู่ในกลุ่มคนตระกูลเหมยและแฝงตัวเป็นหนึ่งในศิษย์เหล่านั้น ทั้งสองปรับเปลี่ยนใบหน้าเล็กน้อยเพื่อปลอมตัวและติดตามข้างกายเสี่ยวโร่วดั่งองครักษ์ส่วนตัว
จวนตระกูลหานตั้งอยู่ไกลจากตระกูลเหมยพอสมควรและคนทั้งกลุ่มเดินทางกันอย่างเงียบ ๆ ไม่สร้างความโดดเด่นหรือความวุ่นวายใด ๆ พวกเขาใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนก่อนมาถึงที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายของตระกูลหานในที่สุด
ค่ายกลเคลื่อนย้ายของตระกูลหานตั้งอยู่ในจวนเจ้าเมืองแห่งหนึ่งในทางสุดฝั่งตะวันออกของดินแดนเทพมายาและได้รับการคุ้มกันเป็นพิเศษ หากมิได้รับอนุญาต คนธรรมดาทั่วไปจะไม่สามารถผ่านเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นำไปสู่ตระกูลหานนี้ได้
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือแฝงตัวปะปนอยู่ในกลุ่มศิษย์ยอดฝีมือของตระกูลเหมย และหลังจากยืนยันตัวตนของคนทั้งกลุ่ม เจ้าเมืองแห่งนี้ก็นำทางทุกคนเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายทันที
เมื่อก้าวเข้าไปในค่ายกล แสงก็สว่างวาบขึ้นมาและทุกคนก็ปรากฏกายในสถานที่อีกแห่งหนึ่งทันที
นี่แห่งนี้คือเมืองหานซึ่งเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งและคึกคักไปด้วยผู้คนมากมายที่เดินทางเข้าออกอย่างไม่หยุดหย่อน พลังมายาที่ไหลเวียนอยู่ภายในเมืองนี้หนาแน่นสมบูรณ์กว่าข้างนอกอย่างมากและมันเป็นที่ที่เหมาะสำหรับการฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง
ในฐานะผู้นำของสี่ตระกูลโบราณ ตระกูลหานถือว่าเหนือชั้นทั้งด้านความแข็งแกร่งและด้านภูมิหลัง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะลดน้อยลงจากในอดีตไปมาก ทว่าพวกเขาก็ยังคงเป็นผู้นำในบรรดาสี่ตระกูลและอยู่ในสถานะที่ไม่อาจสั่นคลอนได้เลย
ผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบัน—หานชางมิได้แข็งแกร่งล้ำเลิศเท่าใดนัก ทว่าตระกูลหานก็ยังมีผู้อาวุโสลึกลับและทรงพลังหลายคนซึ่งทำให้ตำแหน่งของตระกูลหานมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
เวลานี้ หานซื่อ—บุรุษหน้าซื่อใจคดและเป็นคุณชายรองแห่งตระกูลหานกำลังยืนต้อนรับทุกคนอยู่หน้าประตูเมือง
เมื่อเห็นคณะศิษย์จอมยุทธ์จากตระกูลเหมย เขาก็คลี่ยิ้มกว้างและเดินตรงเข้ามาทักทายทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ครานี้ผู้นำคณะศิษย์คือท่านผู้อาวุโสเหมยตงอวิ๋น—ผู้อาวุโสห้าของตระกูลเหมยนี่เอง ท่านผู้อาวุโสมาเยือนตระกูลหานด้วยตัวเองครานี้ถือเป็นเกียรติของพวกเราตระกูลหานยิ่งนัก”
เหมยตงอวิ๋นมีความแข็งแกร่งเป็นรองเพียงเหมยตงหวั่งเท่านั้นและยังมีสถานะสูงส่งไม่น้อยในบรรดาสี่ตระกูลลับ หานซื่อเป็นคนที่ชาญฉลาดไหวพริบดีพอสมควรและแน่นอนว่าเขาจะไม่วางตัวเป็นปฏิปักษ์กับเหมยตงอวิ๋น ในทางกลับกัน เขาพยายามหาทางผูกมิตรกับผู้อาวุโสผู้นี้ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เขาได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลหานในอนาคตข้างหน้า
เมื่อเห็นเสี่ยวโร่วที่ยืนอยู่ถัดจากเหมยตงอวิ๋น ดวงตาของหานซื่อก็เป็นประกายขึ้นเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตดูรูปลักษณ์ของคุณหนูตระกูลเหมยอย่างจริงจังและพบว่านางทั้งงดงามและดูเป็นมิตรจิตใจดี เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาจึงมีความคิดอื่นผุดขึ้นในใจ เขาเชื่อว่าหากตนสามารถเอาอกเอาใจให้คุณหนูผู้เป็นที่รักของคนทั้งตระกูลเหมยพึงพอใจได้ สถานะของตัวเขาในตระกูลหานก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ต่อให้ทราบแล้วว่าเสี่ยวโร่วมีความสัมพันธ์อันดีกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เขาก็ยิ้มกว้างและกล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร
“นี่คงจะเป็นคุณหนูเหมยเสี่ยวโร่วสินะ ช่างงดงามปานเทพธิดาจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่จะเป็นหลานรักคนโปรดของท่านผู้นำตระกูลเหมย”
น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงใจอย่างยิ่งขณะกล่าวยกยอเสี่ยวโร่วอย่างเปิดเผย
“ข้าคือคุณชายรองของตระกูลหานนามว่าหานซื่อ คุณหนูเสี่ยวโร่วน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง”
เมื่อได้ยินวาจาของหานซื่อ เสี่ยวโร่วก็ขยิบตาเล็กน้อยและแสร้งทำเป็นนึกอะไรบางอย่างก่อนกล่าวตอบ “อ๊ะ ข้านึกออกแล้ว ! ท่านคือคุณชายรองจากตระกูลหานที่ประมูลน้ำมันฤทธานุภาพในงานประมูลครานั้นไปได้ใช่หรือไม่ ?”
เมื่อเสี่ยวโร่วกล่าวถึงเรื่องนั้น สีหน้าของหานซื่อก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทันทีก่อนปรับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่ทราบมาก่อนว่าของสิ่งนั้นเป็นของที่สหายของคุณหนูเสี่ยวโร่วนำออกมาประมูล หากข้าทราบ ต่อให้ต้องจ่ายหินผลึกมากกว่านั้นเพื่อซื้อและมอบมันให้คุณหนูเสี่ยวโร่ว ข้าก็ยินดี”
ต้องกล่าวเลยว่าหานซื่อเป็นนักแสดงมืออาชีพเดียว แม้เขาโกรธแค้นอย่างยิ่งในตอนต้น ทว่าตอนนี้เขาก็มีความคิดอื่นอยู่ในใจและจะไม่แสดงออกถึงร่องรอยของความขุ่นเคืองใจเพื่อทำให้เกิดความขัดแย้งกับเสี่ยวโร่ว เขาต้องการลองดูว่าจะทำให้เสี่ยวโร่วพึงพอใจได้หรือไม่ เพราะเหตุนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นจิตใจดีบังหน้า
สำหรับฉินเฟยจากเรือนกระจกน้ำแข็งซึ่งมีข่าวลือหนาหูว่าเสี่ยวโร่วชื่นชอบนั้น เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับฉินเฟย หานซื่อมั่นใจว่าสถานะของตนมีข้อได้เปรียบเหนือกว่า มีเพียงผู้ที่มีสถานะเท่าเทียมกันเท่านั้นที่จะคู่ควรกับสตรีโฉมงามจิตใจดีอย่างเสี่ยวโร่วผู้นี้
“คุณชายรองช่างมีจิตใจเอื้อเฟื้อยิ่งนัก”
เสี่ยวโร่วก็มิได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย นางติดตามฉินอวี้โม่มาแต่ไหนแต่ไรและได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มามากมาย แน่นอนว่านางทราบความคิดที่แท้จริงของหานซื่อ อย่างไรก็ตาม เวลานี้นางอยู่ในถิ่นฐานของตระกูลหานและตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะฉีกหน้าหานซื่อ ยิ่งไปกว่านั้น หากแสร้งทำเป็นผูกมิตรกับหานซื่อผู้นี้ นางก็อาจใช้ประโยชน์และสืบข้อมูลจากเขาได้
“คุณชายรองตระกูลหาน เราเดินทางกันมาเหนื่อยทีเดียว ข้าว่าให้คนพาเราไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่า”
“ฮ่า ๆ ๆ ถึงอย่างไรตระกูลเหมยก็เป็นแขกคนสำคัญของเรา ข้าจะทำหน้าที่นั้นด้วยตัวเอง ที่พักของทุกคนได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้วและข้าจะนำทางไปเดี๋ยวนี้”
หานซื่อกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ทว่าคุณหนูเสี่ยวโร่วทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว หากไม่รังเกียจ เรียกข้าว่าพี่หานเถอะ ถึงอย่างไรเราทั้งสองก็มาจากสี่ตระกูลลับเหมือนกัน เช่นนั้นเราก็ควรจะสนิทสนมกันเข้าไว้”
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นพี่หานก็เรียกชื่อข้าก็พอ”
เสี่ยวโร่วแทบอาเจียนออกมาด้วยความรังเกียจเมื่อได้ยินวาจาของหานซื่อ อย่างไรก็ตาม นางมิใช่ดรุณีน้อยที่แสดงออกทุกอย่างเช่นในอดีตอีกต่อไป แน่นอนว่านางสามารถแสดงละครต่อหน้าหานซื่อได้และน้ำเสียงในตอนนี้เรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกใด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานซื่อก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ทันทีว่าความสัมพันธ์ของตนและเสี่ยวโร่วเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจ”
ในระหว่างทางที่นำทางคณะศิษย์ตระกูลเหมยไปสู่ที่พัก หานซื่อก็ได้กล่าวแนะนำโครงสร้างโดยรวมบางส่วนของตระกูลหานให้เสี่ยวโร่วและทุกคนเข้าใจมากขึ้น
เมื่อกล่าวถึงหอคอยต้องห้ามว่าเป็นเขตหวงห้ามของตระกูลหานและห้ามผู้ใดเข้าใกล้เด็ดขาด เสี่ยวโร่วก็ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวขึ้นมา “พี่หาน เหตุใดหอคอยต้องห้ามถึงเป็นเขตหวงห้ามของตระกูลรึ ? ที่นั่นมีสมบัติล้ำค่าอยู่มากอย่างนั้นหรือ ?”
นางจงใจเอ่ยถามลองเชิงพร้อมกับดวงตาเป็นประกายด้วยความสงสัยใคร่รู้
เมื่อได้ยินคำถามของเสี่ยวโร่ว หานซื่อก็ชะงักไปเล็กน้อยและใบหน้าเริ่มจริงจังมากขึ้น
“น้องเสี่ยวโร่ว แม้เราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน บางสิ่งบางอย่างก็เป็นความลับเฉพาะของตระกูลและไม่ควรเปิดเผยมากเกินไป ข้าบอกได้เพียงว่ามีคนสำคัญสองคนของตระกูลอยู่ในหอคอยต้องห้าม ส่วนพวกเขาเป็นใครและเหตุใดจึงถูกขังไว้ที่นั่น ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”
เมื่ออีกฝ่ายแสดงสีหน้าจริงจัง เสี่ยวโร่วก็พยักศีรษะเบา ๆ
ทว่าในหัวใจของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์คนตรงหน้านี้ นางทราบดีว่าสองคนที่อยู่ในนั้นคือผู้ใดและพอทราบมาบ้างว่าเหตุใดทั้งสองจึงถูกกักขังไว้ที่นั่น หากมิใช่เพราะหานซื่อยังมีประโยชน์สำหรับนาง เสี่ยวโร่วคงไม่เสียเวลาพูดคุยกับเขาอย่างแน่นอน
“น้องเสี่ยวโร่ว ข้าได้ยินว่าเจ้าก็มาจากดินแดนหวนหลิง อีกทั้งยังสนิทสนมกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือผู้ซึ่งเลื่องชื่อในดินแดนพอสมควร ไม่ทราบว่านั่นเป็นความจริงรึไม่ ?”
หานซื่อนึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และจงใจกล่าวเพื่อสืบข้อมูล หากความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเป็นไปด้วยดีจริง เขาก็สามารถยืมมือเสี่ยวโร่วเพื่อล่อลวงทั้งสองออกมาได้
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าเป็นความจริง เราทั้งหมดเป็นสหายที่ดีต่อกัน แท้ที่จริงทั้งสองก็อยากมาที่ตระกูลหานกับพวกเรา ทว่าสี่ตระกูลลับไม่เคยอนุญาตให้คนนอกเข้ามาโดยง่าย ข้าจึงปฏิเสธพวกเขาไป”
เสี่ยวโร่วยิ้มและกล่าวอย่างเปิดเผย ทว่าวาจาของนางนั้นเป็นจริงครึ่งไม่จริงครึ่งเพื่อทำให้หานซื่อสับสน
เมื่อได้ยินวาจาของเสี่ยวโร่ว แม้หานซื่อยังคงรู้สึกคลางแคลงใจ เขาก็ไม่แสดงสีหน้าบ่งบอกความรู้สึกนั้น
เขาชำเลืองมององครักษ์สองคนข้างหลังเสี่ยวโร่วและกล่าวถาม “สองคนนี้คือองครักษ์ของเจ้ารึ ?”
เมื่อได้ยินคำถามเกี่ยวกับตัวตนของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ความประหม่าเล็ก ๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของเสี่ยวโร่วเจือด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยก่อนกล่าวตอบ “พี่หาน สองคนนี้คือองครักษ์ส่วนตัวของข้าและพวกเขาช่ำชองด้านศิลปะการต่อสู้มาก อย่างที่ท่านทราบ การที่สตรีตัวคนเดียวอย่างข้าท่องไปทั่วดินแดนเพียงลำพังนั้นอันตรายอย่างยิ่ง ท่านปู่จึงได้จัดหายอดฝีมือทั้งสองนี้มาช่วยคุ้มกันข้า”
เมื่อเห็นอากัปกิริยาของเสี่ยวโร่ว หานซื่อก็คาดเดาบางอย่างได้ทันที ความชั่วร้ายบางอย่างปรากฏในแววตาของเขาครู่หนึ่งก่อนแทนที่ด้วยรอยยิ้มมุมปาก
“นั่นก็จริง น้องเสี่ยวโร่วต้องมีองครักษ์ฝีมือดีอยู่ข้างกาย ทว่าก็อย่าประมาทให้ผู้ใดหลอกลวงได้ล่ะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณพี่หานมากที่เตือนข้า”
เสี่ยวโร่วพยักศีรษะและสีหน้ากลับเป็นความเรียบเฉยเช่นเดิม
“เอาล่ะ ลานเหล่านี้คือที่พักที่เราเตรียมไว้ให้ทั้งสามตระกูลใหญ่ น้องเสี่ยวโร่วและคนจากตระกูลเหมยเชิญพักที่ลานในทางตะวันออกได้เลย”
หลังจากนำทางเสี่ยวโร่วและทุกคนมาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ หานซื่อก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
.